กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 902.4 ถามหมัดบนยอดเขา
เผยเฉียนหัวเราะหึหึ “แค่พอสมควรก็พอแล้วนะ”
ต่อจากนั้นหลังจากเย่อวิ๋นอวิ๋นเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งไปแล้วก็ร่ายวิชาหมัดที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของผูซานและกระบวนท่าบางส่วนที่สร้างสรรค์ขึ้นเองออกมาบนหอซ่าวฮวาแห่งนี้อย่างเต็มคราบ
ต่อให้เป็นสุยโย่วเปียนที่เป็นสตรีเหมือนกันก็ยังมองจนตาพร่าลายจิตวิญญาณแกว่งไกว หวงอีอวิ๋นแห่งใบถงทวีปท่านนี้คือสาวงามที่โดดเด่นทั้งบุคลิกและรูปร่างหน้าตาอย่างแท้จริง
ระหว่างนั้นกระบวนท่าที่เฉินผิงอันได้เปรียบที่สุดก็คือหมุนหอกเป็นวงกลมกระแทกเข้าที่หน้าท้องของหวงอีอวิ๋นทำให้หวงอีอวิ๋นเกือบจะร่างแนบติดพื้นลื่นไถลออกไป เพียงแต่หวงอีอวิ๋นใช้ข้อศอกยันพื้นไว้ เพียงไม่นานก็ลุกขึ้นยืนได้
และนางก็เอาคืนอย่างว่องไว ใช้หมัดต่อยเข้าที่ตัวหอก ตัวหอกแตกหักไปเกือบครึ่งเสี้ยว ก่อนจะกระแทกเข้าที่หน้าอกของเฉินผิงอัน
การถามหมัดครั้งนี้ โดยภาพรวมแล้วยังคงไม่อาจแบ่งแยกผลลัพธ์ว่าใครแพ้ใครชนะได้อย่างแท้จริง
เย่อวิ๋นอวิ๋นบ้างก็ใช้หมัดแบบสาวไหม บ้างก็ใช้หมัดแบบทับซ้อน
หนึ่งหมัดปล่อยออกไปเหมือนเซียนเหรินดีดพิณ นิ้วขยับอย่างที่มองไม่เห็น พายุหมัดว่องไวดุจกระบี่บิน
เรือนกายของนางขยับ พายุหมัดเอ่อล้น ไอน้ำแผ่อบอวล เย่อวิ๋นอวิ๋นคล้ายร่ายวิชาหดย่อพื้นที่ของผู้ฝึกลมปราณ
สุดท้ายเฉินผิงอันใช้หนึ่งหมัดแลกกับหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าของหวงอีอวิ๋น
จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็หยุดยืนนิ่ง ผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์คนละเฮือก
เพียงแต่ว่าอารมณ์ของเซวียไหวในเวลานี้กลับไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
เพราะทั้งๆ ที่อาจารย์ปล่อยเท้าออกไปเพิ่มหนึ่งเท้า ทว่าระยะห่างที่ทั้งสองฝ่ายถอยออกไปกลับเท่าๆ กัน
นี่หมายความว่าร่างกายผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของเจ้าขุนเขาเฉิน แท้จริงแล้วสูงกว่าอาจารย์ของตนหนึ่งระดับ
เผยเฉียนรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพียงแต่เวลาที่อาจารย์พ่อถามหมัดอยู่กับคนอื่น นางไม่สะดวกจะเปิดปากพูดอะไร
ยังคงเป็นเหมือนตอนเด็กเวลาดูเหล่าเว่ยเล่นหมากล้อมกับเสี่ยวป๋าย สุภาพชนดูหมากล้อมไม่พูดคุยกัน
ผู้ฝึกยุทธถามหมัด คนอื่นพูดคุยกัน
คือข้อต้องห้ามใหญ่
เฉินผิงอันโยนหอกยาวในมือให้กับเผยเฉียนเบาๆ
ประหนึ่งการเปิดฉากรุกในการเล่นหมากล้อม
ประลองฝีมือ หยุดแต่เพียงเท่านี้
เฉินผิงอันเหมือนจะมองเห็นความคิดของเย่อวิ๋นอวิ๋นจึงยิ้มเอ่ยว่า “เฉาสือไม่ได้…อ่อนแออย่างที่เจ้าขุนเขาเย่คิด”
เย่อวิ๋นอวิ๋นยิ้มกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่”
เงียบไปครู่หนึ่ง เย่อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่แค่บอกชื่อแซ่ก็ปล่อยหมัดออกไปทันที ครั้งนี้นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใช้ท่ายืนเตรียมรุกของผูซาน “ไยข้าจะไม่ได้เป็นเหมือนกัน?”
เห็นภาพนี้ สีหน้าของเซวียไหวพลันหนักอึ้ง
หากยังตีกันต่อไป ไม่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ฝ่ายหนึ่งต้องได้รับบาดเจ็บไม่เบาแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
ม้วนชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นเบาๆ
จากนั้นใช้ฝ่ามือปาดไปบนข้อมือเบาๆ คล้ายเช็ดอะไรทิ้ง
ยันต์บางประเภทที่ทับซ้อนกันอยู่บนมือข้างซ้ายถูกเฉินผิงอันใช้มือขวาปาดทิ้ง
เปลี่ยนมือม้วนชายแขนเสื้อขึ้น ทำเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้
สุดท้ายบิดปลายเท้า ข้อเท้าสองข้างเบื้องล่างสองเข่าของเฉินผิงอันที่ต่างก็มี ‘ยันต์ปราณที่แท้จริงครึ่งจิน’ ต่างก็ถูกกระเทือนจนแหลกสลาย
เผยเฉียนมีสีหน้าตื่นตะลึง
เรื่องนี้นางไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ
นางใช้ศอกถองห่านขาวใหญ่ที่อยู่ด้านข้างทันที ห่านขาวใหญ่ยกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน แต่กลับทำไม่สำเร็จ จึงแสยะปากแยกเขี้ยว พูดเสียงอู้อี้ว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ฟ้าดินเป็นพยาน! หากข้ารู้ความจริงแล้วจงใจไม่พูดถึง วันหน้าก็จะไม่เป็นศิษย์พี่เล็กของเจ้าแล้ว เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้โดยตรงเลย!”
ในฐานะคนที่ต้องถามหมัดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน เย่อวิ๋นอวิ๋นเป็นคนที่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทำให้คนหายใจไม่ออกได้โดยตรงที่สุด
สุดท้ายในสมองของนางมีแค่ความคิดเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่คน
แม้เย่อวิ๋นอวิ๋นจะไม่เคยถามหมัดอย่างเป็นทางการกับอู๋ซูมาก่อน แต่พบหน้ากันหลายครั้ง อริยะบู๊แห่งใบถงทวีปผู้นั้นก็มักจะมอบความรู้สึกกดดันมหาศาลอย่างหนึ่งให้กับเย่อวิ๋นอวิ๋นอยู่เสมอ บนร่างของอู๋ซูมักทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขาเลือดลมพลุ่งพล่าน เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด ถึงขั้นที่ว่ายังทำให้ผู้ฝึกยุทธรอบด้านอดรู้สึกเหมือนเกิดภาพลวงตาไม่ได้ว่าตัวเองต่ำเตี้ยกว่าเขาหนึ่งระดับ
ความรู้สึกยามที่เผชิญหน้ากับอู๋ซูก่อนหน้านี้ก็ทำให้เย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกย่ำแย่อย่างถึงที่สุดแล้ว เหมือนสตรีเปราะบางอ่อนแอที่เรี่ยวแรงไม่มากพอคนหนึ่งออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก เดินทางยามค่ำคืนเพียงลำพัง แล้วไปเจอกับบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาชั่วร้ายหรือไม่ก็ยังทำให้สตรีรู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจได้อยู่ดี
ทว่านาทีนี้เย่อวิ๋นอวิ๋นกลับมีความรู้สึกที่ขัดต่อนิสัยใจคอของตัวเอง ทำให้รู้สึกละอายใจต่อวิชายุทธที่ร่ำเรียนมา ละอายใจต่อแซ่สกุลแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าว นั่นคือความรู้สึก…สิ้นหวังอย่างมหาศาล
ก็เหมือนกับว่ามีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวใจของนางไม่หยุด
ไม่ต้องถามหมัด! อย่าถามหมัด! เจ้าจะต้องแพ้ จะต้องตาย
ความรู้สึกสิ้นหวังและหายใจไม่ออกที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งไม่ควรมีและไม่อาจมีเช่นนี้ทำให้เย่อวิ๋นอวิ๋นที่เป็นปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางเกือบจะระเบิดโทสะออกมา
มิน่าเล่าเจียงซ่างเจินถึงได้เกลี้ยกล่อมตนว่าอย่าได้ถามหมัดกับคนผู้นี้
สภาพจิตใจของตัวเองเป็นเช่นนี้จะใช้หมัดสยบหนึ่งทวีปได้อย่างไร? จะสามารถช่วยให้เรือนอวิ๋นฉ่าวเลื่อนขั้นเป็นสำนักของไพศาลได้อย่างไร?
เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นอย่างเฉียบไว พลันใช้เสียงในใจตะโกนเรียก “เย่อวิ๋นอวิ๋น!”
แววตาและจิตใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นที่เดิมทีกำลังจะแหลกสลายคล้ายจู่ๆ ได้ยินเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ กลับกลายเป็นว่ากลับมารวมตัวกันได้อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นนางก็พลันเก็บความคิดทั้งหมดมาในเสี้ยววินาทีตามจิตใต้สำนึก เพียงชั่วพริบตาจิตใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นพลันใสกระจ่าง ราวกับว่าฟ้าดินด้านนอกกับฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ล้วนว่างเปล่าไม่เหลือสิ่งใด
เฉินผิงอันชะลอการออกหมัด เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม
ครู่หนึ่งต่อมาเย่อวิ๋นอวิ๋นถึงได้ถอยออกมาจากสภาพการณ์อันลี้ลับมหัศจรรย์นั้น หลังจากที่ไม่เหลือสิ่งใด ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ก็เหมือนม้วนภาพที่ทยอยกันคลี่ออก บุคคลและเรื่องราวที่จดจำได้ชัดเจนที่สุดเหมือนภาพสีสัน ภาพเหตุการณ์ในชีวิตที่ความทรงจำค่อนข้างพร่าเลือนกลับเหมือนภาพเค้าโครงลายเส้นขาวดำที่วาดได้อย่างประณีติ ส่วนเรื่องราวที่ตัวเองนึกว่าลืมไปนานแล้ว แต่แท้จริงแล้วเหมือนถูกผนึกภูเขาเอาไว้ กลับเหมือนภาพน้ำหมึกที่สะบัดแปรงตามแต่ใจ ไม่เห็นกระดูกเลือดเนื้อ เห็นแต่ปณิธาน…
ชั่วพริบตานั้นเย่อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกเพียงว่าตัวเองเหมือนเทพองค์หนึ่งที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง หลุบตาลงต่ำมองมายังพื้นดินเบื้องล่าง
นี่ก็คือขอบเขตคืนความจริงชั้นที่สองของขอบเขตปลายทางหรือ?!
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดต่อไปว่า “อย่าได้รีบร้อนถามหมัด สามารถรออีกสักครู่ได้”
แววตาของเย่อวิ๋นอวิ๋นแจ่มจ้าผิดปกติ เห็นเพียงว่านางเก็บท่าหมัดโบราณของผูซานไป ถอยหลังหนึ่งก้าว กุมมือคารวะคนชุดเขียวตรงหน้าที่นางยังคงรู้สึกว่า ‘ไม่ใช่คน’ ผู้นี้ เป็นการขอบคุณอย่างไร้เสียง เพียงแต่ว่าเวลานี้ในใจของเย่อวิ๋นอวิ๋นไม่เหลือความสิ้นหวังอีกแล้ว นางเงียบงันไปพักหนึ่งก็คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน เอ่ยว่า “เจ้าต้องระวังแล้ว!”
เฉินผิงอันถาม “แน่ใจนะ?”
ความหมายคืออยากจะถามว่าเจ้าขุนเขาเย่ท่านนี้แน่ใจหรือไม่ว่าจะไม่รอให้ขอบเขตคืนความจริงมั่นคงกว่านี้อีกสักหน่อย?
เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นแค่คืนความจริงได้เกือบครึ่งส่วนเท่านั้น
ทว่าเย่อวิ๋นอวิ๋นกลับตั้งท่าหมัดแล้ว ถึงขั้นเป็นท่าหมัดที่คล้ายจะบอกว่า…หมัดสูงยอมลงให้ก่อน?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงหายตัวไปจากที่เดิม
ในเมื่อหวงอีอวิ๋นผู้นี้อยากจะอาศัยขอบเขตของเขาเฉินผิงอันมาอนุมานระดับความสูงต่ำและขอบเขตลึกตื้นในวิชายุทธของเฉาสือคร่าวๆ
ไม่มีปัญหา
เฉินผิงอันยังคงเลือกจะออมแรงไว้สองส่วน เหมือนกับตอนที่ถามหมัดกับเฉาสือในสวนกงเต๋ออย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ตอนนั้นเฉาสือก็ออมแรงไว้สองส่วนเช่นกัน
พริบตานั้นหวงอีอวิ๋นก็สูญเสียการรับสัมผัสทั้งหมดไป ราวกับว่า…บนโลกมนุษย์ไม่มีคนชุดเขียวอีกแล้ว
ท้ายทอยของนางพลันเอียงไปข้างหนึ่งเพราะถูกฝ่ามือของเฉินผิงอันกดเอาไว้แล้วผลักออกไปอย่างแรง
ร่างของเย่อวิ๋นอวิ๋นพลันลอยกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศ
จากนั้นคนชุดเขียวก็ขยับเท้าไปด้านข้าง เหวี่ยงแขนขึ้นสูง กำหมัดแล้วปล่อยตรงลงมา
หวงอีอวิ๋นถูกหมัดต่อยเข้าที่เอว ร่างทั้งร่างกระแทกพื้นดังโครม
ชุยตงซานสูดลมหายใจดังเฮือก หันหน้าไปทางอื่นไม่มองภาพนี้
โชคดีที่เฉินผิงอันยื่นหลังเท้าออกไปอย่างว่องไว จึงช่วยชะลอความเร็วในการหล่นพื้นของอีกฝ่ายได้เล็กน้อย แล้วเขาก็ก้าวถอยหลังไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว
ทางฝั่งของหอซ่าวฮวานี้ นอกจากชุยตงซานและลูกศิษย์อย่างเผยเฉียนแล้วน่าจะไม่มีใครสามารถมองเห็นการกระทำนี้ได้อย่างชัดเจน
หวงอีอวิ๋นยังคง ‘นอนเค้เก้’ อยู่บนพื้น อีกทั้งคนทั้งคนก็คล้ายจะ…มึนงงไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันคลี่ชายแขนเสื้อสองข้างลง กุมหมัดเอ่ยว่า “ยอมให้แล้ว”
หวงอีอวิ๋นโซเซลุกขึ้นยืน ข่มกลั้นแรงสั่นสะเทือนของขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ลงไป ยังต้องพยายามอย่างสุดความสามารถถึงจะสยบปราณวิญญาณที่สับสนวุ่นวายให้มั่นคงลงได้ สีหน้าของนางซับซ้อน กุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ยอมให้แล้ว”
เป็นคำกล่าวว่า ‘ยอมให้แล้ว’ เหมือนกัน แต่ความหมายจะเหมือนกันได้อย่างไร
ยามนี้ตลอดทั้งหอซ่าวฮวา เนื่องจากสองฝ่ายที่ถามหมัดพากันเงียบงัน คนอื่นๆ จึงเงียบตามไปด้วย
หวงอีอวิ๋นฝืนกลืนเลือดสดๆ ที่ตีตื้นมาในลำคอกลับลงไป สีหน้าที่ซีดขาวดีขึ้นเล็กน้อย ถึงได้ใช้เสียงในใจถามว่า “ขอแค่เจ้ากับเฉาสือเป็นขอบเขตเดียวกันก็ไม่มีความจำเป็นให้ต้องประชันกันอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “ประลองฝีมือกับข้ายังนับว่าดี แต่หากจะถามหมัดกับเฉาสือ ย่อมไม่มีความจำเป็นแล้ว”
เย่อวิ๋นอวิ๋นจมสู่ความเงียบงัน
เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เวลานี้ดูเหมือนไม่ว่าจะเอ่ยถ้อยคำตามมารยาทอะไรก็ล้วนไม่เหมาะสม
ชุยตงซานมองแล้วรู้สึกกลุ้มใจนัก เดิมทีเจ้าขุนเขาเย่ผู้นี้ยังคิดจะมาเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาเซียนตูบ้านตนอยู่เลย อย่าให้เป็นเพราะการป้อนหมัดของอาจารย์กลายเป็นว่าหมดหวังเลยนะ
สุดท้ายเย่อวิ๋นอวิ๋นถามว่า “ข้าเคยได้ยินเรื่องสถานการณ์มิพ่ายของสกุลหลิวธวัลทวีปมาแล้ว เฉาสือไร้ศัตรูทัดทานขนาดนั้นจริงๆ หรือ?”
ส่วน ‘ศึกเขียวขาว’ ในสวนกงเต๋อที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า เย่อวิ๋นอวิ๋นอ่านรายงานขุนเขาสายน้ำก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว
เฉินผิงอันเอ่ย “แน่นอนว่าเฉาสือไร้ศัตรูทัดทาน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเสียเลย”
เย่อวิ๋นอวิ๋นกุมหมัดยิ้มเอ่ย “ลาล่ะ”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง
สายตาของชุยตงซานยิ่งฉายแววไม่พอใจ ดูสิดู ดูเรื่องดีๆ ที่อาจารย์ท่านเป็นคนทำสิ เจ้าขุนเขาเย่ไม่คิดจะอยู่ร่วมพิธีเฉลิมฉลองแล้ว
เย่อวิ๋นอวิ๋นไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่เอ่ยอย่างจนใจว่า “ไปรักษาบาดแผลก่อน”
แล้วเย่อวิ๋นอวิ๋นก็พาเซวียไหวกลับไปที่ยอดเขามี่เซวี่ย ตลอดทางนางเดินด้วยฝีเท้าหนักแน่น ไม่ทะยานลม
เพียงแต่ว่าเดินห่างไปไกลแล้ว รอกระทั่งพ้นจากหอซ่าวฮวาและยอดเขาเจ๋อเซียนมาแล้ว ระหว่างทางภูเขาที่สองฝากฝั่งล้วนมีแต่หน้าผา หวงอีอวิ๋นถึงได้หยุดเท้า ยืนอยู่บนขั้นบันไดหินเขียว มือหนึ่งยันผนังหน้าผา อีกมือหนึ่งประคองตรงช่วงเอว แค่นวดคลึงเล็กน้อยก็เจ็บปวดจนสตรีที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางท่านนี้ต้องขมวดคิ้ว
เซวียไหวผู้เป็นลูกศิษย์ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ดวงตามองตรงไม่ลอกแลก แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อาจารย์ผู้เฒ่าก้าวเดินเร็วๆ ไปด้านหน้าอย่างเงียบๆ อย่างคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี
เซวียไหวชะลอฝีเท้า เดินขึ้นบันไดไปสิบกว่าก้าวแล้วถึงได้หยุดยืนนิ่ง หันหลังให้อาจารย์
หวงอีอวิ๋นเดินขึ้นบันไดมา “หมัดของหนึ่งทวีปมาจากผู้ซาน คำกล่าวนี้อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง คนอื่นจะพูดกันอย่างไรข้าไม่สน แต่วันหน้าลูกศิษย์ของเรือนอวิ๋นฉ่าว ใครกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า…”
เพียงแค่พูดเบาๆ ก็กระเทือนไปถึงบาดแผลตรงเอว หน้าผากของเย่อวิ๋นอวิ๋นมีเหงื่อผุดซึม ไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว
เซวียไหวรู้สึกว่าหากตนแสร้งทำตัวเป็นน้ำเต้าตันไปตลอดทางก็ไม่ใช่เรื่องสมควร จึงแข็งใจเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่จั่วศิษย์พี่ของเซียนกระบี่เฉินท่านนี้ ดูเหมือนว่าในอดีตก็เคยทำให้คำเรียกขานว่า ‘ตัวอ่อนเซียนกระบี่’ ซึ่งเดิมทีเป็นคำยกย่องที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกกระบี่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง กลายเป็นประโยคด่าคนไปเหมือนกัน”
เย่อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “ไม่พูดยังจะดีซะกว่า!”
เซวียไหวจึงได้แต่ออกเดินไปเงียบๆ อีกครั้ง
ทางฝั่งของหอซ่าวฮวา เผยเฉียนสีหน้าสดใสแช่มชื่น ลำพองใจยิ่งกว่ายามที่ตัวเองถามหมัดชนะเสียอีก
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร มองดูเหมือนว่าเป็นการถามหมัดบนยอดเขาครั้งหนึ่งกับหวงอีอวิ๋น แต่แท้จริงแล้วยังห่างจาก ‘หมัดบางหมัดของคนบางคน’ อีกไกลนัก ยังคงอยู่แค่ที่กึ่งกลางภูเขาเท่านั้น