กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 900.3 เพื่อนบ้าน
ก่อนหน้านี้อยู่ในศาลเทพแห่งผืนดิน จากนั้นเดินเล่นจนมาถึงที่นี่
ในเมืองมีกลิ่นอายไพศาลอยู่เสี้ยวหนึ่ง
ถึงได้ทำให้วิญญาณหยินมากมายสามารถรักษาสติสัมปชัญญะที่แจ่มใสเอาไว้ได้ ไม่ถึงกับตกกลายไปเป็นผีร้าย
น่าจะเป็นฝีมือตระกูลเซียนของเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น
เจ้าอ้วนคว้าเมล็ดถั่วเหลืองหนึ่งกำมือยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ จากนั้นกรอกเหล้าหนึ่งอึก เงยหน้ากระดกดื่มอึกๆๆ แล้วกลืนลงไปรวดเดียวคล้ายกับมันเป็นน้ำเปล่าที่ใช้บ้วนปาก “จงขุย ทำไมถึงไม่บอกกับพี่น้องเฉินไปตามตรง พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ขอให้เขาช่วยก็ได้แล้ว”
จงขุยหยิบกล่องไม้ใบนั้นออกจากชายแขนเสื้อมาวางไว้บนหัวเข่า เปิดกล่องไม้ออกเบาๆ ด้านในบรรจุเงินเทียนซือพิฆาตผีไว้หนึ่งชุด “แค่พบหน้ากันก็จะขอให้คนเขาช่วยเลยได้อย่างไร ในใจรู้สึกไม่ดีหรอก”
จงขุยหยิบเหรียญหนึ่งในนั้นขึ้นมา เป่าลมใส่ ใช้ชายแขนเสื้อเช็ด “แล้วนับประสาอะไรกับที่การสร้างสำนักเบื้องล่างคือเรื่องน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้า เรื่องที่ข้าจะทำ หากลองเปลี่ยนเป็นเจ้าที่ได้ยินจะไม่รู้สึกอัปมงคลหรอกหรือ?”
เจ้าอ้วนหัวเราะฮ่าๆ “คงกลัวว่าจะถูกปฏิเสธแล้วจะขายหน้ามากกว่ากระมัง?”
เห็นว่าจงขุยเคลื่อนสายตามามอง เจ้าอ้วนก็รีบเอ่ยแก้ไขทันที “ทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว พวกเราสองคนคือใครกับใคร คนที่ต่อให้ตายก็ยังต้องการศักดิ์ศรีอย่างข้า อยู่กับเขาก็ยังเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาไม่ใช่หรือ”
จงขุยเอ่ย “อันที่จริงก็เพราะรู้ว่าเขาจะต้องตอบตกลง อีกทั้งยังไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ข้าถึงได้ลำบากใจ คิดไม่ตกว่าควรจะเปิดปากหรือไม่ หรือจะเปิดปากเมื่อไหร่”
เจ้าอ้วนทอดถอนใจ “เข้าใจๆ ก็เหมือนข้าตอนที่ได้พบพี่น้องเฉินก็ไม่ได้เปิดปากขอตำแหน่งเค่อชิงผู้ถวายงานอะไรจากเขา พวกเราสองพี่น้องต่างก็หน้าบาง อันที่จริงออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ทำตัวแบบนี้จะเสียเปรียบอย่างมาก”
จงขุยขมวดคิ้วน้อยๆ “คนกลุ่มนี้ถึงกับกล้ามาค้างคืนในเมือง ไม่ต้องการชีวิตกันแล้วหรือไร?”
เจ้าอ้วนยิ้มเอ่ย “พวกเขาจะรู้เรื่องวงในได้อย่างไร เพราะการดำรงอยู่ของสิ่งนี้ จึงรู้สึกแค่ว่าสถานที่แห่งนี้ปลอดภัย ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เดินไปบนเส้นทางน้ำพุเหลืองแล้ว”
ในนครผีแห่งนี้ คงเป็นเพราะปราณดุร้ายเข้มข้นเกินไป ไม่ทันระวังจึงบ่มเพาะให้เกิดผีที่กินผีตนหนึ่งขึ้นมา เมื่อเทียบกับพวกผีร้ายในเรือนมืด ราชาผีตามซากปรักทั่วไปแล้วดุร้ายกว่ามากนัก ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดยังเป็นเพราะผีตนนี้คล้ายกับตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่คุณสมบัติโดดเด่นคนหนึ่ง ไม่ถึงสิบปีก็อาศัยการกลืนกินพวกเดียวกันแอบสร้างโอสถทองได้สำเร็จแล้ว อีกทั้งยังทำอะไรระมัดระวัง จึงไม่เคยถูกผู้ฝึกตนหาตัวเจอ หากว่าวันนี้มันได้กินคนบนโลกมนุษย์กลุ่มใหญ่ไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณที่หล่อเลี้ยงบำรุงจิตวิญญาณและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เลือดลมโชติช่วง แล้วปล่อยให้มันได้ตำราลับวิถีผีไปอีกสักสองสามบท หึ คาดว่าไม่ถึงสามสิบห้าสิบปีก็คงทำสำเร็จได้แล้ว จากนั้นค่อยหลอมเมืองผีแห่งหนึ่งเป็นฟ้าดินเล็กร่างกายตนเอง ก็เท่ากับว่ามันจะสามารถเดินทางตอนกลางวันได้อย่างไร้อุปสรรค เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาของมนุษย์เสียใหม่ คิดจะตามหาร่องรอยมันให้พบก็ยากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว
ไม่อย่างนั้นจงขุยก็คงไม่มีทางพานายท่านใหญ่กูซูมาหยุดอยู่ที่นี่
กำจัดปีศาจปราบมาร เป็นความรับผิดชอบที่มิอาจเลี่ยงได้
จงขุยดื่มเหล้าไปหนึ่งกา บอกให้เจ้าอ้วนเก็บจานกับแกล้มแล้วกระโดดลงไปเบาๆ เหมือนนกที่บินโฉบออกจากห้องโถง กระโดดพลิ้วไปบนสันหลังคาของสิ่งปลูกสร้าง จากนั้นพลันทิ้งตัวลงไป นั่งลงบนระเบียงคนงามที่อยู่นอกห้องหอส่วนตัวของสตรี มองไกลๆ ไปเห็นว่าในลานเรือนของหอหนังสือแห่งหนึ่งมีพวกคนที่มาเก็บตกของดี มีจำนวนรวมหลายสิบคน ครึ่งหนึ่งกำลังขุดดินของที่แห่งนี้ลงลึกสามฉื่อ คนอื่นๆ ต่างก็กำลังค้นห้องใต้ดิน บ่อน้ำแห้งขอดและห้องลับที่แทรกอยู่ตามกำแพง ทุกคนยุ่งวุ่นวายกันอย่างมาก ในบรรดาคนเหล่านี้มีทั้งผู้ฝึกลมปราณครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็มีทั้งผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ ฝ่ายหลังส่วนใหญ่ล้วนสวมเสื้อเกราะ ล้วนมีอาวุธอยู่ติดตัว บ้างก็เป็นธนูสะพายหลัง หน้าไม้ หรือไม่ก็พกกระบี่เหรียญทองแดง และยังมีคนที่สะพายถุงข้าวเหนียวกับเลือดหมาดำไว้ด้วย มีผู้ฝึกตนผูกกระดิ่งไว้ที่เอว ในมือถือกระจกส่องมาร เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาดี
ด้านนอกยังมีรถเข็นล้อเดียวจอดไว้อยู่หลายคัน เนื่องจากไม่ว่าจะตีให้ตายอย่างไร ลาและม้าก็ไม่กล้าเข้ามาในเมืองแห่งนี้
ขุดเจอเงินเจ็ดแปดไหก็ส่งเสียงไชโยโห่ร้องดังปานเสียงฟ้าผ่า
คนหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าเหลืองแห้งตอบพลันเอ่ยว่า “สามารถลองขุดให้ลึกลงไปอีกสักจั้งสองจั้งได้”
และพอขุดลึกลงไปหนึ่งจั้งก็เจอไหที่ฝังอยู่ใต้ดินมากกว่าเดิมจริงดังคาด พอเปิดออกก็มีแต่ไข่มุกอัญมณีที่มีค่ามากยิ่งกว่า
เจ้าอ้วนหัวเราะหึหึ “ดูจากรูปร่างของจวนหลังนี้ ก่อนจะลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็นขุนนางขั้นสามในเมืองหลวงที่อยู่ในศูนย์กลางของราชสำนัก ช่างเป็นนายท่านขุนนางที่สูงศักดิ์จริงๆ หากโชคดีได้เป็นขุนนางที่รักของกว่าเหริน ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะได้รับสมญานามตามหลังด้วยอักษรคำว่าเหวินเลยทีเดียว”
ทางฝั่งของลานในบ้านหลังนั้น สตรีหน้าตางดงามอายุประมาณสามสิบปีคนหนึ่งเรือนกายค่อนข้างเตี้ย แต่รูปโฉมกลับงามชวนตะลึง ผิวพรรณขาวสะอาด แล้วก็เพราะนางสวมชุดรัดรูปเอวสั้น จึงยิ่งทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวได้อย่างชัดเจน ผิวของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ เห็นเพียงว่าดวงตาของนางฉ่ำน้ำแวววาว พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “กู่ชิว เจ้าเก่งจริงๆ ผลเก็บเกี่ยวในวันนี้เจ้าจะได้เพิ่มเติมไปอีกหนึ่งส่วน”
คนหนุ่มประสานมือคารวะขอบคุณสตรีผู้นั้น
เจ้าอ้วนนอนฟุบอยู่บนราวระเบียงของเก้าอี้คนงาม ยืดคอยาวออกไป สองตาเปล่งประกาย พึมพำเบาๆ ว่า “พี่สาวคนนี้ ทั้งหน้าตาและบุคลิกล้วนโดดเด่นเหนือผู้ใดจริงๆ ทำให้กว่าเหรินเห็นแล้วลืมความธรรมดาสามัญไปเลย”
คนอื่นๆ ในจวนก็พากันมาที่ลานบ้านแห่งนี้ มีคนหนึ่งกอดน้ำเต้าลูกใหญ่ยักษ์วาดเป็นรูปเปลวเพลิงไว้ใบหนึ่ง ประเด็นสำคัญคือยังมีก้านจับด้วย ระดับขั้นดีเยี่ยม เขายิ้มถามสตรีผู้นั้นว่า “ฮูหยิน ของเล่นชิ้นนี้ใช่วัตถุวิเศษที่เทพเซียนอย่างพวกท่านใช้กันหรือไม่?”
สตรีเหลือบตามองมา ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีวัตถุวิเศษบนภูเขามากมายขนาดนี้ จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มีเพียงพวกคนรวยที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเท่านั้นแหละถึงจะเห็นมันเป็นสมบัติ มีค่ากี่อีแปะ เจ้าก็ต้องถามกู่ชิวดู เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้”
คนหนุ่มเอ่ย “หาปัญญาชนที่มองของออกสักคนหนึ่ง บางทีอาจมีค่าสักสามสี่ร้อยตำลึงเงิน แต่หากเป็นที่ท่าเรือตระกูลเซียน ราคานี้ย่อมขายไม่ออก”
คนผู้นั้นจึงมองสตรี ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา หัวเราะร่าลูบไล้ไปตามน้ำเต้า แล้วถึงได้ขว้างน้ำเต้าออกไปจนมันลอยไปกระแทกผนังอย่างแรง
สตรีตวัดตามองค้อน “คนบ้า”
ในใจของคนหนุ่มรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งยวด แต่กลับไม่กล้าพูดมากแม้แต่ครึ่งคำ
สีหน้าของสตรีฉายแววลำพองใจ ตนเก็บสมบัติกลางทางมาได้เปล่าๆ จริงเสียด้วย ไม่เสียแรงที่คนหนุ่มเป็นลูกหลานในตระกูลของหน่วยทอผ้าในหนึ่งแคว้น สายตาดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นพวกเขาเข้าเมืองมาครั้งนี้ก็มีแต่จะเป็นแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนไปทั่ว คาดว่าผลเก็บเกี่ยวที่ได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องลดลงครึ่งหนึ่ง
มีคนถือถุงป่านขนาดใหญ่นั่งยองอยู่บนบันไดขั้นล่างสุด ค้นๆ พลิกๆ อยู่พักหนึ่ง ให้กู่ชิวตรวจสอบราคา ถ้ามีค่าก็เก็บไว้ ไม่มีค่าก็โยนให้แตก
เขาหยิบเครื่องกระเบื้องปากกว้างชิ้นหนึ่งออกมา วาดเป็นลวดลายดอกบัวสีชมพูกับนกกระยาง ไม่รู้ว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร เพียงแต่ว่ามองดูแล้วคล้ายจะมีค่า จึงถามคนหนึ่งว่า “คือแจกันดอกไม้หรือ?”
“กระโถน”
“หมายถึงอะไร?”
“ไม่มีค่า”
บันไดขั้นบนสุดมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำสวมเสื้อเกราะคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ฮวาหลี สองมือค้ำยันด้ามดาบ บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นลากยาว รูปโฉมจึงดูดุร้าย เท้าเหยียบอยู่บนกลอนคู่ไม้หนานมู่ที่เหลืออยู่แค่อันเดียว ก่อนหน้านี้กู่ชิวบอกว่าของสิ่งนี้มีค่ามาก เป็นลายมือของปรมาจารย์ในวงการประพันธ์ท่านหนึ่งในรัชสมัยก่อนของราชวงศ์สกุลอวี๋ หากอยู่ครบเป็นคู่ อย่างน้อยก็ขายได้ห้าหกร้อยตำลึงเงิน ชายฉกรรจ์ทนรับการส่งสายตาไปมาให้แก่กันระหว่างสตรีบ้านตนกับเจ้าเด็กหน้าขาวผู้นี้ไม่ได้มากที่สุด จึงยกเท้ากระทืบมันจนแตกยับ
ชายฉกรรจ์มองสีท้องฟ้า เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “กลับกันได้แล้ว”
กลุ่มของพวกเขามาถึงเขตการปกครองเก่าแห่งนี้ตอนเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของปีนี้ ตามหาของเหลือที่หล่นออกจากปากของพวกเซียนซือทำเนียบหลายกลุ่ม เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน ราบรื่นอย่างมาก เมื่อเทียบกับคนร่วมอาชีพที่เจอกับเรื่องไม่คาดฝันมากมายในเมืองผีแห่งอื่น มีคนตายไปแล้วไม่น้อย พวกเขากลับยังไม่มีความเสียหายใหญ่อะไร ในนครมีเพียงแค่ผีเร่ร่อนที่ป้วนเปี้ยนไปมายามค่ำคืนเท่านั้น พวกเขาเลือกศาลเทพอภิบาลแห่งหนึ่งในเขตการปกครองเป็นที่พักพิง ตอนกลางคืนพวกผีก็ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้
แต่ผ่านไปแล้วครึ่งปี หากหักลบทุกอย่างออกเป็นเงินเทพเซียนแล้วล่ะก็ เท่ากับว่าได้เงินฝนธัญพืชมาเหรียญหนึ่งแล้ว
จงขุยเหลือบมองบ้านเล็กหลังหนึ่งที่อยู่ในเมือง มีเด็กสาวคนหนึ่งยืนเอนกายพิงต้นท้อเพียงลำพัง ใบหน้าของนางงดงามดุจดอกท้อ
ช่วงปลายฤดูหนาวเช่นนี้ ดอกท้อกลับผลิบานเต็มกิ่งก้าน แน่นอนว่าไม่สมเหตุสมผล ดูเหมือนเด็กสาวจะสัมผัสได้ถึงสายตาของจงขุย ด้วยเขินอายจึงเดินนวยนาดจากไป ตอนที่นางเลิกผ้าม่านขึ้นได้หันกลับมาแสยะยิ้มให้เขา
จงขุยถอนหายใจ ลุกขึ้นยืนปัดมือ ตะโกนบอกทุกคนที่อยู่ในลานบ้าน “นี่ ทุกคน ในเมื่อจะกลับกันแล้ว พวกเจ้าก็ให้ว่องไวหน่อย ถึงอย่างไรก็ได้กำไรกันไปแล้วไม่น้อย ก็ออกจากเมืองกลับบ้านใครบ้านมันไปเถอะ”
คนหลายสิบคนที่อยู่ในลานบ้านเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ บรรยากาศเคร่งเครียด ต่างก็เงยหน้ามองไปยังหอเรือนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เห็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง ข้างกายที่มีเจ้าคนอ้วนคนหนึ่งติดตามมาด้วย
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันหน้าไปมองจงขุย หัวเราะหยันเอ่ยว่า “เป็นคนหรือเป็นผี?”
ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งในนั้นเขย่ากระดิ่งอย่างแรง จากนั้นชูกระจกทองแดงโบราณขึ้นสูง อาศัยแสงอาทิตย์เสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่สาดส่องไปยังแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้น
แสงแวววาวของกระจกโบราณเปล่งวูบวาบอยู่บนใบหน้าของจงขุย จงขุยผินหน้าหนีน้อยๆ โบกมือยิ้มเอ่ย “พอแล้วๆ ข้าหวังดีเตือนพวกเจ้าว่าในเมืองมีผีที่หมายหัวพวกเจ้า รอจังหวะคอยโจมตีอยู่นานแล้ว”
เจ้าอ้วนกลอกตามองบน
ผู้ฝึกตนคนนั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ผีหรือปีศาจ”
สตรีมองไปยังบุรุษชุดเขียวท่วงท่าสุภาพอ่อนโยนคนนั้น นางขบริมฝีปาก โอ้ เป็นบัณฑิตยากจนคนหนึ่งหรือนี่
ชายฉกรรจ์ที่โยนน้ำเต้ารูปเปลวเพลิงทิ้งมองเจ้าอ้วนที่นอนฟุบคว่ำอยู่บนระเบียงเก้าอี้คนงาม พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “สิ้นปีแล้วยังมีหมูหลุดจากคอกกล้าออกมาวิ่งพล่านส่งเดชอีกหรือ? กังวลว่าพวกเราพี่น้องจะไม่มีอาหารกินในเมืองนี้หรือไร?”
“คนหนุ่มอย่าได้มีนิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ขนาดนี้สิ พูดจาไม่เข้าหูเอาเสียเลย”
อวี่จิ่นลุกขึ้นยืน ถอนสายตากลับมาจากร่างของสตรี “ในสี่มหาสมุทรล้วนมีแต่พี่น้อง ออกมาอยู่ข้างนอก หากมีวาสนาได้พบเจอกันก็คือสหาย แล้วไยต้องพูดจาทำร้ายจิตใจกันเล่า”
จงขุยเหลือบมองเจ้าอ้วน ทำไมจู่ๆ กลายเป็นคนใจเย็นแบบนี้ไปได้ล่ะ
ในอดีตหากเจอเรื่องทำนองเดียวกันนี้ มีตนอยู่ข้างกาย ไม่กล้าทำร้ายคนอื่นส่งเดช แต่ย่อมต้องขยับฝีปากให้หายคันบ้างแล้ว
ดูท่าตอนอยู่บนภูเขาเซียนตูคงเรียนรู้ที่จะจดจำบ้างแล้ว
สุดท้ายสายตาของจงขุยก็ไปหยุดอยู่บนร่างของ ‘กู่ชิว’ ที่แทบไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป เขาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “หยุดเสียเถอะ”
เด็กสาวที่ยืนเอนกายพิงต้นท้อในลานบ้านขนาดเล็กผู้นั้น อันที่จริงคือผีชางขอบเขตโอสถทองตนหนึ่ง และบุรุษหนุ่มคนนี้ต่างหากจึงจะเป็นเจ้าของนครผีแห่งนี้ที่แท้จริง
บุรุษหนุ่มเงยหน้ามองจงขุย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ล้วนเป็นพวกสมควรตาย ได้ยินว่าบนภูเขาของพวกเจ้ามีคำกล่าวบอกว่าคนที่รนหาที่ตายแม้แต่เทพเซียนก็ยากจะช่วยได้”
จงขุยส่ายหน้า “ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่น ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนี้ ทุกวันนี้แม้แต่ศาลเทพอธิบาลเมืองเจ้าก็ยัง ‘นั่งได้ไม่มั่นคง’ บนสมุดคุณความชอบก็ไม่มีการเคลื่อนไหว อย่าได้มั่นใจในตัวเองมากเกินไปนัก”
คนหนุ่มไม่เอ่ยอะไรอีก หลังจากความลังเลผ่านพ้นไปก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พาพวกเขาออกจากเมืองไปสิ”
จงขุยยิ้มถาม “ไม่คิดจะถามถึงตัวตนของข้าก่อน แล้วค่อยหยั่งเชิงขอบเขตสูงต่ำสักหน่อยหรือ?”
คนหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ต้อง ท่านอาจารย์คือผู้เที่ยงตรง มิอาจล่วงเกินได้”
เจ้าอ้วนจุ๊ปากพูดอย่างประหลาดใจ “พูดคุยกันเช่นนี้ เป็นผีก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
จากนั้นเจ้าอ้วนก็กระโดดผลุงขึ้นเหมือนถูกไฟลนก้น “อ้าว เจ้าขุนเขาเฉินมาได้อย่างไรกันนี่ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรอต้อนรับแต่ไกล ข้าก็ว่าแล้วเชียว ทำไมนครผีที่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวแห่งหนึ่งถึงมีกลิ่นอายเซียนแจ่มกระจ่างเพิ่มมากะทันหัน ที่แท้เจ้าขุนเขาเฉินก็มาเยือนนี่เอง…”
ระหว่างที่พูดก็ดีดปลายเท้าขึ้นแล้ว แม้จะหนักถึงสองร้อยกว่าจิน (หรือร้อยโล) กลับดีดร่างลอยพ้นพื้นได้อย่างแผ่วเบา ใช้ฝ่ามือข้างเดียวยันราวรั้ว กระโดดออกจากห้องหอของสตรีออกมาได้อย่างง่ายดาย เรือนกายใหญ่โตมโหฬารหล่นลงพื้นในลานบ้านกลับเงียบเชียบไร้เสียง
ที่แท้คนที่สวมชุดกว้าตัวยาวคนหนึ่งก็ยืนอยู่ตรงด้านหลังพนักเก้าอี้ที่ชายฉกรรจ์ค้ำดาบนั่งอยู่ ก้มหน้ามองกลอนคู่ไม้หนานมู่ที่ถูกเหยียบแตกไปแล้ว จากนั้นกวาดตามองเศษเครื่องกระเบื้องตรงด้านล่างขั้นบันได รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
มีใครเขาเป็นผ้าห่อบุญอย่างพวกเจ้าบ้าง?
เอาไปทำเป็นรถเข็นล้อเดียวอีกหลายๆ คันจะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงสักเท่าไรกันเชียว?
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ยิ้มอธิบายกับจงขุย “ผ่านทางมาพอดี เห็นพวกเจ้าอยู่ที่นี่ก็เลยแวะมาดู”
จงขุยบ่น “มีใครเขาปิดด่านรักษาบาดแผลแบบเจ้ากันบ้าง?”
เจ้าอ้วนไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด หันหน้ามาถลึงตาใส่จงขุย “บังอาจ! พูดกับพี่น้องเฉินของข้าอย่างนี้ได้ยังไง?!”
จงขุยพูดอย่างโมโหปนขำ “ท่านปู่เจ้าเถอะ”
เจ้าอ้วนเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรม “ข้าไม่ช่วยพี่น้องของตัวเอง หรือจะให้เข้าข้างคนนอกอย่างเจ้าล่ะ?”
เฉินผิงอันตบไหล่ของเจ้าอ้วน เอ่ยเตือนว่า “อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี แรงไฟ ต้องระวังแรงไฟ”
เจ้าอ้วนพูดอย่างคนใจฝ่อ “เจ้าขุนเขาเฉินไม่เสียแรงที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ แค่พูดง่ายๆ ก็เป็นถ้อยคำล้ำค่ากลั่นจากประสบการณ์ตรง”
คนทั้งกลุ่มที่อยู่ในลานบ้านเหมือนตกอยู่ท่ามกลางดงเมฆหมอก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายร่างกำยำที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่นั่งนิ่งไม่ขยับ มีมาดของปรมาจารย์ที่มั่นคงดุจหินผา
เนื่องจากชายชุดเขียวที่โผล่มาอย่างลึกลับด้านหลังคนนั้นใช้มือข้างหนึ่งกดพนักเก้าอี้ไว้เบาๆ ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนนี้ไม่กล้าขยับ แต่เขาเคยลองแล้ว กลับมิอาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันมอง ‘กู่ชิว’ ผู้นั้น ก่อนหน้านี้หลุบตามองเมืองผีมาจากทะเลเมฆก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของคนหนุ่มผู้นี้แล้ว เพียงแต่ว่ามีจงขุยอยู่ด้วย จึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร
เงยหน้ามองจงขุย เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ยังกล้าด่าท่านปู่อวี่จิ่นอีกหรือ หรือจะต้องให้ข้าขอร้องเจ้าให้เจ้าขอร้องให้ข้าช่วย?”
จงขุยนวดคลึงปลายคาง “ไม่รีบร้อน รอให้ผ่านวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิไปก่อน ขอให้ข้าเลือกวันก่อน”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกเดินทางต่อแล้วนะ”
จงขุยโบกมือ
ร่างของคนชุดเขียวจึงหายวับไปจากที่เดิม