กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 901.2 หนึ่งกระบี่ข้ามทวีป
แล้วก็ด้วยเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้เตือนให้จื้อกุยระวังตอนอยู่ในศาลของลำน้ำฉีตู้
ไม่อย่างนั้นต่อให้เฉินผิงอันจะเป็นคนดีแค่ไหนก็ยังไม่ยินดีจะสนใจจื้อกุยมากนัก หลังแยกย้ายกับนาง ทั้งสองฝ่ายอย่างมากก็แค่เจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินไปบนทางสะพานไม้ของข้าก็เท่านั้น
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถาม “ที่ตรอกหนีผิง เรือนสองหลังที่อยู่อีกฝั่งของบ้านพวกเรา ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนอยู่มานานหลายปี นับตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ก็ถูกทิ้งร้างไร้เจ้าของ ข้าไม่พบเบาะแสอะไรในห้องเก็บเอกสารของที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผา รวมไปถึงฝ่ายครัวเรือนของอำเภอไหวหวงในภายหลัง เจ้ามีเบาะแสหรือไม่?”
จื้อกุยเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน นางหันหน้ามายิ้มเอ่ย “นี่ถือว่าเจ้าขอร้องให้ข้าช่วยหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถือว่าใช่”
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นญาติมิตร ไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน เป็นทั้งคนบ้านเดียวกันแล้วก็เป็นทั้งเพื่อนบ้าน คุยเล่นกันแค่คำสองคำไม่ได้ทำให้ส่งผลร้ายสะเทือนไปถึงกระดูกเส้นเอ็นใดๆ
จื้อกุยคลี่ยิ้ม ดูเหมือนว่าไม่คิดจะเปิดปากพูด
นางเชิดหน้าขึ้นสูง ก้าวเท้าเดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่ในซากปรักวังมังกรแห่งนี้
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนที่อยู่ข้างกายผู้นี้ หากเห็นตนหิ้วถังน้ำกลับมาที่ตรอกหนีผิงก็จะมาช่วยยกถังน้ำให้
ในช่วงฤดูหนาว นางจะต้องแบกฟืนไม้ถุงใหญ่ เพราะนางไม่อยากจะเดินหลายรอบ เวลานั้นนางยังเป็นแค่แมลงน่าสงสารที่ถูกมหามรรคาของเมืองเล็กสยบกำราบ มักจะรังเกียจที่ต้องเดินทางไกล จึงต้องแบกฟืนมาหนักมาก
บุรุษที่ใจแคบอย่างซ่งจี๋ซินกับหลิวเสี้ยนหยางกลับไม่เคยเข้าใจผิดในเรื่องนี้
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่คิดว่าเฉินผิงอันจะมีความคิดที่ไม่ซื่อกับนาง
นางเอาสองมือไพล่หลัง สิบนิ้วประสานกัน สายตามองตรงไปเบื้องหน้า ถามเบาๆ ว่า “รู้สึกว่านอกจากขอบเขตแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรอีกใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ไม่ได้รีบร้อนให้คำตอบ
ทว่าก็เป็นเพราะความเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าของบุรุษข้างกายผู้นี้ที่ทำให้นางโมโหจนสีหน้ามืดทะมึน ให้เขาหลุดปากพยักหน้าหรือยอมรับมาโดยตรงยังดีกว่า
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ไม่คิด”
คงจะคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นที่บ้านเกิด สีหน้าของเฉินผิงอันจึงอ่อนโยนลงหลายส่วน
เด็กหนุ่มรองเท้าสานที่ไม่รู้ประสาได้เห็นอาจารย์ฉีขอร้องคนอื่นเป็นครั้งแรก
ภายหลังเฉินผิงอันพลิกเปิดภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลานั้นอีกครั้งถึงได้ค้นพบว่าเด็กสาวเคยไปด่าต้นไหวอยู่ใต้ต้นไหวโบราณของบ้านเกิด
ทำให้เฉินผิงอันรู้สึก…สะใจมาก
เฉินผิงอันเก็บความคิด ถามว่า “คนพวกนั้น เจ้ารู้จักได้อย่างไร?”
ผู้เลี้ยงมังกรกับผู้ประคับประคองมังกร ต่างกันแค่คำเดียว ทว่าสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายแสวงหาบนมหามรรคากลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
จื้อกุยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดบ้างแล้ว “รู้จักกันกลางทาง แต่ต่างคนต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถึงอย่างไรจวนน้ำของข้าในอนาคตก็ต้องการคนที่ทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างจริงจังอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันไม่ได้สั่งจื้อกุยว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร กลับกลายเป็นว่าพูดชวนคุยเหมือนไม่ใส่ใจมากกว่า “สิ่งที่พวกเราพบเจอตลอดทาง หากไม่ใช่เรื่องดีก็เป็นเรื่องที่ไม่ดี”
จื้อกุยถามอย่างสงสัย “ไม่ใช่คนดีกับคนไม่ดีหรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “นี่ก็คือปมของปัญหายุ่งยาก”
จื้อกุยเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ทำไมเจ้าไม่ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือเสียเลยล่ะ?”
คิดไม่ถึงว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายจะพยักหน้าเอ่ย “เลือกโรงเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว”
คฤหาสน์ส่วนตัวของบุตรมังกรในอดีตซึ่งอยู่ในซากปรักของวังมังกร กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก มีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ดอกบัวใบบัวชูช่ออยู่กลางสระน้ำ มีเรือแจวลอยอยู่หนึ่งลำ บนเรือมีคนสี่คน คนแก่หนึ่งคน สตรีวัยกลางคนหน้าตางดงามหนึ่งคน บุรุษร่างกำยำหนึ่งคนและบุรุษหนุ่มหนึ่งคน
ทุกวันนี้พวกเขาต่างก็เป็นผู้ติดตามของหวังจูมังกรที่แท้จริง ถือว่ามาสวามิภักดิ์กับสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพาคนใหม่อย่างนาง
สตรีหน้าตางดงามยืนอยู่บนปลายด้านหนึ่งของเรือเล็ก แต่งกายเหมือนชาววัง มวยผมทรงเมฆาคล้อย ปักปิ่นดอกไม้ส่ายไหวสีทอง ประทินโฉมบางๆ ตรงเอวบางสองด้านแยกกันห้อยกระจกทองสัมฤทธิ์ชิ้นหนึ่งกับหยกแบนที่เป็นแก้วใสชิ้นหนึ่ง นางหันหน้าไปถามผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ท้ายเรืออย่างใคร่รู้ “หลี่ป๋า เจ้าคิดว่านายท่านกับใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นจะตีกันทันทีที่พูดไม่เข้าหูกันหรือไม่?”
ชายชราที่มีนามว่าหลี่ป๋าเส้นผมขาวโพลน ร่างผอมแต่ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย เขาส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน ไม่มีทางตีกันหรอก”
ตรงฝ่าเท้าของผู้เฒ่ามีชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
สุดท้ายคือคนหนุ่มคนหนึ่ง ต้องเป็นเทพเซียนในภูเขาที่ฝึกตนประสบความสำเร็จคนหนึ่งแน่นอน ผิวพรรณดุจหยก บุคลิกรูปโฉมงามสง่าดุจโฉมสะคราญล่มเมือง เวลานี้เขานอนอยู่ในเรือลำเล็ก ใช้มือข้างหนึ่งหนุนใต้ท้ายทอยต่างหมอน ยกขาไขว่ห้าง ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ มือหนึ่งแกว่งกาเหล้า เหล้าสีอำพันไหลเป็นเส้นตรงเข้าสู่ปากของเขา แกว่งกาเหล้าที่ว่างเปล่า ลุกขึ้นยืน มองไปยังทิศทางของตำหนักใหญ่ “ช่างเป็นปราณกระบี่ที่เข้มข้นยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นคนฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่”
ดวงตาของสตรีวัยกลางคนคลอประกายฉ่ำน้ำมองไปยังบุรุษร่างกำยำที่นั่งเหมือนหินผา
“ซีหมาน หากข้าอนุญาตให้พวกเจ้าใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธต่อสู้กันด้วยหมัดเปล่าๆ จะเอาชนะได้หรือไม่?”
ตามป้ายกระดานคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า ได้ยินว่าตอนที่อิ่นกวานหนุ่มเฝ้าหัวกำแพงเมืองอยู่นั้นก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า พอกลับมาที่ใต้หล้าไพศาล ยังเคยต่อยตีกับเฉาสือที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง
เห็นได้ชัดว่าชายฉกรรจ์ก็เป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธ เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “อีกฝ่ายยอมให้ข้าหมัดหนึ่ง ข้าก็ยังสู้ไม่ได้”
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมองโลกใบนี้ ในสายตาล้วนมีแต่ผู้ฝึกยุทธ
เผ่าปีศาจในท้องถิ่นของไพศาลที่มีนามว่าซีหมานผู้นี้เคยลองชั่งน้ำหนักอย่างละเอียด กับวานรเฒ่าย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ตนยังไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ ฝ่ายหลังก็มีร่างกายแข็งแกร่งตั้งแต่เกิดเหมือนกัน ดังนั้นจะเอาอะไรมาพูดถึงการถามหมัดกับเฉินผิงอัน
นั่นไม่เรียกว่าประลอง เรียกว่าพาตัวไปตายเปล่าๆ
สตรีด่าขำๆ “เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกันเชียว ทุกวันนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว? ทำไมเจ้าไม่ไปตายเสียเลยเล่า?”
ชายฉกรรจ์หลุดหัวเราะพรืด “หากเป็นอย่างที่เจ้าบอก นอกจากเฉาสือกับเฉินผิงอันแล้ว คนอื่นๆ ก็อย่าคิดจะเรียนวิชาหมัดแล้ว”
ผู้ติดตามสี่คนในจวนน้ำของจื้อกุยนี้ หนึ่งเซียนเหริน สองหยกดิบ บวกกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอีกคนหนึ่ง
นอกจากผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์แล้วก็ยังมีทั้งเซียนผี ทั้งเผ่าปีศาจ แต่ต่างก็ได้รับการลงบันทึกและตรวจสอบจากศาลบุ๋นมาก่อนแล้ว
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “สุราภูเขาชิงเสินที่ร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ แล้วยังต้องไหว้วานผู้อื่น กว่าจะซื้อมาได้กาหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือดื่มไปดื่มมาข้าก็เริ่มสงสัยในชีวิตตัวเองแล้ว”
หรือว่าสุราที่ดื่มในงานเลี้ยงของภูเขาชิงเสินก่อนหน้านี้ล้วนเป็นของปลอม?
ชายร่างกำยำพยักหน้า “ดื่มยากจริงๆ ไม่กลัวเหล้าชั้นเหลว กลัวก็แต่เหล้าปลอมนี่แหละ หากเป็นข้า คงต้องไปยืนที่หน้าประตูร้านยาก่อนถึงจะกล้าดื่ม”
ระหว่างที่พูดชายฉกรรจ์ก็ยื่นมือไปจับเป้ากางเกงด้วยความเคยชิน
สตรีถลึงตาพูดบ่น “น่าขยะแขยง นิสัยเสียแย่ๆ ข้อนี้ของเจ้าช่วยเปลี่ยนบ้างได้ไหม?”
ชายร่างกำยำพูดด้วยเสียงดังทุ้มหนัก “เปลี่ยนไม่ได้หรอก”
เขายังมีคำพูดติดปากอีกประโยคกงเยี่ยนรับไม่ได้มากที่สุด ‘น้องชายอย่าชูคอ พวกเราสองพี่น้องไม่มีชะตาเสพสุขกับสาวงามหรอกนะ’
คนทั้งกลุ่ม สตรีมีชื่อว่ากงเยี่ยน ชื่อเล่นคืออาอู่ นางคือผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของฝูเหยาทวีป และยังเป็นบรรพจารย์หญิงของสำนักอักษรจงเก่าแก่แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าสงครามครั้งนั้นสิ้นสุดลง ทุกวันนี้นางก็ไม่มีบ้านให้กลับอีกแล้ว
สำหรับสิ่งที่ถ้ำซานสุ่ยต้องประสบพบเจอ กงเยี่ยนค่อนข้างจะสมน้ำหน้า ภายหลังนางยังเคยได้รู้จักกับผู้ฝึกกระบี่หญิงแซ่สองพยางค์ว่าน่าหลันที่นั่น เป็นคนต่างถิ่น ขอบเขตไม่แน่ชัด อาจจะเป็นก่อกำเนิด อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองมาจากตำหนักสุ่ยจิงของภูเขาห้อยหัว
ทั้งสองฝ่ายเคยทำการค้าใหญ่ด้วยกันมาหลายครั้ง และผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่ตอนนั้นรับผิดชอบดูแลกิจธุระของถ้ำซานสุ่ยก็เป็นสตรีล้างผลาญคนหนึ่ง คงเพราะมีความสัมพันธ์กับศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ถึงได้กล้าที่จะขายทรัพย์สินในบ้านด้วยราคาต่ำอย่างเปิดเผย กงเยี่ยนไม่ปฏิเสธผู้ที่มาเยือน จึงตามไปกว้านซื้อมาด้วย ผลเก็บเกี่ยวที่ได้มหาศาล
ผู้เฒ่ามีชื่อว่าหลี่ป๋า บ้านเกิดคือเกราะทองทวีป มีฉายาว่าชุ่ยจ่าง เป็นสหายรักต่างวัยกับหวานเหยียนเหล่าจิ่งแห่งเกราะทองทวีป จิตมุ่งตรงหามรรคา เคยรับหน้าที่เป็นราชครูของราชวงศ์ใหญ่ล่างภูเขา เพียงแต่ว่าฮ่องเต้ถึงสามรุ่นที่เขาเคยช่วยประคับประคองช่วยเหลือกลับไร้ความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์แคว้นล่มสลายผู้ปราดเปรื่องคนสุดท้ายที่ถึงกับถวายฎีกาให้กับชิงจางเต้าย่วนที่ราชครูหลีป๋าเป็นผู้ดูแล คิดจะแต่งตั้งตัวเองเป็นเต้าจวินผู้นำลัทธิ
รอกระทั่งการเดินทางคุ้มกันของเทพวารีแห่งใต้หล้าไพศาลสิ้นสุดลงชั่วคราว หวังจูผู้เป็นเจ้านายเคยรับปากพวกเขาว่าหลังจบเรื่องสามารถหาที่พักพิงใหม่ได้ตามใจ สองคนในนี้ตัดสินใจว่าจะฝึกตนอยู่ในจวนวารีไปอีกยาวนาน อีกสองคนกลับคิดจะไปลงหลักปักฐานที่เมืองหลวงสำรองต้าหลีของแจกันสมบัติทวีป เพราะพวกเขาต่างก็เห็นดีในตัวของซ่งมู่อ๋องเจ้าเมือง
เรือนกายสีขาวหิมะประหนึ่งก้อนเมฆขาวหล่นลงมายังสระดอกบัว เหยียบลงบนใบบัวสีเขียวมรกตใบหนึ่ง แต่ร่างก็ยังโงนเงน กว่าจะยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยืดคอยาวมองไปยังบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่ในเรือแจว ปากก็ตะโกนว่า “โอ้โห นี่มันนักพรตหยกหวงม่านผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือที่ชอบ ‘กระดูกขาวนอนบนเมฆสน’ เรียกตัวเองว่า ‘ลูกศิษย์สุราแห่งแม่น้ำบูรพา’ บอกว่าตัวเองมี ‘ปณิธานอยู่นอกฟ้า’ ป่าวประกาศว่าต้องการจะ ‘กำจัดคุกทางใจ ปกป้องเรือนแห่งใจ สร้างตำหนักแห่งใจ’ ว่ากันว่าแค่หายใจก็สามารถรับลมเมฆฝนสายฟ้าฟาด จากนั้นก็เกือบจะถูกจางเถียวเสียฆ่าตายเพราะแย่งที่นั่งตกปลาคนนั้นไม่ใช่หรือ”
เด็กหนุ่มชุดขาวเท้าเอวสองมือ “ขอให้ข้าได้หายใจหายคอหน่อย ทำเอาข้าเหนื่อยแทบตายแล้ว”
แขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้จ้องเป๋งไปยังคนทั้งสี่ที่อยู่ในเรือพักหนึ่ง จากนั้นเด็กหนุ่มผมขาวก็มองไปยังศาลาริมน้ำแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมฝั่ง หัวเราะร่าถามว่า “โชคดีได้พบเจอยอดฝีมือมากมายในระยะประชิดเช่นนี้ อาจารย์เสี่ยวโม่ ท่านช่วยบอกหน่อยเถอะว่านี่เรียกว่าอะไร?”
ในศาลาริมน้ำมีบัณฑิตอ่อนแอสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าปรากฎตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียว ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็หัวเราะเอ่ยว่า “น่าจะถือว่าไม่ออกจากบ้านลานกว้างมีทัศนียภาพของชานเมือง ออกมาในตรอกต้องเจอยอดฝีมือแน่นอนกระมัง”
หวงม่านที่นั่งอยู่คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนแฉตัวตนของตัวเองในรวดเดียว จึงยิ้มตาหยีถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
เขาร่ายเวทอำพรางตาหนาชั้น ปิดบังชื่อแซ่มาร้อยกว่าปี ตามหลักแล้วไม่ควรจะถูกคนจำได้เพียงแค่มองปราเดียว
บุคคลโดดเด่นทั้งสี่ที่อยู่ในเรือแค่ได้ยินคนหนุ่มชุดขาวพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าคือตงซานไงล่ะ”
ชุยตงซานขยับสายตามองไปทางผู้เฒ่า ใบหน้ามีแต่กลิ่นอายของยา ขมขื่นยิ่งนัก จึงเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า “เอ๊ะ? นี่ไม่ใช่ราชครูหลี่ป๋าของหลิวเสียทวีปหรือ? ใช่แล้วๆ ต้องเป็นเพราะถูกหวานเหยียนเหล่าจิ่งที่เคารพรักทำร้ายจิตใจจนบาดเจ็บสาหัส จึงไม่อยากอยู่บ้านเกิดให้เสียใจอีก หากเป็นข้า ก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ผ่อนคลายอารมณ์เช่นกัน”
ชุยตงซานพลันหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ จากนั้นตั้งท่าไก่ทองยืนขาเดียว ในมือถือกระจกส่องมารชูขึ้นสูง เล็งตรงไปที่สตรีผู้นั้น”เฮ้! ภูตผีปีศาจจะหนีไปไหน ยังไม่รีบเผยร่างจริงอีกหรือ!”
ไม่ได้ผล? เด็กหนุ่มชุดขาวขมวดคิ้วน้อยๆ เก็บกระจกโบราณใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ก่อนจะหยิบกระจกเล่มใหม่ออกมา กระโดดผลุงเปลี่ยนตำแหน่ง ขยับร่างไปในแนวขวาง พลิ้วกายลงบนใบบัวสีเขียวอีกใบหนึ่งที่อยู่ข้างกัน ระหว่างที่ทะยานตัวกลางอากาศ โยนกระจกโบราณขึ้นสูง เปลี่ยนอีกมือหนึ่งรับเอามา ตะโกนเสียงดัง “จงหยุด!”
หลังจากนั้นก็หยิบกระจกโบราณออกมาอีกสองบาน กระจกส่องมารสี่ชนิดที่มีชื่อเสียงที่สุดของใต้หล้าไพศาลล้วนถูกเด็กหนุ่มชุดขาวเอาออกมาโอ้อวด สองบานในนั้นเป็นจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์และสำนักของฝูลู่อวี๋เสวียนที่เป็นคนหลอม อีกสองบานแบ่งออกเป็นกระจกกฎเกณฑ์ที่เกราะทองทวีปเรียกขานกันว่า ‘กระจกภูเขา’ รวมไปถึงกระจกวารีของต้าหลงชิว สองอย่างหลังแบ่งออกเป็นดึงเอาแก่นตะวัน แก่นจันทรามาหล่อหลอม ต่างก็มีข้อดีของตัวเอง กระจกภูเขาพลังพิฆาตสูง ทำลายสิ่งกีดขวางได้เร็ว กระจกวารีก็ยิ่งสามารถหาร่องรอยของภูตผีได้ดียิ่งกว่า ทำให้พวกมันไม่มีที่ให้หลบหนี
คนสี่คนที่อยู่บนเรือแจวหันมามองหน้ากันเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกงเยี่ยนที่ถูกเล่นงานก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กลุ่มของตนมาเจอกับเซียนซือบนภูเขาที่สมองมีรูหรืออย่างไร?