กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 902.1 ถามหมัดบนยอดเขา
หอซ่าวฮวาหนึ่งในยอดเขามากมายของภูเขาเซียนตู
เผยเฉียนกับเซวียไหวที่กำลังจะถามหมัดกัน สองฝ่ายอยู่ห่างกันสิบจั้ง
ข้างกายเฉินผิงอันคือชุยตงซานที่เอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เตรียมพร้อมรอปรบมือร้องไห้กำลังใจศิษย์พี่หญิงใหญ่ เสี่ยวโม่ไม่ได้มาเพราะไปง่วนอยู่ที่หาดลั่วเป่า ต้องการสร้างกระท่อมหลังหนึ่งไว้ริมลำคลอง ถามหมัดอะไรพวกนี้ เสี่ยวโม่ไม่สนใจเลยสักนิด เอ่ยแค่ว่าผู้ที่มาล้วนเป็นแขก คุณชายกับแม่นางเผยออกหมัดเบาสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ทำลายความปรองดอง
ถึงอย่างไรต่อให้จะวกวนอ้อมไปอ้อมมาก็ยังเป็นคำประจบอยู่ดี
“นี่ถึงขั้นลงมือแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันยกสองแขนกอดอก เอนพิงราวรั้ว ตีหน้าเคร่งใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “บอกมาเถอะ คราวหน้าคิดจะอธิบายกับอวี่จิ่นอย่างไร”
ถึงกับเรียกให้เสี่ยวโม่ออกไปข้างนอกด้วยกัน ยังจะทำเรื่องแบบใดได้อีกเล่า?
ชุยตงซานสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่ได้ใช้เสียงในใจ พึมพำเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังคงเข้าข้างอาจารย์มากกว่าจริงดังคาด เชื่อถือไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด”
ดีมาก ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้ยินเลย
นี่หมายความว่าเผยเฉียนสามารถทำให้สภาพจิตใจมุ่งมั่นไม่วอกแวกได้อย่างแท้จริง สภาพจิตใจเช่นนี้ของผู้ฝึกยุทธก็เป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘สิบทิศใหญ่ ข้าอยู่ตรงกลาง หมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนเดินไปตามหมัดของข้า’
สามารถทำให้ ‘หมัดเดินไปตามข้า’ ได้อย่างแท้จริง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าใส่ร้ายเผยเฉียนแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง หากเจ้าไม่เชื่อ รอให้การถามหมัดสิ้นสุดลงก็ลองไปถามนางดูว่าได้เผยความลับอะไรหรือไม่”
ชุยตงซานรีบเอ่ยทันใด “อาจารย์ เรื่องนี้ห้ามบอกศิษย์พี่หญิงใหญ่เด็ดขาดเชียวนะ บนสมุดบัญชีที่เขียนตัวอักษรคำว่า ‘ซิน’ (อันดับที่แปดในแผนภูมิสวรรค์) นั่น กว่าข้าจะทำความดีชดใช้ความผิดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”
เฉินผิงอันร้องเอ๊ะหนึ่งที เขาสงสัยใคร่รู้มากจริงๆ จึงรีบใช้เสียงในใจถาม “ตงซาน เจ้าเพิ่งเป็นสมุดบัญชีอักษร ‘ซิน’ เองหรือ? ไหนลองเล่าให้ละเอียดสิ ก่อนหน้าเจ้ามีของใครมาก่อนแล้วบ้าง พ่อครัวเฒ่า เว่ยคอแข็ง พวกเขาต้องมีชื่อติดอันดับต้นๆ แน่ คาดว่าหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว จงขุยที่นางรู้จักมาตั้งนานแล้วก็ต้องหนีไม่พ้นด้วยเป็นแน่ บวกกับซานจวินใหญ่เว่ยท่านนั้นของพวกเรา สือโหรว เฉินหลิงจวิน?”
มีเพียงสมุดบัญชีอักษรคำว่าเจี่ย (อันดับที่หนึ่งในแผนภูมิสวรรค์) เท่านั้น เฉินผิงอันไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นของอาจารย์พ่ออย่างตนแน่นอน
ชุยตงซานส่ายหน้าอย่างแรงเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่พูด ให้ตายอย่างไรก็ไม่พูด หากศิษย์พี่หญิงใหญ่รู้เข้า คงไม่ใช่แค่เพิ่มบัญชีลงไปอีกเรื่อง แต่ต้องเป็นเปิดสมุดบัญชีเล่มใหม่แน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้า ไม่บังคับให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ
สีหน้าของชุยตงซานเปลี่ยนมาเป็นสดชื่นแจ่มใส คิดจะทำความดีชดใช้ความผิดกับอาจารย์ เบี่ยงตัวหันข้างหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างลับๆ ล่อๆ ป้ายน้ำลายลงบนนิ้วโป้ง เตรียมจะเปิดสมุดอ่านรายงาน “อาจารย์ ออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนครั้งนี้ ศิษย์กับเสี่ยวโม่…”
เฉินผิงอันรีบยกมือขึ้นทันใด “หยุดเลย ข้าไม่รู้อะไรด้วยทั้งนั้น แล้วก็ไม่อยากรู้อะไรด้วย กิจธุระในสำนักเบื้องล่างของพวกเจ้า ข้าไม่เกี่ยวข้องด้วย”
ชุยตงซานยกมือกดลงบนหัวใจ สายตาสองข้างไร้แวว ริมฝีปากสั่นระริก “ ‘พวกเจ้า’? คำพูดนี้ของอาจารย์ทำร้ายจิตใจข้าสาหัสยิ่งนัก ทำให้เหล่าทหารกล้าของสำนักเบื้องล่างหมดขวัญกำลังใจแล้ว”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน อย่าคิดจะลากข้าลงน้ำ อาจารย์มิอาจขายหน้าเช่นนั้นได้
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “มีสมบัติชะตาบุ๋น ชะตาน้ำอยู่สองสามชิ้นที่เหมาะจะเอาออกมาเดี่ยวๆ มอบให้กับหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยเป็นของขวัญ ถึงอย่างไรศิษย์ก็ตัดสินใจแล้วว่าต่อให้จงขุยช่วยใช้หนี้ให้กับอวี่จิ่น สมบัติชิ้นอื่นๆ ล้วนพูดง่าย อย่างมากก็แค่ของกลับคืนสู่เจ้าของ ถือเสียว่าข้ากับเสี่ยวโม่ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันโดยไม่คิดค่าตอบแทนให้ครั้งหนึ่ง มีเพียงของพวกนี้ที่ให้ตายอย่างไรก็จะไม่ยอมรับเด็ดขาด หากกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จงขุยเข้าข้างคนนอก ถึงขั้นยกอาจารย์ออกมาข่มขู่กันอย่างไม่เสียดาย อย่างมากศิษย์ก็แค่จ่ายเงินชดใช้ให้ แต่สมบัติเจ็ดแปดชิ้นนี้มองแล้วชื่นชอบจริงๆ ยากจะตัดใจได้ลงจริงๆ …”
ไม่รอให้ชุยตงซานพูดจบ เฉินผิงอันก็ตบหัวชุยตงซานหนึ่งที ใช้ความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูเก็บสมุดในมือของชุยตงซานมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อสีเขียว
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ทางฝั่งของจงขุยข้าจะรับมือเอง อวี่จิ่นมอบให้เจ้า…กับเสี่ยวโม่ พวกเจ้าสองคนก็ไปพูดคุยกับผู้อาวุโสคนนี้เอาเองแล้วกัน”
ชุยตงซานพลันกำหมัดชูขึ้นสูง สำเร็จแล้ว
เฉินผิงอันยังเอ่ยเสริมมาอีกประโยค เป็นการ ‘เตือนด้วยความหวังดี’ ลูกศิษย์ของตนคนนี้จะได้ไม่ ‘อายุน้อยอารมณ์พลุ่งพล่าน’ ทำอะไรไม่รอบคอบมีช่องโหว่
“จำไว่ว่าคราวหน้าที่เจอกับผู้อาวุโสอวี่จิ่นที่เดือดดาลปานฟ้าผ่า เจ้ากับเสี่ยวโม่ต้องพูดคุยกับเขาอย่างเป็นมิตร โดนน้ำลายเม็ดสองเม็ดกระเด็นใส่หน้าจะนับเป็นอะไรได้ ยังต้องปรึกษาพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยจิตใจที่สงบเป็นกลาง อย่าได้ใช้อำนาจรังแกคนอื่นเด็ดขาด อย่าทำเป็นเหมือนร้านใหญ่ที่รังแกลูกหน้า ค้าขายไม่สำเร็จสัจจะยังคงอยู่ ขุนเขาเขียวไม่เปลี่ยนน้ำใสไหลยาว ชีวิตคนมีที่ใดที่ไม่อาจพบเจอกันได้บ้าง วันหน้าย่อมได้พบกันใหม่ โอกาสที่พวกเจ้าสองคนจะได้เจอกับผู้อาวุโสอวี่จิ่นมีอีกมาก ใช่หรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้ารัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก เข้าใจแล้วๆ
วันหน้ายังต้องปล้นเจ้าอ้วนกูซูอีกมาก ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าไปรำลึกความหลังด้วยบ่อยๆ!
เฉินผิงอันเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้าคิดว่าการถามหมัดครั้งนี้กี่กระบวนท่าถึงจะสิ้นสุดลงได้?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ก็ต้องดูที่ความจริงใจของศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว”
ผู้ฝึกยุทธเซวียไหวแห่งผูซาน ในฐานะลูกศิษย์เอกผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเย่อวิ๋นอวิ๋น พื้นฐานขอบเขตเดินทางไกลของผู้ฝึกยุทธเฒ่าคนนี้นับว่าไม่เลว ต้องไม่ใช่พวกที่เป็นเยื่อไผ่หรือกระดาษเปียกอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันบิดปลายเท้า ถามว่า “จากนี้ข้ายังต้องถามหมัดกับเจ้าขุนเขาเย่อีก หอซ่าวฮวาจะทนรับการประลองหมัดเท้าของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางสองคนได้หรือ?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ต่อให้ต่อยตีกันจนแหลกก็ไม่เป็นไร เรื่องของการซ่อมแซมใช้เวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ศิษย์รับรองว่าตอนงานฉลองวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิต้องกลับคืนสภาพเหมือนใหม่อย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เย่อวิ๋นอวิ๋น ฉิวตู๋ หูฉู่หลิง แขกของภูเขาเซียนตูทั้งสามคนยืนอยู่ด้วยกัน
หญิงชราใช้เสียงในใจสอบถาม “เจ้าขุนเขาเย่รู้ตัวตนของเซียนกระบี่เฉินนานแล้วใช่หรือไม่?”
เย่อวิ๋นอวิ๋นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตั้งใจจะมอบเรื่องประหลาดใจให้เจ้า”
หญิงชราที่รอดพ้นหายนะมาได้มีสีหน้าซับซ้อน พึมพำว่า “เป็นเรื่องประหลาดใจใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ”
ที่ซากปรักของวังมังกรเกือบจะถูกเซียนกระบี่เฉินร่วมมือกับหวังจูมังกรแท้จริงขู่ให้ตกใจตาย โชคดีที่เป็นแค่การตกใจไปเองเท่านั้น อีกทั้งเมื่อเทียบกับที่คาดการณ์เอาไว้ก็ได้ของเต็มไม้เต็มมือกลับมาซึ่งเป็นเรื่องยินดีที่ไม่คาดฝัน
หากไม่เป็นเพราะเจ้าขุนเขาเฉินทำอะไรระมัดระวังรอบคอบ คอยติดตามมาด้านหลังอย่างเงียบเชียบตลอดทาง การเดินทางไปเยือนวังมังกรของนางในครั้งนี้ย่อมต้องมีภัยแฝงตามมานับไม่ถ้วน ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน หากถูกหวังจูจับจุดอ่อนเอาไว้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างการคืน ‘ของโจร’ เท่านั้นแล้ว
แค่พูดถึงก่อนที่เฉินผิงอันจะปรากฏตัว นิสัยที่หวังจูแสดงออกมาก็ไม่ถือว่าดีเลยจริงๆ
ห่างจากพวกเฉินผิงอันมาเล็กน้อย ตอนนี้ข้างกายของสุยโย่วเปียนมีลูกศิษย์อย่างเฉิงเฉาลู่กับอวี๋เสียหุยที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ยืนอยู่
ก่อนจะถามหมัด ชุยตงซานก็ไปหาสุยโย่วเปียนมาก่อนแล้ว บอกว่าต้องการขอยืมใช้สถานที่ของนาง สุยโย่วเปียนย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ
เฉิงเฉาลู่ถามเสียงเบา “อาจารย์ พี่หญิงเผยกับอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นต้องการประลองบู๊หรือประลองบุ๋น หรือว่าแค่สองเท้ายืนนิ่งใช้มือผลักตีกันเท่านั้น?”
สุยโย่วเปียนหลุดขำอย่างอดไม่อยู่ “อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดที่ไม่น่าเชื่อถือให้น้อยๆ หน่อยเถอะ การถามหมัดบนยอดเขาประเภทนี้ การประลองของนักสู้ล่างภูเขาเทียบไม่ได้หรอกนะ”
ใจกลางลานประลองยุทธ ทั้งสองฝ่ายกำลังจะปล่อยหมัดออกไป เผยเฉียนก็ใช้หางตาเหลือบไปมองอาจารย์พ่อของตัวเอง
เฉินผิงอันพยักหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนนางผู้นี้ว่าไม่ต้องกดขอบเขตมากเกินไปนัก แค่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจก็พอ
จากนั้นแอบยกมือขึ้นทำมือเป็นรูปเลขแปด ก่อนจะพลิกฝ่ามือคว่ำลงอย่างรวดเร็ว
เผยเฉียนเข้าใจความนัยได้ทันที
ขอบเขตแปด สิบหมัด
ทางฝั่งของเผยเฉียน เฉินผิงอันนับรวมๆ ดูแล้วเพิ่งเคยจะสอนหมัดป้อนหมัดอีกฝ่ายแค่สองครั้งเท่านั้น โดยเฉพาะประสบการณ์ในการสอนหมัดครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนหรือผลลัพธ์ก็อย่าพูดถึงเลยดีกว่า
บวกกับที่เขาเป็นเถ้าแก่ผู้สะบัดมือทิ้งร้านมาจนเคยชินแล้ว ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่เคยเห็นเผยเฉียนลงมือมาก่อนอย่างแท้จริง หากจะบอกว่าไม่สงสัยใคร่รู้เลยย่อมเป็นไปไม่ได้
เฉินผิงอันรู้แค่ว่าตอนอยู่ศาลเหลยกงธวัลทวีป เผยเฉียนเคยถามหมัดกับหลิ่วสุ่ยอวี๋ขอบเขตยอดเขา หลังจากนั้นอยู่ที่เกราะทองทวีป เผยเฉียนยังเคยลงสนามรบร่วมกับเฉาสือและอวี้เจวี้ยนฟู
และคุณสมบัติในการเรียนวรยุทธ วิธีการและนิสัยใจคอของอวี้เจวี้ยนฟูนั้น เฉินผิงอันก็รู้ชัดเจนดี
พูดถึงแค่กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า ถูกคนสะบั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตก็คืออวี้เจวี้ยนฟู
บนใบหน้าของสุยโย่วเปียนมีรอยยิ้มน้อยๆ เพราะไม่อาจเอาเผยเฉียนที่ตัวเองเห็นอยู่ในเวลานี้ไปทับซ้อนกับภาพลักษณ์ของถ่านดำน้อยในปีนั้นได้จริงๆ
หญิงสาวตรงหน้าผู้นี้มัดผมมวยกลม เผยหน้าผากเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอาด ใบหน้างดงาม เรือนกายสูงโปร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังอำนาจที่หนักแน่นสุขุมของนางที่สมกับมาดของปรมาจารย์อย่างสมชื่อ
ยากจะจินตนาการได้ว่าสตรีที่เป็นเช่นนี้ ตอนเด็กทั้งเกียจคร้าน เจ้าเล่ห์ เจ้าคิดเจ้าแค้น จิตใจคับแคบ กลัวความลำบากเป็นที่สุด ชอบเอาเปรียบผู้อื่น จินตนาการบรรเจิดเลิศล้ำ คำพูดคำจาประหลาดมีมากมาย…
เซวียไหวเอามือหนึ่งไพล่หลัง ผายฝ่ามือข้างหนึ่งมาด้านหน้า “เซวียไหวแห่งผูซานขอคำชี้แนะ”
เผยเฉียนกุมหมัดคารวะกลับคืน น้ำเสียงใสกังวาน สีหน้าเรียบเฉย “เผยเฉียนแห่งภูเขาลั่วพั่ว ล่วงเกินแล้ว”
เพียงแค่ประโยคนี้ มาดของปรมาจารย์ส่วนนี้ก็ทำให้ความคิดนับร้อยของเฉินผิงอันประดังประเดกันแล้ว
อยากดื่มเหล้า
เฉิงเฉาลู่เบิกตากว้าง จิตวิญญาณแกว่งไกว พี่หญิงเผยมีมาดของปรมาจารย์ที่แท้จริงอย่างที่เล่าลือกันเลยนะ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา หมัดหวังปาที่ปล่อยไปส่งเดชครั้งนั้นของตนก็ช่าง…มิคู่ควรให้ย้อนนึกถึง! มารดามันเถอะ ล้วนเป็นเพราะเจ้าโหยวชีที่นิสัยไม่เที่ยงตรง ทำให้ตนต้องขายหน้า วันหน้ารอให้ตนเรียนหมัดประสบความสำเร็จสักเล็กน้อยค่อยหาโอกาสไปหาเขาที่ถ้ำมังกรขาว อืม ยังต้องเรียนรู้วิธีการทำเรื่องต่างๆ จากใต้เท้าอิ่นกวาน ทั้งต้องหนักแน่น ทั้งต้องต่อสู้เก่ง ต่อสู้เสร็จแล้วยังต้องรู้จักเผ่นหนี ถ้าอย่างนั้นก็เรียกป๋ายเสวียนที่ ‘ตัวต่อตัวไร้ศัตรูเทียมทาน’ ไปด้วยกันก็แล้วกัน
เซวียไหวพลันยิ้มเอ่ย “การถามหมัดครั้งนี้ ปรมาจารย์เผยสามารถกดขอบเขตไว้สักขอบเขตครึ่งได้หรือไม่?”
เป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ด้วยตัวเอง อาจารย์ผู้เฒ่าไม่รู้สึกลำบากใจใดๆ
เจิ้งชิงหมิง เจิ้งซาเฉียนบนสนามรบของเมืองหลวงสำรองต้าหลี สองฉายานี้ ชื่อเสียงระบือไกลไปยังต่างทวีป ขึ้นชื่อว่าออกหมัดดุดันเฉียบขาด มักจะรีบรบรีบจบตัดสินเป็นตาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนหน้านี้เซวียไหวได้เห็นกับตาตัวเองว่าเผยเฉียนดึงหินยักษ์ในแม่น้ำออกมาทั้งราก ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวทะยานขึ้นไปบนทะเลเมฆ ย้ายมันกลับมายังภูเขาเซียนตู ระยะทางยาวไกล ไกลนับพันลี้ เซวียไหวยอมรับว่าตัวเองมิอาจสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่นี้ได้แน่นอน
หากอีกฝ่ายไม่กดขอบเขตเลยก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ายากที่จะทนได้เกินสิบหมัด ถึงเวลานั้นคำว่าถามหมัดก็เป็นแค่การล้มเอนไปทางด้านเดียวเท่านั้น หนีไม่พ้นเผยเฉียนปล่อยหมัด ตนแค่ฝืนแบกรับไว้ได้สี่ห้าหมัดก่อนจะล้มลงลุกไม่ขึ้นอีก นั่นก็ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมที่อยากจะประลองฝีมือกันเพื่อขัดเกลาวิถีวรยุทธอะไรเลย อันที่จริงเซวียไหวไม่กลัวหากต้องแพ้หมัด กลัวก็แต่ว่าตัวเองจะแพ้อย่างไร้ความหมาย
แล้วนับประสาอะไรกับที่หากพูดถึงการถามหมัด อันที่จริงเซวียไหวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าส่วนใหญ่แล้วจะเหมือน ‘การยอมลงให้’ บนกระดานหมากล้อมมากกว่า แม้จะไม่ถือว่านักเล่นชั้นสูงระดับแคว้นจงใจป้อนหมากให้กับนักเล่นที่ระดับขั้นต่ำกว่า แต่ความหมายก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร
ตอนนี้เซวียไหวเผชิญหน้ากับเผยเฉียนก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองว่าอยู่ในสถานะของผู้เยาว์บนวิถีวรยุทธครึ่งตัวโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้ดีถึงการเปลี่ยนแปลงอันลุ่มลึกบนเส้นทางหัวใจของลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนี้ นางไม่รู้สึกผิดหวังต่อเซวียไหวที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง เผยเฉียนที่เดิมทีคิดจะกดขอบเขตเป็นเดินทางไกลรีบหันไปมองอาจารย์พ่อทันที เรื่องแบบนี้ให้อาจารย์พ่อเป็นคนตัดสินใจดีกว่า
หากไม่เป็นเพราะต่อจากนี้เย่อวิ๋นอวิ๋นยังต้องถามหมัดกับอาจารย์พ่อ คนที่เผยเฉียนอยากถามหมัดด้วยอย่างแท้จริง แน่นอนว่าไม่ใช่เซวียไหว แต่ต้องเป็นเย่อวิ๋นอวิ๋นที่ตอนอยู่หาดหวงเฮ้อมิอาจ ‘ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน’