กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 900.4 เพื่อนบ้าน
เรือข้ามฟากหลากสี
เรือลอยพลิ้วลงน้ำ ขณะเดียวกันก็หดเล็กลงมีขนาดใหญ่เท่าเรืออูเผิง ที่แท้ก็มาถึงสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ภูเขาและสายน้ำมาบรรจบกัน หน้าผาสูงชันอันตรายเหมือนถูกมีดปาด ยังพอจะมองเห็นร่องรอยของการเจาะทะลวงได้ เรือล่องจากสายน้ำตอนบนเข้ามาในหุบเขา แสงสว่างพลันวูบสลัวลงคล้ายผ่านด่านประตูผีเข้ามา มองเห็นก้อนหินใหญ่สีดำก้อนหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางน้ำในฉับพลัน ประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาบรรพกาลที่สวมเสื้อเกราะเดินลุยน้ำมาหยุดพักยังที่แห่งนี้ ใช้เรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารผ่าสายน้ำจากหนึ่งออกเป็นสอง เป็นเหตุให้คนขับเรือในท้องถิ่นมองว่าเป็นเส้นทางอันตราย
เซวียไหวยิ้มพูดอธิบาย “หากเป็นช่วงใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นและน้ำเริ่มแห้งนับว่าดีหน่อย แต่หากเป็นช่วงฤดูร้อนที่น้ำหลากแล้วล่ะก็ กระแสน้ำจะซัดรุนแรง เรือพุ่งทะยานตามน้ำไปอย่างรวดเร็วราวลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง ง่ายที่จะเป็นดั่งไข่กระทบหิน เรือถูกทำลายคนตายดับ ไม่อย่างนั้นก็คือกระแทกชนกับเรือที่ล่องทวนกระแสน้ำขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน้ำท่วม น้ำในแม่น้ำจะเชี่ยวกรากตรงดิ่งเข้าหาก้อนหินใหญ่ใจกลางน้ำก้อนนี้จนเกิดเป็นสายรุ้งได้เลย คนเรือที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังไม่กล้าล่องเรือผ่าน”
เซวียไหวชอบท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสายน้ำที่มีชื่อเสียง ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ได้ตั้งใจเลือกคืนที่แสงจันทร์กระจ่างน้ำไหลเชี่ยวรุนแรง อาจารย์ผู้เฒ่ายืนเหยียบบนเรือแจวลำน้อย ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาคือเซียน
เย่อวิ๋นอวิ๋นถาม “มีหินยักษ์ก้อนนี้ตั้งตระหง่านขวางกลางลำน้ำ คือสิ่งกีดขวางใหญ่ของโชคชะตาน้ำ ราชสำนักในท้องถิ่นไม่ได้แต่งตั้งพ่อปู่ลำคลองหรือเทพวารีให้มาสร้างศาลอยู่แถวนี้ ช่วยสยบกำราบชะตาน้ำ ทำให้สายน้ำสงบนิ่งบ้างเลยหรือ?”
เซวียไหวส่ายหน้า “อย่าว่าแต่นับแต่โบราณมาไม่มีศาลเทพวารีที่ราชสำนักแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเลย แม้แต่คนในท้องถิ่นก็ยังไม่กล้าสร้างศาลเถื่อนที่ไม่ถูกกฎขึ้นมาโดยพลการ บอกว่าเทพภูเขาและเทพวารีของที่นี่จะต้องตีกัน หากสร้างศาลขึ้นมา ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสองแห่ง ไม่ว่าจะตั้งบูชาเทพภูเขาหรือเทพวารีก็ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมสักทาง แต่ขุนนางในอำเภอและเขตการปกครองท้องถิ่น ช่วงแรกๆ ที่มารับตำแหน่งล้วนจะต้องมา ‘บูชาน้ำ’ ด้วยการโยนวัวม้าพร้อมเอกสารราชการลงน้ำไปพร้อมๆ กันเพื่อขอพรให้ได้รับการปกป้องคุ้มครอง”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างกังขา “ทำไมถึงมองดูเหมือนเนินเยี่ยนอวี้ในประวัติศาสตร์ก้อนนั้นเลย?”
เซวียไหวเอ่ยชื่นชม “ยังคงเป็นอาจารย์ที่ความรู้กว้างขวาง หากอาจารย์ไม่ได้พูดถึง ข้าก็คงไม่คิดไปถึงเนินเยี่ยนอวี้นั่นหรอก”
ในอดีตใต้หล้าไพศาลมี ‘เสาหินกลางกระแสน้ำ’ ใหญ่อยู่สี่ก้อน เนินเยี่ยนอวี้ก็คือหนึ่งในนั้น นอกจากนี้ที่นครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีอยู่แห่งหนึ่ง ใช้สีชาดทาทับอักษรแกะสลักตัวใหญ่สองคำว่า ‘ประตูมังกร’
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ย “หากอยู่ในอาณาเขตของผูซานก็สามารถเจาะพื้นที่เล็กๆ ไว้ทางเหนือของก้อนหินใหญ่ได้ ให้ผู้ฝึกยุทธพอได้หยัดยืน จากนั้นยามที่น้ำท่วมมาก็ให้พวกเขายืนปล่อยหมัดอยู่ที่นั่นโดยเฉพาะ เพื่อขัดเกลาเส้นเอ็นและกระดูก”
เซวียไหวถามหยั่งเชิง “ให้ข้าไปคุยกับราชสำนักในพื้นที่ไหม?”
จ่ายเงินซื้อ
ถึงอย่างไรอาจารย์ของตนท่านนี้ก็สวมชุดสีเหลืองตลอดทั้งปี ไม่แต่งหน้าแต่งตาอยู่แล้ว ไม่เคยแต่งกายงดงามหรูหรา เรื่องของการใช้เงินจึงมักจะไม่เหมือนกับสตรีทั่วไป
เย่อวิ๋นอวิ๋นหันหน้าไปมองหญิงชรา “ฉิวหมัวมัว ในน้ำมีอะไรแปลกประหลาดหรือ?”
หญิงชราส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “อันที่จริงไม่ได้มีเผ่าน้ำออกอาละวาดอะไรหรอก ก็แค่หินก้อนหนึ่งที่บินมาจากนอกฟ้า บังเอิญหล่นลงในแม่น้ำแล้วหยั่งรากอยู่ที่นี่พอดี แต่ว่าดูเหมือนตรงรากหินก้นแม่น้ำจะมียอดฝีมือใช้โซ่ตรวนหลายเส้นตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนา คงเป็นเพราะตัวเองขนย้ายไปไม่ได้แล้วก็ไม่ยินดีจะให้เซียนซือคนอื่นได้รับผลประโยชน์ แต่หินยักษ์ก้อนนี้ระดับขั้นไม่สูง ไม่อาจสร้างสิ่งดีๆ อะไรออกมาได้ เพียงแต่ว่าเพราะมีคุณสมบัติพิเศษ หนักมาก เวทคาถาและอาวุธทั่วไปยากจะเจาะหินนี้ได้ เพราะจะทำให้คมอาวุธม้วนงอ อีกทั้งอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นยังมีมูลค่าธรรมดา ไม่คุ้มค่า”
ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์สกุลอวี๋เก่าก็มีตี้ซือของกองโหราศาสตร์ที่ทำหน้าที่สำรวจภูมิศาสตร์รับคำสั่งให้มาตรวจสอบที่นี่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็พอๆ กับที่ฉิวหมัวมัวพูด
ศาสตราวุธที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ในยุทธภพ ส่วนใหญ่ล้วนทำมาจากหินที่บินมาจากนอกโลกประเภทนี้ มีความต่างกันแค่ว่าหลอมร้อยรอบหรือพันรอบเท่านั้น
เหมือนอย่างดาบวิเศษพิทักษ์แคว้นของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ว่ามีคุณภาพสูงกว่ามากนัก
“ดังนั้นประโยชน์เพียงหนึ่งเดียวก็คือดึงมันออกมาทั้งรากทั้งโคนแล้วย้ายไป เอาไปทำเป็นหินฮวงจุ้ย เพียงแต่ว่าผู้ฝึกลมปราณจำพวกเซียนดิน หากไม่มีภูตจำพวกเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาหรือยันต์มัลละคอยช่วยเหลือ ก็ยากจะที่จะย้ายภูเขาเล็กลูกนี้ได้ ได้ยินมาว่าฮ่องเต้แต่ละยุคของสกุลอวี๋ต่างก็มัธยัสถ์กันอย่างมาก ไม่ยินดีจะระดมกำลังใหญ่โตย้ายมันไปยังเมืองหลวง”
เรือนกายสูงเพรียวเรือนกายหนึ่งพลิ้วกายลงบนยอดสูงสุดของหน้าผา เมื่อหญิงสาวคนนั้นมองไกลๆ ไปเห็นกลุ่มของหวงอีอวิ๋น นางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย รีบทะยานลมพลิ้วกายลงบนฝั่ง ขยับเท้าเบาๆ ‘เดินเคียงบ่า’ ไปพร้อมกับเรือหลากสีลำนั้น
เผยเฉียนคำนวณเวลา เย่อวิ๋นอวิ๋นก็น่าจะไปถึงท่าเรือเฮยเซี่ยนแล้ว ก่อนที่ศิษย์พี่เล็กชุยตงซานจะออกทะเลไปได้บอกให้นางมารอรับแขกอยู่ที่นี่ หากรอแล้วไม่เจอก็ไม่เป็นไร บอกว่าเขาได้หมายตาก้อนหินในแม่น้ำก้อนหนึ่ง หากศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ถือสาก็สามารถย้ายมันไปไว้ในอาณาเขตของภูเขาเซียนตูได้ เขาได้ตกลงราคากับคนที่อยู่แถบนี้เรียบร้อยแล้ว
ไปรอที่ท่าเรือแห่งนั้น แต่เผยเฉียนก็ไม่ได้พบหวงอีอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่โดยบังเอิญ
เผยเฉียนกุมหมัดทักทายแล้วถามว่า “เจ้าขุนเขาเย่หมายตาหินยักษ์ก้อนนี้ อยากจะย้ายกลับผูซานหรือ?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มถาม “ภูเขาเซียนตูก็ต้องการเหมือนกันหรือ?”
เผยเฉียนยิ้มอย่างเขินอาย
“ห่างจากผูซานมาไกลเกินไป ไม่มีความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ย “เจ้าจะย้ายมันไปอย่างไร?”
สถานที่แห่งนี้ห่างจากภูเขาเซียนตูเป็นระยะทางที่ไม่สั้น เรื่องของการย้ายภูเขามีธรณีประตูสูงอย่างมาก เว้นเสียจากว่าจะเป็นพวกภูตภูเขาที่เคลื่อนย้ายภูเขา ขับไล่ภูเขาได้ ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกตนต้องมีขอบเขตสูง จำเป็นต้องสะบั้นรากภูเขาเสียก่อน นอกจากนี้ยังต้องคุ้นชินกับวิถีแห่งยันต์ ค่ายกล ระยะทางยาวไกลนับพันลี้ ย้ายภูเขาจากไป ลากดินดึงน้ำ แบกรับน้ำหนักหนักอึ้ง อีกทั้งระหว่างทางก็ง่ายที่จะเกิดเรื่องไม่คาดคิด
หากเป็นแค่การเคลื่อนย้ายก้อนหินยักษ์ไปในน้ำ ฉิวตู๋ที่อยู่บนเรือยังพอจะมีวิธี แต่หากจะพูดถึงการยกขึ้นฝั่งกลับยุ่งยากมากแล้ว ต่อให้เผยร่างจริงของฉิวเฒ่า อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย
คำตอบของเผยเฉียนกระชับเรียบง่ายอย่างยิ่ง แค่สองคำ “แบกไป”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทำธุระของเจ้าเถอะ พวกเราจะเดินเล่นอีกพักหนึ่งแล้วจะไปที่ภูเขาเซียนตู”
เผยเฉียนจึงหยุดเดินอยู่บนฝั่ง
เรือหลากสีแล่นไปตามแม่น้ำตอนล่างอย่างรวดเร็วราวลูกธนู
เพียงแต่กลุ่มของเย่อวิ๋นอวิ๋นต่างพากันหันหน้ากลับไปมอง
เห็นเพียงว่าเผยเฉียนผู้นั้นกระโดดลงไปในน้ำ เพียงชั่วพริบตาน้ำก็กระเพื่อมขึ้นมา ด้านล่างมีเสียงครืนครั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่า
ครู่หนึ่งต่อมา โซ่ตรวนหลายเส้นก็ถูกสตรีบีบจนแตก จากนั้นนางก็ขุดหลุมใหญ่ไว้ใต้ก้นแม่น้ำ สองมือประคองถือหินทั้งก้อน ยกชูขึ้นสูง ขว้างภูเขาลูกเล็กขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นปล่อยหมัดออกไป ดันก้อนหินยักษ์ที่ร่วงดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วให้ลอยขึ้นสูงไปร้อยกว่าจั้งอีกครั้ง เรือนกายของสตรีเล็กเท่าเมล็ดงา มาหยุดอยู่ด้านข้างภูเขาลูกเล็ก ทะยานลมหยุดลอยตัวนิ่ง เหวี่ยงแขนเป็นวง ปล่อยหมัดต่อยออกไป ต่อยจนก้อนหินกลิ้งหลุนๆ ไปข้างหน้าท่ามกลางทะเลเมฆไกลร้อยกว่าจั้ง เรือนกายทะยานว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ เหยียบกระโจนไปบนความว่างเปล่า เอียงศีรษะไปทางหนึ่ง ใช้ไหล่กระแทกชนให้ภูเขาเล็กกระเด้งสูงขึ้นไปอีกหลายสิบจั้ง สตรีมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของก้อนหินอีกครั้งแล้วปล่อยหมัดอีกรอบ...
ทั้งคนทั้งก้อนหินจึงพากันมุ่งหน้าไปยังภูเขาเซียนตูทั้งอย่างนี้
หญิงชรากลืนน้ำลาย แม่นางน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไปเอาเรี่ยวแรงมากมายขนาดนี้มาจากไหน? คงไม่ใช่ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งหรอกนะ?
คุณสมบัติเยอะเกินกว่าเหตุไปหน่อยหรือไม่?
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มถาม “เซวียไหว ยังอยากถามหมัดกับนางอยู่อีกไหม?”
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ขอบเขตเดียวกันก็คือคนรุ่นเดียวกัน
ถ้าอย่างนั้นเซวียไหวกับเผยเฉียน พวกเขาคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของเย่อวิ๋นอวิ๋น อีกคนคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอัน ก่อนที่อาจารย์จะประลองหมัดกัน พวกเขาจะประชันฝีมือกันก่อนก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก
แล้วนับประสาอะไรกับที่เซวียไหวเดินทางมาครั้งนี้ ในระดับใหญ่แล้วก็เพื่อตรงมาถามหมัดกับเผยเฉียนโดยเฉพาะ ต้องการยืนยันให้แน่ชัดว่าตัวเองจะแบกรับยี่สิบหมัดไหวหรือไม่
เซวียไหวยิ้มเจื่อน “ดูยังไงๆ ก็เหมือนจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว”
คนนอกเห็นแค่เรื่องสนุก คนในกลับมองความลี้ลับออก เผยเฉียน ‘ย้ายภูเขา’ เช่นนี้ นอกจากจะมีพลังหมัดหนักหน่วงแล้ว วิชาหมัดยังแฝงไว้ด้วยพละกำลังที่พอเหมาะพอเจาะ ไม่อย่างนั้นหนึ่งหมัดปล่อยออกไป ออกแค่แรงอย่างเดียวไม่มีการเบาแรงบ้าง ก็ง่ายที่จะทำให้ก้อนหินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เย่อวิ๋นอวิ๋นกลั้นขำ “ทนได้ถึงยี่สิบหมัดไหม?”
เซวียไหวสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที “พยายามจะทนให้ได้อย่างน้อยสิบหมัด!”
ระหว่างที่เผยเฉียนย้ายภูเขา คนชุดเขียวคนหนึ่งปรากฏตัวท่ามกลางทะเลเมฆ เผยเฉียนกำลังจะหันหน้ามาคุยด้วย
เฉินผิงอันกลับตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์มิอาจร่วงลงได้”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง พยักหน้ารับแล้วออกหมัดต่ออีกครั้ง แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นอย่างนั้น
เฉินผิงอันก็แค่ปากพูดไปอย่างนั้นเอง อันที่จริงแล้วคำพูดในใจที่อยากพูดออกมาอย่างแท้จริงก็คือระหว่างทางเผยเฉียนจะแอบอู้ดูบ้างก็ได้ เปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์หลายๆ ครั้ง ไม่เป็นไรหรอก
อาจารย์ผู้เข้มงวด บิดาผู้เมตตา
ราวกับว่าสถานะสองอย่างกำลังตีกันเอง
ทั้งรู้สึกว่าเผยเฉียนสามารถทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จได้ในรวดเดียว เริ่มได้ก็จบได้ ดีมาก
แต่ในใจก็หวังด้วยว่าลูกศิษย์ที่เติบใหญ่แล้ว บางครั้งจะเอาอย่างถ่านดำน้อยในปีนั้นที่ ‘แอบทำตัวซุกซนเกเร’ บ้าง นี่จะเป็นอะไรไปเล่า
เด็กคนหนึ่งที่ตอนอายุน้อยต้องผ่านความยากลำบากนานัปการ ก็ไม่ใช่เพื่อให้เติบใหญ่มาแล้วไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้นอีกหรอกหรือ?
ความซับซ้อนของรสชาตินี้ คนนอกไม่มีทางรู้ได้
เผยเฉียนเดินทางผ่านทะเลเมฆไปได้อีกร้อยกว่าลี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็หยุดเดินแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อยังมีธุระ ระหว่างทางเจ้าก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
เผยเฉียนหลุดปากเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อวางใจเถอะ ไม่มีทางไปล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำระหว่างทางหรอก หากเจอภูเขาสูงสักหน่อย หรือใต้ฝ่าเท้ามีพวกศาลเทพอภิบาลเมืองอะไรอยู่ก็จะอ้อมเส้นทางไปเสียแต่เนิ่นๆ”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
เป็นเพราะเมื่อก่อนตนควบคุมนางเข้มงวดเกินไปหรือ?
คงใช่กระมัง
ร่างของเผยเฉียนขยับห่างออกไป หลังจากปล่อยหมัดไปอีกครั้งก็หันหน้าไปมอง อาจารย์พ่อถึงกับยังยืนอยู่ที่เดิม พอเห็นว่านางหันหน้ากลับมามองก็ยิ้มพลางโบกมือให้ไกลๆ
ท่าเรือเฮยเซี่ยน
ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาประหนึ่งเทพมังกรสาดน้ำหมึก
แล้วก็เหมือนถ่านดำน้อยในปีนั้นที่หยิบพู่กันมาเขียนตัวอักษร ถึงท้ายที่สุดก็มองไม่เห็นตัวอักษร เห็นแต่ก้อนหมึกเท่านั้น
มีคนชุดเขียวคนหนึ่งสวมงอบไว้บนศีรษะ สวมชุดกันฝน บุรุษเดินฝีเท้าเร่งร้อนไปหยุดเท้าอยู่นอกร้านแห่งหนึ่งแล้วปลดงอบลง
เถ้าแก่หนุ่มที่อยู่ด้านในกำลังใช้มือลูบหยกขาวที่แกะสลักเป็นรูปปลาจำแลงร่างเป็นมังกร ลูกค้าสะบัดงอบในมืออยู่หน้าประตู ยิ้มถามว่า “ขอยืมที่หลบฝนหน่อยได้หรือไม่”
คนหนุ่มพยักหน้า “ตามใจ”
เหลือบตามองบุรุษที่สวมชุดกันฝนอยู่สองสามที อีกฝ่ายแสร้งทำท่ามองประเมินสินค้าในร้านที่มีราคาระบุไว้ อดกลั้นอยู่ครู่หนึ่ง คนหนุ่มก็คร้านจะอ้อมค้อม “เห็นว่าข้าไม่ดื่มสุราคารวะ ก็เลยจะเลี้ยงสุราลงทัณฑ์ข้าแทนอย่างนั้นหรือ?”
นี่แสดงให้เห็นว่าเรือนอวิ๋นฉ่าวผูซานก็มีพวกคนที่ดีแต่สร้างชื่อเสียงจอมปลอมอยู่เหมือนกัน ผู้ฝึกตนบนภูเขาพวกนี้มีคนดีแค่ไม่กี่คนจริงๆ
จวนเซียนในทวีป มีเพียงผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงเท่านั้นที่แค่เอ่ยประโยคเดียว ตนก็ยินดีจะไปที่นั่น ให้อะไรก็เป็นอย่างนั้น ยศตำแหน่งอะไรก็ได้ จะไม่ปฏิเสธสักคำ
นอกจากนี้ก็เป็นสำนักกุยหยก หากบรรพจารย์ห้าขอบเขตบนบางท่านของศาลบรรพจารย์มาเยือนท่าเรือเฮยเซี่ยนเชิญให้ตนออกจากภูเขาด้วยตัวเอง เขาก็พอจะแข็งใจยินดีไปเป็นเค่อชิงให้ได้
ไม่อย่างนั้นหากเป็นจวนเซียนแห่งอื่นของใบถงทวีป เขาก็ไม่มีความสนใจเลยจริงๆ อารามจินติ่งราชันย์บนภูเขา ถ้ำมังกรขาวอัครเสนาบดีกลางภูเขาอะไรนั่น ไม่เข้าตาข้าเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากแม้แต่จะเหลือบตาแล
ลูกค้ายิ้มย้อนถาม “เหตุใดเถ้าแก่ถึงเอ่ยเช่นนี้เล่า?”
คนหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด “เซียนซือแห่งผูซานอย่างเจ้า ในเมื่อชอบอ้อมค้อมนัก ทำไมถึงไม่ไปเดินเล่นที่ท่าเรือเฮยเซี่ยนสักหลายๆ รอบหน่อยเล่า ไยต้องมาหลบฝนอยู่ในร้านเล็กๆ ของข้าด้วย?”
ลูกค้าคนนั้นยิ้มเอ่ย “เถ้าแก่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนของผูซาน”
คนหนุ่มถามอย่างกังขา “แค่มาซื้อของในร้านเล็กๆ ของข้าเท่านั้นหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”
เพราะอยากจะเห็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดผู้นี้กับตาตัวเอง หากเป็นไปได้ก็จะลองเชื้อเชิญอีกฝ่ายไปเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาไท่ผิงดู
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่หน้าประตูภูเขา หยางผู่บัณฑิตแห่งสำนักศึกษาเคยพูดถึงเรื่องหนึ่ง บอกว่ามีผู้ฝึกตนที่รูปโฉมเป็นหนุ่ม บอกว่าตัวเองมาจากท่าเรือเฮยเซี่ยน แซ่อวี๋นามฟู่ซาน ฉายาคือฟู่ซาน
ผู้ฝึกตนต่างถิ่นแค่จุดธูปสามดอกกราบไหว้อยู่ที่หน้าประตูภูเขา จากนั้นคุยเล่นกับหยางผู่สองสามประโยคก็จากไป แค่บอกหย่างผู่ว่าหากเจอเรื่องอะไรก็สามารถส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังท่าเรือเฮยเซี่ยนได้ เขาจะพยายามช่วยเหลือสุดความสามารถอันน้อยนิดที่มี
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ยอดเขามี่เซวี่ย เฉินผิงอันอ่านรายงานลับฉบับหนึ่ง เป็นชุยตงซานที่ลงแรงด้วยตัวเอง เขาไปสืบเสาะเรื่องของภูตน้ำและภูตภูเขาทั้งหมดที่อยู่รอบภูเขาเซียนตูอย่างละเอียดแล้วจดลงบันทึกไว้ทั้งหมด นอกจากท่าเรือเฮยเซี่ยนแล้วยังมีนครผีทั้งหมดในอาณาเขตราชวงศ์สกุลอวี๋เก่า ชุยตงซานก็ไปเดินวนครบมารอบหนึ่งแล้ว
อีกทั้งตามการจัดการของชุยตงซาน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าศิษย์น้องเฉาฉิงหล่างจะต้องเปลี่ยนสถานะ เข้าร่วมการสอบเคอจวี่อีกครั้ง ไปคว้าตำแหน่งสามหยวนจากราชวงศ์สกุลอวี๋ใหม่ที่อีกเดี๋ยวก็จะรวมแคว้นเป็นปึกแผ่นได้แล้วมาก่อน จากนั้นเฉาฉิงหล่างจะเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก เดินไปบนเส้นทางการเป็นขุนนางทีละก้าว หากใช้คำกล่าวของชุยตงซานก็คือ ‘ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้อาจารย์ของอาจารย์อารมณ์ดีมีความสุขให้ได้’
อวี๋ฟู่ซานเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ มีลมก็รีบผาย เดี๋ยวถ้าฝนหยุดตก ข้าก็จะไล่แขกได้แล้ว”
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันที “สหายยินดีไปฝึกตนที่ภูเขาไท่ผิงหรือไม่?”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
อวี๋ฟู่ซานหลุดขำอย่างอดไม่อยู่ ยื่นนิ้วโป้งออกมาชี้ที่ตัวเอง “ข้าคนนี้พูดจาไม่น่าฟัง เจ้าอย่าได้ถือสา ไม่ชอบฟังก็อย่าฟัง”
คุยโวไม่ต้องร่างคำพูด ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรเล็กๆ คนหนึ่งกลับกล้าพูดถึงเส้นทางการฝึกตนของขอบเขตก่อกำเนิดเช่นตนอย่างไม่ละอายเลยหรือ?
อีกอย่าง เจ้าหนูเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับภูเขาไท่ผิงหรือไม่ มีคุณสมบัติอะไรมาจุ้นจ้านเรื่องของคนอื่น
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “คิดดูแล้วสหายคงจะรู้เรื่องหนึ่งแล้ว หวงถิงกลับจากใต้หล้าห้าสีมายังใบถงทวีปแล้ว ทุกวันนี้เป็นแขกอยู่ที่เสี่ยวหลงชิว เชื่อว่าอีกไม่นานนางก็จะไปสร้างสำนักขึ้นใหม่ที่ภูเขาไท่ผิง”