กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 903.2 ไร้เรื่องก็สงบสุข
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “พวกเราใช้เหตุผลกับคนอื่นไม่ใช่เพื่อปฏิเสธคนอื่นเขา นอกจากนี้การมอบความปรารถนาดีให้กับคนอื่น นอกจากจะเพื่อให้ตัวเราเองรู้สึกไม่ละอายใจแล้วก็ยังต้องพิถีพิถันในเรื่องความเหมาะสม นี่ก็คือความต่างของมรรคาและเวทคาถา มหามรรคามีเพียงหนึ่งเดียว ทว่าเวทคาถากลับมีนับร้อยนับพันชนิด แตกต่างกันไปตามบุคคล แตกต่างกันไปตามสถานที่ ดังนั้นถึงได้บอกว่าการเป็นคนดีนั้นยากมาก”
ยื่นมือไปตบศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ เฉินผิงอันสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบาว่า “วันนี้เจ้าสามารถคิดได้เช่นนี้ อาจารย์พ่อก็สามารถวางใจสอนกระบวนท่าหมัดสองท่าที่คิดค้นขึ้นเอง รวมไปถึง ‘ครึ่งหมัด’ บางอย่างแก่เจ้าได้แล้ว”
อันที่จริงหมัดสองอย่างที่เฉินผิงอันคิดค้นขึ้นเองเป็นทั้งวิชาหมัดแล้วก็เป็นทั้งกระบวนท่ากระบี่ หนึ่งเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด หนึ่งซับซ้อนถึงขีดสุด ก็คือสองทางที่สุดขั้ว หมัดหนึ่งในนั้น หรือควรจะพูดว่าเวทกระบี่ ตั้งชื่อให้ว่า ‘เศษจันทร์’ พลานุภาพไม่น้อย พลังพิฆาตไม่ต่ำ เหมาะที่จะออกหมัดอย่างเฉียบคมขณะที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมหนาหนักในสนามรบ
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมไปหนึ่งประโยค “แต่เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน อีกเดี๋ยวข้าจะต้องกลับไปปิดด่านในถ้ำสวรรค์เล็กแล้ว รอให้งานเฉลิมฉลองสิ้นสุดลง ข้าจะหาเวลาว่างมาสอนหมัดแก่เจ้าดีๆ สักครั้ง”
ทุกวันนี้ลูกศิษย์เป็นขอบเขตปลายทางขั้นปราณโชติช่วงแล้ว เรื่องของการสอนหมัดให้กับเผยเฉียน เฉินผิงอันรู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้างจริงๆ
เผยเฉียนโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
เฉินผิงอันมองทัศนียภาพนอกภูเขาด้วยสภาพจิตใจที่สงบนิ่งปลอดโปร่ง
ภูเขาห่างไกลไร้ที่สิ้นสุด เมฆหรือน้ำยากจะแยกแยะ
วันนี้การที่เฉาฉิงหล่างไม่ได้เผยตัวมาชมศึกที่หอซ่าวฮวาก็เพราะว่าที่เจ้าสำนักคนถัดไปที่มีการ ‘เลือกกันเป็นการภายใน’ ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนนี้ได้เริ่มปิดด่านสร้างโอสถทองอย่างเป็นทางการแล้ว
ทั้งศึกษาวิชาความรู้ทั้งฝึกตนไปพร้อมๆ กัน
ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจเช่นนี้ ต่อให้ถือโคมตามหาก็ยังหาไม่เจอ
แต่สถานที่ที่เฉาฉิงหล่างใช้ปิดด่านในเวลานี้กลับไม่ใช่ยอดเขาชิงผิงหรือยอดเขามี่เซวี่ยของภูเขาเซียนตู แต่เป็นภูเขาใหม่ที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เผยตัว ถูกชุยตงซานใช้ค่ายกลร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ แม้แต่เย่อวิ๋นอวิ๋นกับฉิวตู๋ก็ยังมองความจริงไม่ออก
มหาบรรพตเก่าอีกสองลูก ชุยตงซานแยกกันตั้งชื่อให้ว่าภูเขาอวิ๋นเจิง (ไอเมฆ) กับภูเขาโฉวโหมว (เตรียมการหรืออาลัยอาวรณ์)
ยอดเขาหลักแบ่งออกเป็นชื่อยอดเขาอู๋เฉากับยอดเขาจิ่งซิง ภูเขาทั้งสองแห่งต่างก็ตั้งป้ายศิลาเอาไว้ ชุยตงซานแกะสลักคำว่า ‘อู๋เฉาปู้ชู’ (หากคนอย่างพวกเราไม่ออกแรง ถ้าอย่างนั้นชาวบ้านจะทำอย่างไร) และ ‘เทียนตี้จื่อชี่’ (ปราณม่วงในฟ้าดิน)
ชุยตงซานจะป่าวประกาศเรื่องนี้แก่ทุกคนในการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งแรก ในบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่ในอนาคตจะถูกรับเข้ามาอยู่ในทำเนียบของสำนักเบื้องล่าง ผู้ฝึกกระบี่คนแรกที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบจะสามารถเข้าไปอยู่ในยอดเขาอู๋เฉาได้
และเฉาฉิงหล่างก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนคนแรกที่ได้อยู่บนยอดเขาจิ่งซิงภูเขาโฉวเหมียว
เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานคิดจะสร้างระบบสืบทอดของสำนักเบื้องล่างขึ้นมา เจ้าสำนักรุ่นถัดไปทุกคนของสำนักกระบี่ชิงผิงล้วนจะต้องพักอยู่ที่ยอดเขาหลักอย่างยอดเขาจิ่งซิง
ดังนั้นในอาณาเขตของสำนักกระบี่ชิงผิงทุกวันนี้ อันที่จริงก็ได้มีเค้าโครงคร่าวๆ แล้ว เซียนตู อวิ๋นเจิง โฉวโหมว สามภูเขาเคียงข้างกัน หนึ่งหลักสองรอง
แม้ว่าเสี่ยวโม่จะสร้างกระท่อมอยู่ที่หาดลั่วเป่า อันที่จริงกลับคอยจับตามองการปิดด่านของเฉาฉิงหล่าง รวมไปถึงการถามหมัดสองครั้งบนยอดเขาอยู่ตลอดเวลา
สำหรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดคนหนึ่ง การแบ่งสมาธิออกไปเล็กน้อยไม่ได้ยากลำบากอะไร
ตอนนี้เสี่ยวโม่กำลังรอคอยให้อวี่จิ่นมาหาเรื่องตัวเอง
ถึงอย่างไรเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับคุณชายของตน แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสำนักชุย
ใช่ เป็นข้านี่แหละที่ไปรื้อรังเก่าใต้ทะเลของเจ้า ขนเอาสมบัติของเจ้ามาจนเกลี้ยง เรื่องนี้เจ้าก็ทนได้ด้วยหรือ?
ขอแค่เจ้าอ้วนผู้นั้นยอมผงกศีรษะแม้สักเล็กน้อย เสี่ยวโม่ก็จะใช้ขอบเขตหยกดิบ ‘ฝึกปรือฝีมือ’ กับอีกฝ่าย
หอซ่าวฮวา มีแค่เฉิงเฉาลู่กับอวี๋เสียหุยที่ยังอยู่ต่อ คนบ้านเดียวกันสองคนที่ตัวอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแต่กลับไม่รู้สึกทุกข์ทรมานแม้แต่น้อยนั่งคุยเล่นกันอยู่บนราวรั้ว
“พ่อครัวน้อย หากให้เวลาเจ้าอีกหลายร้อยปี เจ้าก็ไม่อาจได้ครอบครองขอบเขตวิชาหมัดอย่างทุกวันนี้ของใต้เท้าอิ่นกวานพวกเราใช่หรือไม่?”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว พันปีก็ยังทำไม่ได้”
“ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าอวดดีมากเลยนะ?”
“ฮ่า”
“วันหน้าเจ้าจะดื่มเหล้าร่วมกับข้าหรือไม่?”
“อย่าดีกว่า อาจารย์ต้องโกรธแน่”
“ไม่ได้เรื่อง! กลัวอาจารย์ จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างไร”
ในบรรดาเด็กวัยเดียวกันทั้งเก้าคน ป๋ายเสวียน อวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิง คนทั้งสามมาจากตรอกเก่าโทรม ต่อให้เป็นอาจารย์ของป๋ายเสวียนก็ยังไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับถนนไท่เซี่ยง ถนนอวี้ฮู่ที่กำแพงสูงใหญ่ ประตูบานโตพวกนั้นเลยสักนิด
ส่วนน่าหลันอวี้เตี๋ย เหอกู เหยาเสี่ยวเหยียน พวกเขาสามคนต่างก็เป็นเด็กที่เกิดในตระกูลชั้นสูง
ซุนชุนหวัง อันที่จริงก็ไม่แย่ ถือว่าเป็นญาติห่างๆ ของซุนจวี้เฉวียนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ
เขาอวี๋เสียหุยกับเฉิงเฉาลู่ถือว่าไม่ดีและไม่เลว ที่บ้านไม่ขาดเงิน แต่ก็ไม่ได้มีเงินมากมายอะไร
ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนทั้งกลุ่มหากจะพูดถึงชาติกำเนิด พูดถึงวิชาความรู้ พูดถึงการสืบทอด ต่างคนต่างก็มีชะตาเป็นของตัวเอง
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงผู้คนไม่ค่อยชอบเปรียบเทียบเรื่องนี้กันสักเท่าไร เลือกครรภ์มาเกิดก็ต้องอาศัยความสามารถเหมือนกัน หากไม่ยินยอมก็ต้องอาศัยเวทกระบี่และคุณความชอบทางการสู้รบ ย้ายจากตรอกเก่าโทรมไปอยู่ถนนห้าเส้นนั้น
เนื่องจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยตั้งกฎที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนไว้ข้อหนึ่ง ตระกูลชั้นสูงตระกูลใหญ่ที่บ้านตั้งอยู่บนถนนทั้งห้าเส้น เว้นเสียจากว่าในบ้านไม่มีผู้ฝึกกระบี่แม้แต่คนเดียว ไม่อย่างนั้นต่อให้เหลือแค่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างคนเดียว ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ล้วนต้องไปส่งกระบี่ที่สนามรบ หากรู้สึกว่าไปแล้วจะต้องตาย ถ้าอย่างนั้นก่อนที่สงครามใหญ่จะมาเยือนก็รีบย้ายบ้านซะ รีบๆ ย้ายออกไปจากตรอกจากถนนห้าเส้นนั้น
ดังนั้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากจะไม่มีสุสานแล้ว ถึงขั้นที่ว่าไม่มีบ้านบรรพบุรุษด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสหลายท่านที่เคยแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง บรรพบุรุษในประวัติศาสตร์ต่างก็เคยย้ายบ้านกันมาแล้วทั้งนั้น อย่างเช่นตระกูลต่ง ในช่วงเวลาร้อยปีที่ต่งซานเกิงออกเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพังก็เกือบจะไม่อาจรักษาบ้านบรรพบุรุษเอาไว้ได้แล้ว
ถนนห้าเส้นที่ตีจากเหล็ก ผู้ฝึกกระบี่ที่ไหลหายไปดั่งสายน้ำ
เนื่องจากความสัมพันธ์ที่มีกับเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ เหล้าภูเขาชิงเสินที่เป็นของดีป้ายอักษรทองของร้านเหล้าที่บ้านเกิด เหล้าทะเลสาบคนใบ้ที่ถูกแนะนำในช่วงหลัง และยังมีป้ายสงบสุขปลอดภัยทั้งหลาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเด็กๆ อย่างพวกเขา
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ภูเขาลั่วพั่ว เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ก็คือคนเสเพลที่เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ทุกครั้งที่ไปถึงหอบูชากระบี่จะชอบพูดคุยกับป๋ายเสวียนเป็นที่สุด เล่าให้ฟังถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของเรือนชุนฟานและคฤหาสน์หลบร้อน
พวกอวี๋เสียหุยที่ว่างจากการฝึกกระบี่มักจะยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งด้านข้าง คิดเสียว่าได้ฟังนักเล่านิทาน
หมี่อวี้เล่าให้ฟังว่า ร้านเหล้าที่ใต้เท้าอิ่นกวานเปิดร่วมกับเถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้างเคยมีผู้ฝึกตนโอสถทองเฒ่าคนหนึ่ง มีวันหนึ่งดื่มเหล้าเมาก็เลยเอาป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งไปแขวน
‘พูดถึงเวทกระบี่ ข้าเอาชนะเสี่ยวต่งไม่ได้ แต่หากจะพูดถึงความคอแข็ง ต่อให้ข้าผู้อาวุโสเอาสามขาวางลงบนโต๊ะเหล้า ก็ยังสามารถเอาชนะเสี่ยวต่งได้สบายๆ ไม่ยอมแพ้ก็จงมาหาข้า’
หลังจากโดนซ้อมไปรอบหนึ่ง วันที่สองเขาที่หน้าเขียวจมูกบวม ฉวยโอกาสตอนที่ฟ้าเพิ่งสว่างร้านเหล้าเพิ่งเปิดวิ่งไปที่ร้านอีกรอบ เพียงแต่ว่าพลิกป้ายสงบสุขปลอดภัยอีกด้านแล้วเขียนอีกประโยคหนึ่งเพิ่มลงไป เมื่อวานดื่มเหล้าเมาไปหน่อย คำพูดของคนเมาเชื่อถือไม่ได้
ผลคือระหว่างที่แอบเดินกลับบ้าน ต่อให้จะเดินลับๆ ล่อๆ แค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ โดนกระบี่บินไปอีกหนึ่งที
อวี๋เสียหุยพลันเอ่ยว่า “พ่อครัวน้อย ในอนาคตพวกเราต้องสร้างโอสถทอง ได้เลี้ยงทารกก่อกำเนิด เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน”
เฉิงเฉาลู่พยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว!”
……
มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากตำหนักน้ำของทะเลทักษิณ ไปหยุดพักอยู่บนหินพักมังกรครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปเยือนที่ตั้งเก่าของวังมังกรลำน้ำใหญ่ที่ปราณทะเลเชื่อมโยงถึงกัน สุดท้ายคนทั้งกลุ่มสามคนก็ขึ้นฝั่งอย่างเป็นทางการที่ทะเลตะวันตกของใบถงทวีป
คนหนึ่งคือบุรุษวัยกลางคนที่ใบหน้างดงามดุจหยก ข้างกายมีสาวใช้แต่งชุดสีสันสดใสหน้าตางามล้ำคนหนึ่งติดตามมา กับองค์รักษ์ที่เป็นบุรุษร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำ
ก็คือหลี่เย่โหวหนึ่งในสุ่ยจวินของสี่มหาสมุทรที่ได้เลื่อนขั้นใหม่ เมื่อเท้าทั้งสองข้างของเขาสัมผัสพื้น เรือนกายก็ชะงักไปเล็กน้อย เพียงแต่ไม่นานก็กลับคืนมาเป็นปกติ
สตรีที่อยู่ด้านข้างสะพายห่อใส่พิณ มีนามว่าหวงเจวี้ยน นางชอบกินปลามอดในหนังสือ และเจ้านายที่อยู่ข้างกายนางผู้นี้ก็บังเอิญเป็นนักเก็บสะสมตำราที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้พอดี
บุรุษร่างเล็กเตี้ยสะพายหอกสั้นไว้หนึ่งเล่ม ทุกวันนี้คือผีพรายตนหนึ่ง ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ภายใต้โชควาสนานำพา จึงได้ไปเยือนทะเลสาบเจี่ยวเยว่ที่ในประวัติศาสตร์เปลี่ยนเจ้านายมาหลายคน รับหน้าที่เป็นเค่อชิงอันดับหนึ่ง
หวงเจวี้ยนเลื่อมใสหลิ่วชีเป็นที่สุด ขณะเดียวกันก็เกลียดคนบางคนที่คุยโวโดยไม่ต้องร่างคำพูดมากที่สุด
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าที่มีชื่อว่าซีหมานผู้นั้น มีชาติกำเนิดจากหลิวเสียทวีป รากฐานมหามรรคาของเขาก็คือมังกรดินพสุธาตัวหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในซากปรักวังมังกรลำน้ำใหญ่เคยประลองฝีมือกับผู้อาวุโสซาชิงไปรอบหนึ่ง ซาชิงกดขอบเขตไว้หนึ่งขั้น ใช้ขอบเขตเดียวกันในการถามหมัด ซาชิงเป็นฝ่ายเอาชนะได้เล็กน้อย
ตอนนั้นในบรรดากลุ่มคนที่ชมศึก ข้างกายหวังจูมังกรที่แท้จริงยังมีเด็กหนุ่มท่าทางขลาดกลัวคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาก้มหน้าค้อมเอวด้วยความเคยชิน คล้ายหวาดกลัวหวังจูอย่างถึงที่สุด ต่อให้เด็กหนุ่มพูดคุยกับหวังจูสายตาก็มักจะลอกแลกไม่หยุดนิ่ง ไม่เคยกล้ามองสบตากับหวังจูตรงๆ
หวงเจวี้ยนยิ้มเอ่ย “ตั้นตั้นฮูหยินก็ช่างรู้จักวางตัวเป็นคนยิ่งนัก”
เจ้านายเก่าของหลุมน้ำลู่ผู้นี้มีฉายาว่าชิงจง ทุกวันนี้นางก็ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงผู้ครองโชคชะตาน้ำแห่งพื้นดินที่สูงศักดิ์แล้ว
ปีนั้นเซียนจับปลาที่เฝ้าหินพักมังกร ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ก็จะอยู่ที่ลำน้ำจี้ตู๋ที่อุตรกุรุทวีปแล้ว
ตู๋ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณพวกนั้นถึงกับถูกตั้นตั้นฮูหยินนำมาส่งมอบให้กับจื้อกุยเป็นการส่วนตัวทั้งหมด
ได้ยินมาว่าไข่มุกฉิวที่เก็บอยู่ในคลังสมบัติของหลุมน้ำลู่ก็ได้ถูกนำออกไปมอบให้คนอื่นจนหมดเช่นกัน นี่ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ เลย
ผูกมิตรกับคนอื่นไปทั่ว
อันที่จริงกับเจ้านายของตน ตั้นตั้นฮูหยินก็มีการแสดงท่าทีเหมือนกัน ของขวัญที่มอบให้ไม่เบาเลย
หลี่เย่โหวหัวเราะ “วันหน้าก็หัดเรียนรู้ไว้ให้มากๆ”
ซาชิงถาม “ครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายไปพูดคุยเรื่องการค้ากับเฉินผิงอันด้วยตัวเอง จะถูกฆ่าหมูหรือไม่?”
หวงเจวี้ยนเอ่ยอย่างมีโทสะ “ฆ่าหมูอะไรกัน?!”
ซาชิง “ก็ความหมายตามนั้นนั่นแหละ”
หลี่เย่โหวถอนหายใจ “เฉินผิงอันพูดคุยได้ง่าย กลัวก็แต่ว่าจะเป็นคนผู้นั้นที่ออกมารับรองแขก”
ซิ่วหู่
หรือควรจะพูดว่าซิ่วหู่ฉุยชานครึ่งตัว
ซาชิงถาม “ข้าขอประลองฝีมือกับเฉินผิงอันได้หรือไม่ เจ้าคนก่อนหน้านี้ไม่ได้เรื่องเท่าไรเลย”
หลี่เย่โหวส่ายหน้า “ครั้งนี้ไม่เหมาะ วันหน้าค่อยว่ากันเถอะ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ประชุมอยู่ในศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ตอนที่มีเวลาว่างมีคนกลุ่มใหญ่พากันไปนั่งตกปลาอยู่ที่เกาะยวนยางโดยไม่ได้นัดหมาย
จุดที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือ คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ต่อให้ขอบเขตต่ำที่สุดก็ยังเป็นขอบเขตยอดเขา
หากว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล ดูเหมือนว่าจะไม่มีคุณสมบัติไปนั่งตกปลาที่นั่นได้เลย
และในบรรดาปรมาจารย์วิถีวรยุทธกลุ่มนั้นก็มีจางเถียวเสียที่มีฉายาว่า ‘หลงป๋อ’ รวมอยู่ด้วย
ข้างกายจางเถียวเสียมีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ที่มักจะพกติดตัวไว้เป็นประจำ ตรงเอวห้อยข้องปลาใบเล็ก ในสายตาของคนนอก เขามักจะไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ซากปรักสนามรบโบราณอยู่ตลอด ทั้งไม่ถามหมัดกับคนอื่น แล้วก็ไม่รับหมัดของใคร ข้องปลาที่อยู่ตรงเอวของคนผู้นี้กลับไม่ใช่ข้องราชามังกร แต่เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ถูกบนยอดเขาเรียกขานว่า ‘ถ้ำโหยวเซียน ถ้ำไร้ก้น’ เล่าลือกันว่าสามารถเลี้ยงวิญญาณหยินและภูตผีไว้ได้มากนับหมื่นตนในเวลาเดียวกัน
เนื่องจากผู้ฝึกยุทธคนนี้ตัดขาดกับโลกภายนอกมากเกินไป จึงไม่มีใครรู้ชื่อแซ่
มีเพียงคนผู้เดียวที่หลุดปากพูดคุยกับคนอื่นตอนอยู่บนโต๊ะสุรา เรียกอีกฝ่ายว่า ‘เหล่าจือ’ คือผู้ที่รักและเลื่อมใสในตัวฮูหยินภูเขาชิงเสินเป็น ‘อักษรตัวเทียน’ (หรือหมายถึงอันดับหนึ่ง) เป็นพวกลุ่มหลงในรักที่ไม่กล้ามองนางไกลๆ สักครั้ง ได้แต่คิดถึงนางไกลๆ ไปชั่วชีวิต
และยังมีคู่อาจารย์และศิษย์สายของศาลเหลยกงธวัลทวีป เพ่ยอาเซียงและหลิ่วสุ้ยอวี๋ หวังฟู่ซู่แห่งอุตรกุรุทวีป อริยะบู๊อู๋ซูแห่งใบถงทวีป เค่อชิงอันดับหนึ่งแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ ซาชิง
นอกจากนี้ยังมีผู้ถวายงานของสำนักชั้นต้นและราชวงศ์ใหญ่สิบแห่งอีกหลายคน จำนวนรวมแล้วมีเกือบๆ ยี่สิบคน
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเผยเปย ซ่งจ่างจิ้งและหลี่เอ้อต่างก็ไม่ได้ไปที่นั่น
เด็กรุ่นเยาว์อย่างเฉาสือ เจิ้งเฉียน อวี้เจวี้ยนฟูก็ไม่ได้ปรากฏตัวเช่นกัน
แน่นอนว่ามีการพูดคุยกันถึงหมัดเท้าของหลี่เอ้อ หวังฟู่ซู่คนบุ่มบ่ามเคยให้ข้อสรุปไว้ว่า ‘สุขุมรอบคอบและมีประสบการณ์’
เพราะถึงอย่างไรตรงนั้นก็มีเพียงเขาที่เคยถามหมัดกับหลี่เอ้อมาก่อน
‘หมัดและเท้าของหลี่เอ้อไม่หนักไม่เร็ว ธรรมดาอย่างมาก’
‘สถานการณ์มิพ่าย’ ของสกุลหลิวธวัลทวีปนั้น ผู้ฝึกยุทธบนยอดเขาครึ่งหนึ่งต่างก็มีการลงเดิมพัน แน่นอนว่าล้วนเดิมพันไว้ว่าในอนาคตห้าร้อยปีเฉาสือจะไม่มีทางแพ้หมัด
อันที่จริงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมักจะมีอายุขัยที่ด้อยกว่าผู้ฝึกลมปราณเสมอ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่เดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดแล้ว อย่างมากสุดก็มีอายุไม่เกินสามร้อยปี
แต่ก็มีข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นจางเถียวเสีย หรือไม่ก็พวกหวงอีอวิ๋นแห่งใบถงทวีป
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมก่อนที่เผยเปยจะลุกผงาด จางเถียวเสียถึงได้นั่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้า อีกทั้งเมื่อนั่งก็นั่งมานานนับพันปี แต่ผู้เฒ่ากลับไม่ยินดีจะถามหมัดกับคนอื่นมานานหลายปีแล้ว จางเถียวเสียทำตัวเป็นเหมือนนกกระเรียนที่โบยบินอย่างเสรีอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ แค่หลงใหลอยู่กับการตกปลา เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ในสายตาของผู้เฒ่าเอง ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ถึงกับรักตัวกลัวตาย ก็คือความไม่บริสุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งแล้ว
มีเพียงอวี้พ่านสุ่ยไท่ซ่างหวงแห่งราชวงศ์เสวียนมี่กับคนมือเติบที่เรียกตัวเองว่า ‘โจวค่าวซาน’ เท่านั้นที่ไม่เห็นเงินเป็นเงิน ถึงกับทยอยกันทุ่มเงินก้อนหนึ่งห้าร้อยเหรียญฝนธัญพืชและอีกก้อนหนึ่งหนึ่งพันเหรียญฝนธัญพืชลงเดิมพันว่าเฉาสือจะแพ้
แต่รอกระทั่งอิ่นกวานหนุ่มคนนั้นลงมือต่อยตีกับเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวที่เกาะยวนยางภายใต้สายตามากมายที่จับจ้องมองมา จากนั้นก็มีการประชันเขียวขาวที่น่าตะลึงพรึงเพริดเกิดขึ้นที่สวนกงเต๋อ ลงมือร้ายกาจ ทำให้คนทอดถอนใจด้วยความทึ่ง
ดังนั้นจึงมีคนเริ่มระแวง คิดไม่ถึงว่าสกุลหลิวธวัลทวีปจะเอ่ยประโยคหนึ่งมาว่า ปิดรับเดิมพันแล้ว
เล่าลือกันว่าการเดิมพันครั้งนี้ สกุลหลิวแห่งธวัลทวีปที่เป็นเจ้ามือทยอยรวบรวมเงินที่กระจัดกระจายมาทีละก้อนได้ประมาณสี่หมื่นเหรียญเงินฝนธัญพืช หนึ่งจ่ายสอง (คือการเดิมพันชนิดหนึ่ง หากชนะเดิมพัน จ่ายหนึ่งส่วนจะได้เงินถึงสองส่วน แต่หากแพ้เดิมพันก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มจากหนึ่งส่วนเป็นสองส่วน)
เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนผู้เฒ่าจำนวนไม่น้อยบนภูเขา และยังมีพวกจักรพรรดิอัครเสนาบดี เจ้าประมุขตระกูลชนชั้นสูงของราชวงศ์ใหญ่กลุ่มใหญ่ต่างก็เห็นว่าเรื่องของการเดิมพันเป็นการฝากเงินกินดอกเบี้ยเพื่อสำนัก หรือไม่ก็เพื่อลูกศิษย์ผู้สืบทอด เพื่อคลังแคว้น แม้ว่าจะปิดบัญชีได้ช้า ต้องอดทนรอไปถึงห้าร้อยปี แต่ก็เป็นการรับประกันอย่างหนึ่ง ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมีแต่ได้กำไรไม่มีขาดทุน