กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 899.4 อนาคต
จงขุยเหลือบมองเจ้าอ้วนด้วยสายตาเวทนา “เจ้าไปหาเรื่องใครไม่หา ดันไปหาเรื่องเผยเฉียน”
อวี่จิ่นกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “แม่นางน้อยคนนั้นหรือ? ข้ามองดูแล้วนางก็มีมารยาทมากนะ”
จงขุยยิ้มเอ่ย “ฟังข้าสักคำเถอะ พอไปถึงศาลแห่งผืนดินแล้วก็จุดธูปคารวะเจ้าพ่อเทพแห่งผืนดินให้ดี”
ทางฝั่งของภูเขาเซียนตู เผยเฉียนถามอย่างสงสัยว่า “ศิษย์พี่เล็กจะออกจากบ้านหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้า “จะพาเสี่ยวโม่ไปด้วย ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนด้วยกัน ลองไปเสี่ยงดวงดู”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที เอ่ยอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “หากอาจารย์พ่อถาม ข้าจะอธิบายให้ฟังเอง”
นี่ก็คือมิตรภาพของคนร่วมสำนักที่รู้กันได้เองโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยแล้ว
ดังนั้นเด็กหนุ่มชุดขาวกับคนหนุ่มสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวจึงวางงานที่อยู่ในมือลง จับมือกันพุ่งไปเหนือมหาสมุทรอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แอบไป ‘เปิดโปงเบื้องลึกเบื้องหลัง’ กัน
……
ตรอกฉีหลง
คงโหวแห่งร้านยาสุ้ย ชุยฮวาเซิงแห่งร้านฉ่าวโถว บนม้านั่งเล็กสองตัว หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กนั่งเรียงกันอยู่
เด็กชายผมขาวเริ่มบอกเป็นนัยแก่อีกฝ่ายว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับร้านบางแห่ง สามารถช่วยซื้อเครื่องประทินโฉมมาให้อีกฝ่ายได้ ลดตั้งหนึ่งส่วนเชียวนะ หากพูดเกลี้ยกล่อมให้มากหน่อยก็มีโอกาสที่จะได้ส่วนลดถึงสองส่วน
ในที่สุดชุยฮวาเซิงก็อดไม่ไหว หากแค่ครั้งสองครั้งก็ยังพอทำเนา ไหนเลยจะมีคนที่พยายามหลอกเอาเงินคนอื่นเขาอย่างเจ้ากันบ้าง ทุกวันนี้ข้าเองก็หาเงินได้ไม่ง่ายเหมือนกันนะ
แล้วนับประสาอะไรกับที่พี่ชายก็ไม่อยู่ข้างกายเสียด้วย แม้ว่าจ้าวเติงเกากับพี่หญิงจิ่วเอ๋อร์ในร้านจะเป็นคนดี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาหาเลี้ยงชีพอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่มีที่พึ่ง หากว่าในกระเป๋าไม่มีเงินส่วนตัวเลยสักนิดจะได้อย่างไร ผลคือไปๆ มาๆ กลับถูกเด็กชายผมขาวที่ชื่อว่าคงโหวผู้นี้หลอกเอาเงินเดือนไปเสียเกินครึ่ง
เด็กสาวเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ?”
เด็กชายผมขาวหัวเราะร่า “เจ้าเองก็ไม่โง่นี่นา”
วันนี้ป๋ายเสวียนพาเหยาเสี่ยวเหยียนออกมาจากหอบูชากระบี่ด้วยกัน มาที่เมืองเล็ก ไม่อย่างนั้นนางคนเดียวคงไม่กล้าลงจากภูเขา
เหยาเสี่ยวเหยียนรู้สึกอยากกิน จึงจะมาซื้อขนมบางส่วนจากร้านยาสุ้ยกลับไปกิน แล้วนับประสาอะไรกับที่ที่ร้านนี้ยังมีอาจารย์ที่นางต้องแสดงความกตัญญูอยู่ด้วย
ป๋ายเสวียนผู้นี้ แม้ปากจะพูดจาไม่น่าเชื่อถือ แต่ว่าทำอะไรก็พอจะมีวิธีการและมีกฎระเบียบอยู่บ้าง
มาถึงนอกร้าน เด็กชายผมขาวลุกขึ้นยืน สองมือเท้าเอวฉับ หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “ลูกศิษย์คนดี”
แม่นางน้อยหัวเราะเฮอๆ “อาจารย์คนดี!”
ดูสิดู อาจารย์และศิษย์คู่อื่นเขาสนิทสนมรักกันถึงเพียงใด
ป๋ายเสวียนเอาสองมือไพล่หลัง หลายวันแล้วที่ไม่ได้เอาโต๊ะไปตั้งวางในศาลา ช่วงนี้เขาตั้งใจฝึกตน มานะหลอมกระบี่อยู่ที่หอบูชากระบี่จริงๆ
ต่อให้มิอาจเทียบซุนชุนหวังที่พอหลอมกระบี่เสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรอีก แต่หากเทียบกับเหยาเสี่ยวเหยียนเจ็ดแปดคนแล้วกลับเหลือเฟือ
นี่อีกเดี๋ยวก็จะฝ่าทะลุขอบเขตแล้วไม่ใช่หรือ?
ก็เลยมาเตร็ดเตร่ที่เมืองเล็ก ใครกล้าหาเรื่องนายท่านใหญ่ป๋ายเสวียน? ขอให้เจ้ามาเถอะ นายน้อยอย่างข้าถ้าตัวต่อตัวก็ไร้ศัตรูเทียมทาน รวดเร็วฉับไว กระบี่บินพุ่งสวบๆๆ
น่าเสียดายที่ทุกวันนี้พี่ใหญ่เจี่ยไม่อยู่ที่ร้านแล้ว ได้ยินผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่หน้าประตูภูเขาบอกว่าได้เลื่อนตำแหน่งขุนนางแล้ว
คงโหวยิ้มเอ่ย “โอ้ นี่มันพี่ป๋ายไม่ใช่หรือ”
ป๋ายเสวียนยังคงเอาสองมือไพล่หลัง พยักหน้า อืมรับหนึ่งที เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วก็เริ่มมองสำรวจสถานการณ์การค้าในร้าน
เด็กชายผมขาวถามเหยาเสี่ยวเหยียน “ตำรากระบี่เจ็ดแปดเล่มที่อาจารย์มอบให้เจ้า ฝึกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เหยาเสี่ยวเหยียนหน้าม่อย “ยากมากเลย!”
นึกว่าจะต้องโดนสั่งสอนเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าเด็กชายผมขาวจะลูบศีรษะของแม่นางน้อย เอ่ยชมว่า “ดีมากเลย เหมือนอาจารย์”
เทียนหรานผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักสุ้ยฉูในอดีต หากจะพูดถึงคุณสมบัติในการฝึกตนของนางล่ะก็ นางกับคนผู้นั้น ทั้งสองฝ่ายห่างกันแค่หนึ่งแสนแปดพันลี้เสียที่ไหน?
ดังนั้นบรรพบุรุษอิ่นกวานโยนเจ้าเลอะเลือนน้อยผู้นี้มาให้ตนจึงดีเยี่ยมมากๆ เลย
ป๋ายเสวียนงอนิ้วเคาะลงบนโต๊ะคิดเงิน พูดกับเจ้าใบ้น้อยที่ยืนอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก “อาหมาน เอาสมุดบัญชีมาสิ ข้าจะตรวจบัญชี”
เจ้าใบ้น้อยทำสีหน้าเฉยเมย เงยหน้าขึ้นขยับปากขมุบขมิบ
ดูจากรูปปากแล้วน่าจะเป็นคำว่า ไสหัวไป
ป๋ายเสวียนทอดถอนใจ เป็นเจ้าใบ้น้อยคนหนึ่งจริงๆ เสียด้วย
จากนั้นป๋ายเสวียนก็ถามชวนคุย “เถ้าแก่สือล่ะ?”
อาหมานแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ต่อไป
ป๋ายเสวียนไม่ถือสาเจ้าใบ้น้อย หมุนตัวเดินไปหยิบขนมมาชิ้นหนึ่ง ยัดเข้าปากพูดเสียงอู้อี้ “เหยาเสี่ยวเหยียน จดลงบัญชีของเจ้า ข้าไม่มาเป็นเพื่อนเจ้าเปล่าๆ หรอกนะ”
เหยาเสี่ยวเหยียนที่อยู่นอกประตูร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเริ่มควักเงิน
ใบหน้าของเด็กชายผมขาวเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์คนดีของข้า ทำอะไรใจกว้าง!”
“อาจารย์ ท่านไม่กินขนมสักหน่อยหรือ? ถือว่าข้ากตัญญูต่ออาจารย์”
เด็กชายผมขาวถลึงตาใส่ “ต่อให้อาจารย์จะยากจนแค่ไหน แต่ในเรื่องปณิธานก็มิอาจยากจนได้…”
ป๋ายเสวียนหันหน้ามาตะโกนโหวกเหวก “น้องคงโหว อยากได้ขนมซิ่งฮวาไหม? เหลืออีกไม่มากแล้ว หากเจ้าไม่เอา ข้าจะกินหมดแล้วนะ”
คนที่อยู่ข้างนอกรีบตะเบ็งเสียงตอบกลับทันใด “เหลือไว้ให้ข้าสองชิ้น!”
เด็กชายผมขาวพลันหันขวับกลับมา ตรงมุมหัวเลี้ยวของถนนมีเซียนกระบี่ใหญ่หมี่เดินมา
ข้างกายยังมีแม่นางน้อยสีหน้าทื่อมะลื่อตามมาด้วย ดูเหมือนจะชื่อว่าซุนชุนหวัง
อีกเดี๋ยวเรือเฟิงยวนก็จะต้องเดินทางจากท่าเรือหนิวเจี่ยวไปยังอุตรกุรุทวีปแล้ว หมี่อวี้จึงมาเรียกป๋ายเสวียนให้ขึ้นเรือไปด้วยกัน
ป๋ายเสวียนกินขนมแล้วก็ปัดมือ เอ่ยลาเหยาเสี่ยวเหยียน ถามนางว่าต้องการให้ตนคุ้มกันกลับไปส่งที่หอบูชากระบี่หรือไม่ แม่นางน้อยบอกว่าไม่ต้อง ยังมีอาจารย์ของข้าอยู่นะ
ป๋ายเสวียนออกจากร้าน ติดตามหมี่อวี้ไปที่ท่าเรือหนิวเจี่ยวด้วยกัน
ขึ้นไปบนเรือข้ามฟากแล้ว ป๋ายเสวียนถึงได้ถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าตาปลาตายยังตามมาด้วยเลย ทำไมเจ้าเลอะเลือนน้อยถึงไม่ติดตามพวกเราไปสำนักเบื้องล่างด้วยล่ะ?”
หมี่อวี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่เรียกให้เจ้าไปเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของสำนักเบื้องล่าง นอกจากนี้ หน่วนซู่ จ้าวซู่เซี่ย จ้าวหลวน และเหยาเสี่ยวเหยียน พวกเขาจะไม่ได้ไปที่ภูเขาเซียนตูแล้ว”
กวอจู๋จิ่วกับหมี่ลี่น้อย ทุกวันนี้สนิทสนมคุ้นเคยกันอย่างมาก ทุกวันจะต้องออกลาดตระเวนภูเขาเฝ้าประตูภูเขาด้วยกัน มีความสุขไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ป๋ายเสวียนเอาสองมือไพล่หลัง อืมรับหนึ่งที พูดด้วยเสียงทุ้มหนัก “ใต้เท้าอิ่นกวานยังคงให้ความสำคัญกับอิ่นกวานน้อยน้อยอย่างข้ามากที่สุดจริงเสียด้วย”
หมี่อวี้ยิ้มบางๆ พร้อมพยักหน้ารับ
อันที่จริงป๋ายเสวียนคอยใช้หางตามองประเมินหมี่อวี้อยู่ตลอดเวลา “คงไม่ได้เป็นกับดักหรอกกระมัง?”
หมี่อวี้เบ้ปาก
ป๋ายเสวียนลังเลเล็กน้อย “หมี่อวี้ เจ้าต้องสาบานกับข้า ไม่ใช่ว่าเผยเฉียนเรียกให้ข้าไปที่นั่นหรอกนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะกลับหอบูชากระบี่ไปฝึกกระบี่แล้ว!”
หมี่อวี้ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น “ข้าสาบานว่าไม่ใช่เผยเฉียนที่คิดจะหาเรื่องเจ้าแน่นอน”
ป๋ายเสวียนหัวเราะฮ่าๆ “ข้ายังต้องกลัวนางหรือไง?”
หมี่อวี้ยิ้มไม่พูดอะไร
เจ้าเด็กป๋ายเสวียนผู้นี้ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘อวิ๋นโหยว’ (ท่องเที่ยวพเนจร)
วิชาอภินิหารของกระบี่บินเล่มนี้ที่ ‘สวรรค์ประทานให้’ มีความคล้ายคลึงกับใบหลิวหนึ่งใบของเจียงซ่างเจิน เชี่ยวชาญการใช้บาดแผลมาแลกด้วยชีวิต
หากจับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ด้วยกันจะยึดครองความได้เปรียบไปอย่างสิ้นเชิง
รับมือกับผู้ฝึกกระบี่ยังเป็นเช่นนี้ รับมือกับผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
น่าเสียดายก็แต่มีชาติกำเนิดอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จึงกลับกลายเป็นซี่โครงไก่ ดังนั้นในบันทึกของคฤหาสน์หลบร้อนจึงได้แค่ระดับ ‘สามล่าง’ เท่านั้น
บวกกับที่จำนวนของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมิอาจเทียบกับลูกคิดน้อยและเลอะเลือนน้อยได้ เนื่องจากน่าหลันอวี้เตี๋ยได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่าง ‘ซิ่งฮวาเทียน’ ‘ฮวาเติง’ ซึ่งมีครบทั้งป้องกันและโจมตี
ส่วนเหยาเสี่ยวเหยียนก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างเพียงคนเดียวในบรรดาคนวัยเดียวกันเก้าคนที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่มอย่าง ‘ชุนซาน’ ‘จูหว่าง’ ‘หนีซาง’
อย่าเห็นว่าถูกป๋ายเสวียนตั้งฉายาให้ว่า ‘เลอะเลือนน้อย’ เหยาเสี่ยวเหยียนต่างหากถึงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้อย่างมั่นคงที่สุดในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคน
ย้อนกลับมามองซุนชุนหวังกับป๋ายเสวียน แม้จะบอกว่าต้องเลื่อนเป็นโอสถทอง ก่อกำเนิดได้เร็วกว่าแน่นอน แต่หากเทียบกันด้านความ ‘ราบรื่น’ และ ‘มั่นคง’ ในการฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ยังคงเป็นเหยาเสี่ยวเหยียนที่ได้เปรียบมากกว่า
ดังนั้นน่าสงสารนายท่านใหญ่ป๋ายเสวียน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าตัวเอง ‘คุณสมบัติธรรมดา’ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับ ‘คุณสมบัติรั้งท้ายสุด’ ตอนที่เพิ่งออกจากบ้านเกิดแล้วได้เจอกับใต้เท้าอิ่นกวาน ป๋ายเสวียนก็เริ่มรู้สึกตัวอย่างเชื่องช้าแล้ว ป๋ายเสวียนไม่ใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หอบูชากระบี่ หลอมกระบี่ร่วมกับคนวัยเดียวกันกลุ่มหนึ่ง ทั้งยังมีคำชี้แนะจากสุยโย่วเปียนในบางครั้ง จะมากจะน้อยเขาก็รู้แล้วว่าคุณสมบัติของตัวเอง ไม่ได้แย่
เรือเฟิงยวนมาหยุดจอดที่ท่าเรือตำหนักฉางชุนครู่หนึ่ง ยังคงเป็นอาจารย์จ้งที่รับหน้าที่สานสัมพันธ์กับบนภูเขา
หมี่อวี้ไม่ได้ลงจากเรือ เพียงแค่ยืนพิงราวรั้วเท่านั้น
บนเรือข้ามฟาก นอกจากไฉอู๋แล้วก็มีเด็กๆ มาเพิ่มอีกสองสามคน
ป๋ายเสวียนที่ยังไม่รับใครเป็นอาจารย์
ซุนชุนหวังที่ตอนนี้เป็นลูกศิษย์ซึ่งไม่ได้รับการบันทึกชื่อของหนิงเหยาชั่วคราว
และยังมีลูกศิษย์ที่หมี่อวี้รับมาใหม่อย่างเหอกู
ซุนชุนหวังมีนิสัยรักสันโดษ กลับเป็นป๋ายเสวียนกับไฉอู๋ที่คล้ายจะนิสัยเข้ากันได้ดี ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันไม่มาก แต่มักจะอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งดื่มชา คนหนึ่งดื่มเหล้า อยู่เป็นเพื่อนกัน
หมี่อวี้ยังคงเห็นดีในตัวซุนชุนหวังอย่างมาก พรสวรรค์ดี แล้วยังขยันหมั่นเพียร ชอบงัดข้อกับตัวเองบนเส้นทางของการฝึกตน เพียงแต่ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับซุนจวี้เฉวียนหรือไม่
ก่อนที่จะถูกใต้เท้าอิ่นกวานพามาที่ใต้หล้าไพศาล หมี่อวี้ไม่เคยได้ยินว่ามีตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่เป็นเช่นนี้มาก่อน
แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องปกติ ปีนั้นคนรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แน่นอนว่าต้องมีหนิงเหยาเป็นผู้นำ
นอกจากภูเขาลูกเล็กอย่างพวกเฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูแล้ว ยังมีกลุ่มของพวกฉีโซ่วอีกหนึ่งกลุ่ม นอกจากนี้ก็ยังมีเกาเหย่โหว ผังหยวนจี้
แม้ว่าแต่ละคนจะอายุน้อย ทว่ากลับโดดเด่นสะดุดตาอย่างมาก คือช่วงเวลาอันดีงามอย่างสมชื่อจริงแท้
อายุน้อยกว่าพวกเขามาอีกหน่อยก็คือกลุ่มของเฉินหลี่ ‘อิ่นกวานน้อย’ และพวกกวอจู๋จิ่วแล้ว
เดิมทีเด็กๆ อย่างป๋ายเสวียน ซุนชุนหวัง ตามหลักแล้วจะต้องมีลำดับอาวุโสเท่ากับเฉินหลี่
หากไม่เป็นเพราะสงครามครั้งนั้น ผ่านไปอีกสักสิบยี่สิบปี เด็กๆ พวกนี้ก็จะถึงคราวที่ได้เฝ้าด่าน รับผิดชอบคอยรับรองผู้ฝึกกระบี่จากต่างถิ่นกันแล้ว
ในห้องแห่งหนึ่ง ไฉอู๋ที่เป็นเจ้าบ้านยกกาเหล้าขึ้นแกว่งไปทางป๋ายเสวียนกับเหอกู คงจะถามว่าจะดื่มเหล้าด้วยกันหรือไม่
ป๋ายเสวียนยกกาน้ำชาในมือขึ้น เหอกูโบกมือ ไฉอู๋จึงรินเหล้าให้ตัวเองชามเดียว
เหอกูถาม “ป๋ายเสวียน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งกับบรรพจารย์ผู้คุมกฎ ตำแหน่งขุนนางของใครใหญ่กว่ากัน?”
ที่ภูเขาลั่วพั่ว โจวเฝย พี่หญิงฉางมิ่ง ต่างก็ไม่แสดงออกชัดเจนว่าใครตำแหน่งขุนนางใหญ่กว่ากัน
ส่วนที่ภูเขาเซียนตู หมี่อวี้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ชุยเหวยเป็นผู้คุมกฎ
ในบรรดาเด็กทั้งเก้าคน เหอกูตัวสูงที่สุด กระบี่แห่งชะตาชีวิตมีชื่อว่า ‘เฟยไหลเฟิง’ (ยอดเขาที่บินมา) วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินคล้ายคลึงกับการย้ายภูเขาเติมเต็มสายน้ำของซานจวินห้ามหาบรรพต
ตระกูลเหอไม่ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่สูงศักดิ์ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นจึงไม่ได้มีบ้านอยู่ที่ถนนไท่เซี่ยงหรือที่ถนนอวี้ฮู่ แต่รากฐานกลับไม่ตื้นเขิน ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นบรรพบุรุษต่างก็อยู่ใต้อาณัติของสายสิงกวาน
รอกระทั่งหาวซู่มารับตำแหน่งเป็นสิงกวานคนสุดท้าย มีสิงกวานก็เหมือนไม่มี คล้ายเป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น เหอกูห้อยกระบี่สั้นเล่มหนึ่งไว้ที่เอวชื่อว่า ‘ตู๋ซูปี้’ (บ่าวรับใช้ที่ได้เล่าเรียนเขียนอ่าน) เป็นของสืบทอดจากบรรพบุรุษ
ป๋ายเสวียนนั่งยกขาไขว่ห้าง เอ่ยว่า “หากอิงตามลำดับที่นั่งบนยอดเขาจี้เซ่อ เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งที่มีฐานะสูงกว่าเล็กน้อย แต่ผู้คุมกฎกลับมีอำนาจที่แท้จริงมากกว่า ถือว่าต่างคนต่างมีสูงมีต่ำกระมัง ยากที่จะบอกได้ว่าใครตำแหน่งขุนนางใหญ่กว่า”
ตรงหัวเรือ หมี่อวี้ฟุบตัวลงบนราวรั้ว
ชุยตงซานเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังเป็นการส่วนตัว ที่ยอดเขามี่เซวี่ย มีเพียงผู้ฝึกกระบี่เท่านั้นถึงจะแกะสลักลงบนหน้าผาได้
หมี่อวี้เริ่มมีความคาดหวังต่อภูเขาลั่วพั่วและสำนักกระบี่ชิงผิงในอีกหนึ่งร้อยปีให้หลังแล้ว
ปรมาจารย์มากมาย เซียนกระบี่ดุจก้อนเมฆรวมตัวกัน วันหน้าคู่ควรให้คาดหวัง อนาคตรอคอยอยู่