กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 899.3 อนาคต
เป็นผีเซียนเหมือนกับอูถีแห่งนครเซียนจาน อวี่จิ่นเคยได้ยินเรื่องหนึ่งจากจงขุยมาก่อน คราวก่อนที่อูถีปรากฏตัวในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ร่วมมือกับฉงโอวผู้เป็นอาจารย์ต่อสู้กับจูเยี่ยนบรรพบุรุษย้ายภูเขาหนึ่งในบัลลังก์ราชาเก่าของเปลี่ยวร้าง ต้องจ่ายเงินชดใช้ให้จบเรื่องกันไป แล้วยังต้องยกบรรพบุรุษเปิดขุนเขาออกหน้ามาขอร้องจูเยี่ยน ถึงจะรักษานครเซียนจานเอาไว้ได้
เพียงแต่ว่าไม่ว่าอย่างไรอวี่จิ่นก็คิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าที่ชื่อเสี่ยวโม่ผู้นี้กลับเคยไล่ฆ่าหย่างจื่อซึ่งเป็นหนึ่งในอดีตราชาบนบัลลังก์ จากนั้นจูเยี่ยนที่ได้ยินข่าวก็รีบรุดมาให้ความช่วยเหลือหย่างจื่อ เสี่ยวโม่ถึงได้เก็บกระบี่ถอยออกมา
เสี่ยวโม่ยื่นมือไปจับแขนของเจ้าอ้วน ยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสกูซู ไม่สู้พวกเราสองคนหาที่เงียบๆ มาประลองฝีมือกันหน่อยไหม?”
เจ้าอ้วนแค่นเสียงหยันในลำคอ หัวเราะพรืดเข้าใส่ “รอเดี๋ยวแล้วกัน”
จากนั้นหันไปมองทางจงขุย กระแอมสองสามที ใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด ตะโกนดังสนั่นฟ้าคุยกับจงขุย “พี่จงช่วยข้าด้วย!”
เสี่ยวโม่จึงได้แต่ปล่อยมือ ล้มเลิกความคิดที่จะเชิญผีตนนี้เข้าไปในฟ้าดินของกระบี่บิน ‘จุ้ยเซียง’ (บ้านเกิดแห่งความเมามาย)
คุยกันแล้วว่าจะประลองฝีมือ กลับกลายเป็นว่าพูดไม่เข้าหูคำเดียวอีกฝ่ายก็ลงไปนอนบนพื้น รอให้พื้นรองเท้าเหยียบลงมาบนหน้าเสียแล้ว
สำหรับการรับมือคนหน้าไม่อายประเภทนี้ ประสบการณ์ในยุทธภพของเสี่ยวโม่ยังไม่มากพอจริงๆ
เจ้าอ้วนนวดแขน สายตาฉายแววไม่พอใจ “อาจารย์เสี่ยวโม่แรงเยอะจริง”
ลูกผู้ชายยืดได้หดได้ หนังหน้าจะนับเป็นอะไรได้
เผยเฉียนนวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าต้องมองเจ้าอ้วนผู้นี้เสียใหม่แล้ว แค่มองก็รู้แล้วว่าท่องอยู่ในยุทธภพไม่มีทางอดตาย
ชุยตงซานเริ่มถูกชะตากับเจ้าอ้วนขึ้นอีกหลายส่วน เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง
ตนต้องหาโอกาสโน้มน้าวให้อวี่จิ่นไปอาละวาดที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางให้ได้ ให้เขาร้องไห้ร่ำร้องจะแขวนคอตายทุกๆ สามวันห้าวัน จะดีจะชั่วก็ให้ศาลบุ๋นคืนสถานที่ฝึกตนแห่งนั้นมา จากนั้นค่อยให้อวี่จิ่นเอาสถานที่แห่งนั้นมาไว้ที่ภูเขาเซียนตู ภูเขาเซียนตูสามารถช่วยดูแลให้ได้ อวี่จิ่นแค่ต้องคอยมอบเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งให้กับสำนักกระบี่ชิงผิงเป็นระยะเท่านั้น ทุกเรื่องล้วนปรึกษากันได้
เพียงแต่ว่าจงขุยไม่ได้สนใจอวี่จิ่นแม้แต่น้อย เอาแต่ตั้งใจตรวจสอบจิตวิญญาณของเฉินผิงอัน ครู่หนึ่งผ่านไปก็ขมวดคิ้วถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงไม่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไปตลอด?”
สามจิตเจ็ดวิญญาณของเฉินผิงอันมีปัญหาใหญ่จริงเสียด้วย
เป็นเหตุให้พอเฉินผิงอันออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาผสานมรรคาด้วยก็ต้องถูกเผาผลาญจิงชี่เสินอยู่ตลอดเวลา คล้ายการทำการค้าอย่างหนึ่ง
ก็โชคดีที่เรือนกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เลือดลมเปี่ยมล้นสมบูรณ์ เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรง สามารถบำรุงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณได้ บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณได้ตามธรรมชาติ หากเฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ป่านนี้เรือนกายคงผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกไปนานแล้ว
จงขุยเคยเห็นภาพเหมือนที่ศาลบุ๋นมาก่อน บนหัวกำแพงเมืองมีคนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด มือค้ำยันอยู่บนด้ามดาบ เรือนกายพร่าเลือน ไม่ใช่เรือนกายที่มีเลือดเนื้ออะไรอีกต่อไป แต่คล้ายประกอบขึ้นมาจากเส้นด้ายนับพันนับหมื่นที่ตัดสลับกัน ในสายตาของจงขุยแล้ว นั่นเรียกว่า…อเนจอนาถจนแทบมิอาจทนมองได้
เดิมทีเมื่อเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหรินก็สามารถสร้างความมั่นคงให้กับจิตวิญญาณได้ ผลกลายเป็นว่าไปเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างและภูเขาทัวเยว่มารอบเดียว ขอบเขตก็ถดถอยอีกครั้ง
“หากอยู่ที่นั่นกลับกลายเป็นว่ามิอาจสงบใจฝึกตนดีๆ ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ นี่ก็เป็นการค้าที่ไม่ถือว่าขาดทุน เพราะถึงอย่างไรก็สามารถขัดเกลาจิตวิญญาณ การที่ข้าสามารถเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิงทั้งที่เพิ่งกลับไพศาลมาได้แค่ไม่กี่วัน ในระดับใหญ่แล้วก็มาจากการถามหมัดระหว่างตัวเองกับตัวเองนี่แหละ”
จงขุยหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน “ก็แค่ว่าค่อนข้างจะทรมานใช่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ฝึกหมัดจะไม่ลำบากเลยได้อย่างไร แค่ชินไปแล้วก็ดีเอง”
เห็นว่าจงขุยไม่มีท่าทีจะเก็บมือไป เฉินผิงอันจึงได้แต่เอ่ยเตือนเสียงเบา “พอแล้วล่ะ อย่าอวดเก่งเลย”
จงขุยสีหน้าเคร่งเครียด เงียบงันไม่พูดคำใด
เฉินผิงอันจึงเตรียมจะยกมือขึ้นผลักสองนิ้วที่ ‘จับชีพจร’ ของจงขุยออกไป
ตอนนี้ในร่างกายของตนคล้ายจานสำหรับขัดกลึงหินหยกใบหนึ่ง
คอยขัดกลึงสามจิตเจ็ดวิญญาณอยู่ตลอดเวลา เศษหยกแตกกระเซ็น ส่วนจงขุยก็พยายามที่จะใช้มือไปหยุดความเร็วในการหมุนของจานใบนั้น
เท่ากับเป็นการถามกระบี่ครั้งหนึ่งแล้ว
จงขุยถลึงตาใส่เฉินผิงอันอย่างดุดัน “ดูถูกข้าหรือ? เป็นครึ่งคนครึ่งผีแบบนี้ สนุกนักหรือ?”
เฉินผิงอันพูดหยอก “ในเมื่อเป็นสหายก็ต้องมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้านไม่ใช่หรือ?”
จงขุยเอ่ยเสียงหนัก “แบมือมา”
เฉินผิงอันสองจิตสองใจ
จงขุยกลับไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันได้ปฏิเสธ เขากระทืบเท้าหนึ่งที ประหนึ่งหินก้อนหนึ่งที่ถูกโยนลงไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ใต้ฝ่าเท้าจึงเกิดทัศนียภาพที่มีริ้วน้ำแผ่กระเพื่อม ลายน้ำทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สุดท้ายเกิดลางว่าจะซัดโหมย้อนกลับ จงขุยที่กั้นขวางมืดและสว่างเป็นฟ้าดินสองแห่งเรียบร้อยแล้วเผยร่างกายธรรม สวมชุดคลุมขุนนางสีแดงสด พ่นลมออกมาเบาๆ รวบรวมก้อนหยกสีชาดที่สามารถเอาไว้ตรวจเอกสารทางการก้อนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นจงขุยก็ประกบสองนิ้ว ปาดลงไปบนก้อนหมึก ใช้มือต่างพู่กัน ปากท่องคาถา ล้วนเป็นภาษาโบราณที่ความหมายคลุมเครือยากเข้าใจ ช่วยวาดยันต์กักร่างบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน
เมื่อทำสำเร็จ จงขุยก็แค่นเสียงหึในลำคอหนึ่งที “เป็นยันต์ผีวาดจริงๆ”
เฉินผิงอันสะบัดมือ ร่างทั้งร่างคล้ายลดความรู้สึกอืดอาดยืดยาดออกไปได้หลายส่วน
ราวกับว่ามือและเท้าทั้งสองต่างก็ปลดยันต์ปราณแท้จริงครึ่งจินแปดตำลึงของร้านยาตระกูลหยางออกไปได้ด้วยตัวเอง
เวลานี้ต่อให้จะนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมก็ยังมีความรู้สึกเหมือนได้ยกหินออกจากอกและรู้สึกเหมือนได้ทะยานลม
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที บิดหมุนข้อมือ ยิ้มเจิดจ้ากล่าวว่า “ขอบคุณนะ”
จงขุยเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำตัวห่างเหินขนาดนี้เชียว”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ไม่พูดจาตามมารยาทกับเจ้าคำสองคำต้องถูกนินทาในใจว่าข้าไม่รู้จักวางตัวเป็นคนแน่นอน นักบัญชีในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ไม่ใจแคบเป็นไส้ไก่?”
ด่าคนอื่นต้องด่าตัวเองก่อน ย่อมอยู่ในสถานะไร้พ่าย
เอ่ยประโยคด้วยความโมโหเพิ่มมาประโยคหนึ่ง มักจะก่อให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน ทุกสิ่งที่ทำมาล้วนสูญเปล่า หลักการเหตุผลนับร้อยที่พูดด้วยความหวังดีล้วนหมดประโยชน์
เอ่ยประโยคไร้สาระน้อยลงไปประโยคหนึ่ง มักจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทุกหนทุกแห่งในใจคนมีพืชหญ้ารกชัฏมากมาย การคาดเดา ความผิดหวัง ความไม่พอใจ ปรากฏขึ้นๆ ลงๆ
มีเพียงคนเก่าแก่ในยุทธภพเท่านั้นที่ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
พบเจอแล้วถูกชะตากัน ลงจากหลังม้าร่ำสุรา เจอกับเรื่องไม่เป็นธรรม ฆ่าคนกลางตลาด
จงขุยกล่าว “ยันต์กักร่างแผ่นนี้ของข้ามิอาจคงอยู่ได้นานนัก อย่างมากสุดก็แค่ปีครึ่งปี แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวคราวหน้าข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่”
เฉินผิงอันลองคำนวณเวลาแล้วก็เอ่ยว่า “ปีหน้าข้าอาจต้องเดินทางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนให้เจ้ามาเยือนภูเขาเซียนตูอีกสักรอบแล้ว”
จงขุยพยักหน้า “ไม่แน่ว่าอาจผ่านทางมาพอดี”
จงขุยเอ่ยเสียงเบา “ขอให้ข้าได้พูดประโยคที่อาจระคายหูสักหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
“หากไม่มีเรื่องของการแกะสลักตัวอักษร สภาพของเจ้าต้องอนาถมากแน่ อย่าลืมล่ะว่าตอนที่สองฝ่ายคุมเชิงกันในการประชุม คนแรกที่บอกว่าจะทำสงคราม ก็คือเจ้า ถึงขั้นไม่ใช่หลี่เซิ่งด้วยซ้ำ”
“สมมติว่าบนสนามรบของเปลี่ยวร้าง หากแพ้มากชนะน้อยยังพูดง่าย จะดีจะชั่วใต้หล้าไพศาลก็ยังเห็นแก่ความดีของเจ้าและของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่หากสถานการณ์ฝ่ายของพวกเราบุกตะลุยรุดหน้าเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ ทะยานไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกหนทุกแห่งล้วนสร้างคุณความชอบทางการสู้รบได้ไม่ขาด เจ้าจะต้องอนาถมากแน่ๆ ก่อนหน้านี้เจ้าอ้วนอวี่จิ่นมีคำพูดประโยคหนึ่งที่เอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่บางทีก็อาจเป็นการจงใจให้ข้ามาเตือนเจ้า เขาบอกว่า ‘ละโมบคุณความชอบมาเป็นของตัวเอง’”
“เพราะเจ้าคืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นบนร่างของเจ้าก็เท่ากับแบกรับคุณความชอบทางการสู้รบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งหมดเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะคิดอย่างไร และเจ้าเคยใช้สถานะของอิ่นกวานทำอะไรไปบ้าง ทุ่มเทอะไรไปบ้าง สักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นไม่สำคัญขนาดนั้นอีกแล้ว แต่ในเมื่อเจ้าแกะสลักตัวอักษรลงไปบนหัวกำแพงเมือง ไม่ว่าสถานการณ์ของใต้หล้าในอนาคตจะดีหรือไม่ดี อย่างน้อยที่สุดภายในเวลาร้อยปีก็สามารถอุดปากคนที่จะพูดนินทาไว้ได้ไม่น้อย”
เฉินผิงอันยกกาเหล้าขึ้น “ไม่สู้ดื่มเหล้า”
จงขุยใช้กาเหล้าในมือชนกับอีกฝ่ายเบาๆ “ถือเสียว่าข้าพูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อนก็แล้วกัน สามารถฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป”
“มีเรื่องหนึ่งที่อาจต้องขอให้เจ้าช่วย”
จงขุยลุกขึ้นยืน “ใกล้ๆ นี้มีศาลเทพอภิบาลเมืองหรือไม่?”
ขอเทพกราบพระหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบไหว้ภูเขา
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนตามไปด้วย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “มีแค่ศาลเทพแห่งผืนดินแห่งเดียว มีชื่อว่าต่าวเซ่อ สถานที่ไม่ใหญ่มาก ได้ยินมาว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย ข้านำทางให้ไหม?”
จงขุยส่ายหน้า “ช่างเถิด ไม่ถ่วงเวลาการปิดด่านรักษาบาดแผลของเจ้าแล้ว ข้าจะไปพูดคุยกับนายท่านเทพแห่งผืนดินที่นั่นเอง จะไปเดินเล่นบริเวณใกล้ๆ นั่นด้วย”
ตบไหล่ของบุรุษชุดเขียวข้างกายแรงๆ จงขุยยิ้มชั่วร้ายพูดว่า “สุราบางอย่าง เจ้าไม่กล้าดื่มหรอก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะดื่มเหล้าเคล้านารีก็ดื่มไปสิ แต่จำไว้ว่าห้ามใช้ชื่อของข้าลงบัญชีก็แล้วกัน”
จงขุยสะอึกอึ้งไปทันที เจ้าตัวดี ถึงกับทำนายได้ล่วงหน้าเลยหรือ
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “เรื่องขาดคุณธรรมประเภทนี้ แนะนำเจ้าว่าอย่าทำ!”
จงขุยโบกมือเป็นวงกว้าง “นายท่านใหญ่กูซู ย้ายสถานที่กันเถอะ”
เจ้าอ้วนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ วิ่งตุปัดตุเป๋มาทางจงขุย
คนทั้งสองไม่ทะยานลม แค่ก้าวเดินรวดเร็วราวกับบิน ออกไปจากอาณาเขตของภูเขาเซียนตู
เฉินผิงอันมองส่งจงขุยที่จากไปไกล หลังจากนั้นก็ร่ายเวทร่างเมฆาวารีกลับเข้าไปในถ้ำสวรรค์ฉางชุนของยอดเขาชิงผิงที่ประตูถูกร่ายตราผนึก ปิดด่านต่ออีกครั้ง
เจ้าอ้วนแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีใครแล้วก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าหยั่งเชิงมาแล้ว น้ำลึกมากเลยล่ะ”
จงขุยคร้านจะคุยด้วย
เจ้าอ้วนรีบเปลี่ยนคำพูดทันใด “พี่น้องเฉินอายุน้อยๆ ก็สามารถสะสมทรัพย์สมบัติได้มากมายแล้ว น่ายินดีด้วยจริงๆ ในใจข้ารู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก ดีใจแทนเขามากเลย”
“น่ายินดีด้วยหรือ?”
จงขุยยิ้มถาม “รังเก่าบ้านเจ้าไม่เหลือสมบัติบ้างเลยหรือ?”
จะดีจะชั่วก็เคยเป็นผีขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง ต้องมีสมบัติอยู่ไม่น้อยเป็นแน่
ตอนนั้นอวี่จิ่นถูกหนิงเหยาหาตัวเจอ ถูกบีบให้ออกจากรังแล้วก็ต้องหนีตายอย่างทุลักทุเล บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ถูกกระบี่หนึ่งฟันใส่ไม่ทันได้ตั้งตัว บนร่างเจ้าอ้วนก็ไม่ได้พกพวกวัตถุฟางชุ่น วัตถุจื่อชื่อเอาไว้ ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่าอวี่จิ่นแสร้งทำเป็นยากจนให้จงขุยดู แต่เป็นเพราะบนร่างเจ้าอ้วนไม่มีเงินจริงๆ
อวี่จิ่นหยุดเดิน โมโหจนต้องกระทืบเท้า เอ่ยอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “จงขุย ไยต้องสาดเกลือลงบนบาดแผลของผู้อื่น หากบัณฑิตอย่างพวกเจ้าตัดใจทิ้งศักดิ์ศรีหน้าตาได้ลง คิดแต่จะหาเงินทองอย่างเดียว จะไม่ใจดำยิ่งกว่าพวกพ่อค้าอีกหรือ? ทางฝั่งศาลบุ๋นจะเหลือเศษซากน้ำแกงอะไรให้ข้ากินบ้าง?”
เจ้าอ้วนยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห ตีอกชกตัว โอดครวญไม่หยุด “หัวใจข้าเหมือนถูกมีดคว้าน เจ็บปวดทรมานไปหมดแล้ว!”
จงขุยก้าวเดินไม่หยุด เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พอได้แล้ว มาโอดครวญกับข้าไม่มีความหมายหรอก ไม่ใช่ข้าสักหน่อยที่อยากจะเป็นเค่อชิงหรือผู้ถวายงานของสำนักกระบี่ชิงผิงน่ะ”
มีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ เพียงแต่ว่าอยู่ในโลกมืดแห่งนั้น สิ่งที่ถูกโม่กลับค่อนข้างจะน่าขนพองสยองเกล้าแล้ว
เจ้าอ้วนออกเดินต่อ ถามว่า “จะให้เงินจริงๆ หรือ จะได้เป็นจริงๆ หรือ?”
จงขุยยิ้มกล่าว “ข้าก็แค่แนะนำ สุดท้ายจะได้หรือไม่ได้ ข้าไม่ใช่คนตัดสินใจ”
แต่ฟังจากความนัยในคำพูดนี้แล้ว เจ้าอ้วนต้องมีเงินเก็บก้อนใหญ่เลยสินะ?
มั่นใจว่าต่อให้ศาลบุ๋นขุดดินลึกลงไปสามฉื่อก็ยังไม่อาจค้นหาสมบัติทั้งหมดของมันเจอ? หรือจะบอกว่าที่บ้านเกิดได้ซ่อนสมบัติเอาไว้นับไม่ถ้วนตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่?
เจ้าอ้วนไม่ใช่คนที่ยิงลูกดอกโดยไม่มีเป้าหมาย ยื่นมือไปคว้าแขนของจงขุย เอ่ย “จงขุย เจ้าบอกข้ามาให้แน่ชัด”
จู่ๆ อวี่จิ่นก็รู้สึกกระวนกระวาย เพียงแต่ไม่ว่าเจ้าอ้วนจะใคร่ครวญอย่างไรก็หาต้นสายปลายเหตุไม่พบ
สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของเจ้าอ้วนที่อยู่ข้างกาย จงขุยก็ถามว่า “เป็นอะไรไป?”
อวี่จิ่นสะบัดหัวอย่างแรง “ประหลาดนัก มักรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง”