กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 903.3 ไร้เรื่องก็สงบสุข
ความน่าเชื่อถือที่เป็นป้ายอักษรทองของสกุลหลิวธวัลทวีปนี้นับว่ายังแข็งแกร่งยังพึ่งพาได้อย่างมาก
พวกคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นยิ่งใคร่ครวญก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ หรือว่าสถานการณ์มิพ่ายนั้น เทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างหลิวจวี้เป่ามั่นใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเฉาสือจะต้องแพ้?
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้มีใครเอาชนะเฉาสือได้จริงๆ สกุลหลิวธวัลทวีปก็ได้กำไรก้อนใหญ่ ด้วยความเร็วในการปลูกเงินต่อเงิน เงินทองไหลมาเทมาของหลิวจวี้เป่านั้น ต่อให้สุดท้ายแล้วจ่ายหนึ่งต่อสองก็ยังไม่ต้องกลัวอยู่ดี
ใต้หล้านี้ไม่มีการค้าที่หลิวจวี้เป่าขาดทุนจริงดังคาด
ในซากปรักวังมังกรลำน้ำใหญ่แห่งนั้น หลังจากที่หลี่เย่โหวสามคนจากไป สตรีหน้าตางดงามก็ถอดรองเท้าหุ้มแข้ง นั่งอยู่ริมฝั่ง จุ่มเท้าสองข้างลงไปในสระดอกบัว แกว่งเท้าเบาๆ จนริ้วน้ำกระเพื่อมไหว กงเยี่ยนหวนนึกถึงการคุมเชิงกันก่อนหน้านี้ นางคิดร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าคนหนุ่มที่ตอนนั้นสวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวตามหาร่องรอยที่เก็บงำอำพรางของพวกเขาทุกคนเจอได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตหยกที่เป็นทั้งขอบเขตเซียนเหริน ทั้งยังเชี่ยวชาญเวทหลบหนีอย่างถึงที่สุด เขามีวิธีการมากมาย แต่กลับถูกปราณกระบี่เป็นเส้นๆ ตามเจอร่องรอยแล้วเล่นงานไปทีละส่วนอย่างแม่นยำ
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเอ่ย “อาศัยเสียงในใจหรือ?”
กงเยี่ยนส่ายหน้า ไม่น่าจะใช่ แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเขาไม่ใช่ลูกนกหัดบินที่เพิ่งลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ เวลาที่แยกร่างก็ระมัดระวังอย่างยิ่ง มีการปิดกั้นลมปราณ
อีกอย่างการฟังเสียงในใจของผู้ฝึกตนก็ไม่ใช่ว่าใครก็ล้วนทำได้ ก็เหมือนอย่างมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาที่ย่อมไม่มีทางได้ยินเสียงหัวใจเต้นของพวกเขา อยู่บนภูเขา ผู้ฝึกตนกับผู้ฝึกตนก็มีหลักการเหตุผลที่แทบไม่ต่างกันนี้
บางทีอาจมีเพียงฝูลู่อวี๋เสวียน จ้าวเทียนไล่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ฮว่อหลงเจินเหริน ผู้ฝึกตนใหญ่ที่เป็นขอบเขตบินทะยานซึ่งมีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบพวกนี้เท่านั้นที่บางทีอาจจะพอได้ยินเสียงในใจของผู้ฝึกตนเซียนเหรินหรือถึงแม้กระทั่งผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกัน
หลี่ป๋าที่ได้ฉายาว่าชุ่ยจ่างพลันเอ่ยว่า “เป็นเส้นเอ็นหัวใจที่ละเอียดอ่อนกว่าเสียงหัวใจ”
นักพรตหยกนวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยอย่างจนใจว่า “หรือว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง? เพียงแต่ว่าใต้หล้าไพศาลของพวกเรามีบุคคลที่เป็นเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”
กงเยี่ยนรีบตบหน้าอกตัวเอง คลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ทำให้เหล่าเหนียงตกใจแทบแย่แล้ว”
หลี่ป๋าเอ่ย “เหมือนอย่างนักพรตเนิ่น แล้วก็เฉาหรงเซียนเหรินแห่งแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงผู้ฝึกกระบี่สวีเซี่ย ก็ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็โผล่ออกมาหรอกหรือ คนที่รู้จักและคนที่ไม่รู้จักมีถมเถไป ชินไปแล้วก็ดีเอง”
ในศาลาริมน้ำ จื้อกุยเอนกายพิงเสา เท้าคางด้วยมือข้างเดียวเหม่อลอย
ขั้นบันไดด้านล่างที่อยู่ข้างนอกมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ หน้าผากของเขามีรอยนูนเล็กน้อย
ในตรอกหนีผิงเคยมีงูสี่ขาที่ถูกซ่งจี๋ซินรังเกียจว่าเกะกะสายตาจึงจับโยนเข้าไปในลานบ้านด้านข้างอยู่หลายครั้ง ผลคือมันล้วนคลานกลับมาทุกครั้ง
มักจะถูกจื้อกุยผู้เป็นสาวใช้เหยียบไว้ใต้รองเท้า บดขยี้ซ้ำไปซ้ำมา หรือไม่ตอนเช้าตรู่เวลาที่ต้องไปตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็กแล้วได้ยินคำพูดเย้ยหยันเหน็บแนม จื้อกุยที่กลับบ้านตัวเองมาแล้วเจอมันก็มักจะใช้เท้าเตะมันจะกระเด็นออกไป
เด็กหนุ่มที่เพิ่งหลอมเรือนกายได้สำเร็จแค่ไม่กี่ปีผู้นี้ถูกจื้อกุยมอบแซ่หวังให้ ชื่อฉงจวี นามอวี้ซา และยังมีฉายาว่าหานซู
เด็กหนุ่มสะพายน้ำเต้าผิวสีม่วงมันขลับไว้เอียงๆ บนไหล่
จื้อกุยหันหน้ามาผงกปลายคางให้เขา
เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารเข้าใจความนัยได้ทันที รีบขยับเท้าหลบไปยืนตรงตำแหน่งที่นายท่านจะมองไม่เห็น หลีกเลี่ยงไม่ให้นายท่านเห็นแล้วหงุดหงิดใจ
จื้อกุยถึงได้ยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าสรวงสวรรค์บรรพกาลมีแท่นลงทัณฑ์อยู่แห่งหนึ่ง มีศาสตราวุธเทพหลายชิ้นที่เอาไว้ใช้จัดการกับเซียนดินและเจียวหลงที่ทำผิดกฎสวรรค์โดยเฉพาะ นอกจากกระบี่เกราะแล้วยังมีง้าวทะลุขุนเขา ยังมีดาบอีกสองเล่ม ดูเหมือนจะชื่อว่าเซียวโส่ว (ชื่อการลงทัณฑ์ในสมัยโบราณ ตัดหัวแล้วเอาหัวแขวนไว้สูง) กับพิฆาต ดาบพิฆาตอยู่ในมือของเฉินผิงอัน หากรู้แต่แรกคงไม่ให้เจ้าไปเฝ้าต้นทางไกลๆ อยู่บนทะเลแล้ว พวกเจ้าสองคนพบหน้ากัน ต่างฝ่ายต้องต่างเกลียดขี้หน้ากันแน่ จากนั้นก็ฉับหนึ่งที จุ๊ๆ”
เด็กหนุ่มตกใจทำคอย่น
……
เสี่ยวโม่เริ่มสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่หาดลั่วเป่า บอกว่าเป็นการฝึกตน แต่แท้จริงแล้วคืออ่านหนังสือ
สำหรับเสี่ยวโม่ในทุกวันนี้แล้ว การฝึกตนเพียงหนึ่งเดียว อันที่จริงก็คือการเลือกมหามรรคาเส้นหนึ่งที่ ‘บนเส้นทางไม่มีคนในอดีตทำได้มาก่อน’ ให้กับตัวเองเท่านั้น ถึงจะมีหวังเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด การหาเส้นทางในการเดินขึ้นสวรรค์ ระดับความยากนั้นก็ยังคงเหมือนการให้มนุษย์ธรรมดาเดินย่ำอยู่กลางอากาศ เรียกได้ว่ายากลำบากแสนสาหัส
ไม่อย่างนั้นหมื่นปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ในหลายใต้หล้าก็คงไม่มีจำนวนน้อยนิดแค่นี้
อีกอย่างเสี่ยวโม่ยังวางธรณีประตูขั้นหนึ่งไว้ให้กับตัวเอง จะต้องใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่เท่านั้น จะไม่ใช้ทางนอกรีตไม่ใช้ทางลัดใดๆ เด็ดขาด
ก็เหมือนเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่หนึ่งในสามสุดยอดของไพศาลที่คาดว่าก็คงมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน
ถึงอย่างไรเผยหมิ่นผู้นี้ เสี่ยวโม่ก็จะต้องหาโอกาสไปถามกระบี่ด้วยสักครั้ง
บนพื้นที่ว่างนอกกระท่อมที่คล้ายลานตากธัญพืช เสี่ยวโม่วางเบาะและม้านั่งส่วนหนึ่งเอาไว้ง่ายๆ
ชุยเหวย สุยโย่วเปียน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดสองคนมักจะมาสอบถามเรื่องการฝึกกระบี่กับอาจารย์เสี่ยวโม่ที่หาดลั่วเป่าเป็นประจำ
เฉิงเฉาลู่กับอวี๋เสียหุยก็แวะมาประจำเหมือนกัน ส่วนเผยเฉียนที่หากมีเวลาว่างจากงานที่ท่าเรือ บางครั้งก็จะมานั่งรับฟังด้วย
ขอแค่มีคนแวะเวียนมาเยี่ยมเยือน เสี่ยวโม่ก็จะนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคา วางไม้เท้าไม้ไผ่พาดไว้บนหัวเข่า ราวกับว่า…ทำการถ่ายทอดมรรคาอยู่ที่หาดลั่วเป่า
วันนี้ชุยตงซานออกมาจากยอดเขามี่เซวี่ย มาที่หน้าผาสีเขียวแห่งหนึ่งของยอดเขาชิงผิง งอนิ้ว ‘เคาะประตู’ เบาๆ
ชั้นบนสุดของจวนเซียนสีชาดแห่งนั้น เฉินผิงอันเก็บดวงจิต ลืมตาขึ้นผงกศีรษะเบาๆ
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ สวมชุดเขียว เปลือยเท้า
ทุกอย่างล้วนเรียบง่าย ในห้องไม่มีเครื่องประดับตกแต่งที่เกินความจำเป็นใดๆ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว บนโต๊ะน้ำชาด้านหน้าของเฉินผิงอันก็วางกระบี่ยาวที่เดินทางไกลข้ามทวีปพาดขวางไว้แค่เล่มเดียวเท่านั้น
ชุยตงซานแค่ยืนอยู่นอกประตูของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กฃ ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำที่เกินความจำเป็นใดๆ เขาบอกกับอาจารย์ว่า “ทางฝั่งของซากปรักวังมังกรได้ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาฉบับหนึ่ง บอกว่าหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งทะเลทักษิณคนใหม่ วันนี้จะมาเป็นแขกที่บ้านของพวกเรา ข้าคาดว่าเขาน่าจะมาพูดคุยเรื่องการค้าขายชะตาน้ำของลำคลองเย่ลั่วกับอาจารย์ อาจารย์ตั้งใจฝึกตนอย่างสงบต่อได้เลย ศิษย์สามารถไปคุยเรื่องราคากับหลี่เย่โหวได้ อาจารย์วางใจได้ ต่อให้อาจารย์ไม่ปรากฏตัว หลี่เย่โหวก็ไม่มีทางรู้สึกว่าภูเขาเซียนตูรับรองแขกไม่ดีพอแน่นอน”
มีข้ารับรองแขกก็เพียงพอแล้ว
หลี่เย่โหวกับจื้อกุยต่างก็เป็นหนึ่งในสุ่ยจวินของสี่สมุทร ดังนั้นคิดจะออกจากน่านน้ำบ้านตัวเองเข้าไปยังอาณาเขตของทะเลตะวันออก จะต้องมีการแจ้งข่าวให้จื้อกุยรู้ก่อน
อีกทั้งยังต้องรายงานทางศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง เมื่อได้รับคำอนุญาต หลี่เย่โหวถึงสามารถออกมาได้
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน สวมรองเท้าผ้า “รอเดี๋ยว ข้ามีธุระต้องออกไปจัดการข้างนอกพอดี จะพาเสี่ยวโม่ไปที่เสี่ยวหลงชิวด้วยกันรอบหนึ่ง พวกเราลงเขาไปด้วยกันเถอะ”
เดินออกจากถ้ำสวรรค์เล็กฉางชุนที่เป็นสถานที่ฝึกตนชั่วคราวแห่งนี้ เฉินผิงอันมาหยุดอยู่ข้างกายชุยตงซาน ยิ้มเอ่ย “ให้เจ้าเป็นคนไปย่อมดีกว่า ต่อรองราคาเรียกราคาให้สูงเทียมฟ้าได้เต็มที่ ให้ข้าพูดคุยเรื่องการค้ากับหลี่สุ่ยจวิน ข้าก็ไม่สะดวกจะพูดจริงๆ”
หากจะพูดถึงการเป็นร้านผ้าห่อบุญ เฉินผิงอันยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง ย่อมไม่มีทางดูถูกตัวเองมากเกินไปเป็นแน่ อย่างเดียวที่ลงมืออำมหิตไม่ลงก็คือการ ‘ฆ่าคนคุ้นเคย’ (เปรียบเปรยถึงการทำการค้ากับคนรู้จักที่ไว้ใจตัวเอง แต่กลับใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องมาหากำไรเอาเปรียบคนคุ้นเคย)
เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสวนกงเต๋อศาลบุ๋น หลี่เย่โหวที่ตอนนั้นยังเป็นสุ่ยจวินของทะเลสาบเจี่ยวเยว่ได้พาสาวใช้คนหนึ่งที่สวมชุดคลุมอาคมระดับสูงมาก และยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่หน้าตาไม่สะดุดตามาเยี่ยมเยือนอาจารย์ด้วยกัน ตอนนั้นของขวัญที่หลี่เย่โหวมอบให้เพื่อแสดงถึงการอวยพรคือ ‘เทียบเมาเละดุจโคลน’ ที่มูลค่าควรเมืองภาพหนึ่งให้ นอกจาก ‘แมลงสุรา’ ในเทียบที่หาได้ยากยิ่งแล้ว กุญแจสำคัญคือตัวของเทียบอักษรเองนั้นสามารถมองเป็นทะเลสาบใหญ่หกร้อยลี้ที่มีโชคชะตาน้ำเข้มข้น คือสถานที่ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งที่เผ่าพันธุ์เจียวหลงปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน
หลังจากลงภูเขามาด้วยกัน ชุยตงซานก็ไปหาหลี่เย่โหว
เฉินผิงอันไปหาเสี่ยวโม่ที่หาดลั่วเป่า ไปที่เสี่ยวหลงชิวด้วยกัน
บนเรือข้ามทวีปลำหนึ่ง
หมี่ลี่น้อยเอียงศีรษะไปมา ไหล่เล็กๆ ยักขึ้นซ้ายทีขวาที บนบ่าแบกคานหาบสีทอง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว เดินวนไปรอบเรือยามค่ำคืน นางกำลัง ‘ลาดตระเวนภูเขาตอนกลางคืน’ อยู่นะ
นายท่านใหญ่ป๋ายเสวียนนั่งอยู่บนราวรั้ว สองมือวางค้ำไว้บนราว เงยหน้ามองดวงจันทร์ เอ่ยทอดถอนใจเสียงดังว่า “ได้รับความสำคัญเช่นนี้จากอิ่นกวาน ภาระช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน”
ถึงกับเรียกตัวให้ตนมาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของสำนักเบื้องล่าง เฉินหลี่อิ่นกวานน้อยผู้นั้นได้รับการปฏิบัติเช่นนี้หรือ?
ใต้หล้าห้าสี นครบินทะยาน
ปิดร้านแล้ว ชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน ดื่มเหล้ามองไปยังผนัง
หลังจากที่เถ้าแก่รองจากไป ที่นี่ก็ไม่มีการแขวนป้ายสงบสุขปลอดภัยเพิ่มอีก
เคยมีคนอาละวาดไม่พอใจ แต่กลับถูกชายฉกรรจ์ขับไล่ไปอย่างไม่ง่ายนัก
ร้านเหล้าทั้งหลายในนครบินทะยานก็พยายามจะทำเลียนแบบ
ผลคือไม่มีใครไปช่วยให้การสนับสนุน กระอักกระอ่วนกันไปเป็นแถบๆ
ก็ใช่น่ะสิ
ใต้หล้าแห่งนี้ มีที่นี่ที่เดียว
พวกเจ้าจะเอาอย่างได้อย่างไร?
ทำได้ไม่เหมือนหรอก
‘คิดได้แล้ว นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะเรียนเขียนหนังสือจากเถ้าแก่รองให้ดี ข้าจะเขียนจดหมายหมั้นให้กับน่าหลันไฉ่ฮ่วนว่าที่ภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านด้วยตัวเอง’
‘ข้างกายแม่นางโจวขาดข้าไป นางถึงได้ไม่มีรอยยิ้ม ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน ในเมื่ออาเหลียงเป็นคนพูดเอง ข้าก็ต้องไปถามแม่นางโจวสักหน่อย พรุ่งนี้ค่อยไป หรือวันมะรืนก็ได้’
‘ขอร้องพวกเจ้าล่ะ พวกเจ้าอย่าด่าอาเหลียงอีกเลย ไม่เหมือนข้า ไม่เคยด่าเขาแม้แต่ครึ่งคำ วันหน้าพวกเจ้าใครกล้าด่าเขาต่อหน้าข้าสักคำเดียว ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับถามกระบี่กับข้าผู้แซ่จ้าวแล้ว ข้าคือสหายรักของอาเหลียงบนโต๊ะพนัน ยิ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่ฝีมือพอๆ กันบนโต๊ะสุรา อันที่จริงพวกเจ้าไม่เคยเข้าใจถึงความยากลำบากของอาเหลียงข้าเลย มีแต่ข้าที่เข้าใจ ดังนั้นเจ้าชาติสุนัขเจ้าจงมาโขกหัวให้ข้าเสียเถอะ’
‘ข้ามีนามว่าเหมี่ยวหราน ส่วนแซ่น่ะหรือ แกะสลักไว้บนหัวกำแพงอย่างไรล่ะ’
‘อยากจะใช้ชีวิตอยู่ในถังเหล้าเสียจริงๆ’
‘เวทกระบี่ไม่สูง แต่ไม่เคยขี้ขลาด’
‘เคยได้ยินอาเหลียงเล่าว่า ใต้หล้ามีหอชนิดหนึ่งเรียกว่าหอโคมเขียว บนโลกมีสุราชนิดหนึ่งเรียกว่าสุราเคล้านารี แต่เถ้าแก่รองกลับบอกว่าไม่มี ควรจะเชื่อใครดี?’
‘อันที่จริงเวทกระบี่ของซุนจวี้เฉวียนห่วยแตกมาก ก็ได้แต่หลอกสตรีต่างถิ่นเท่านั้นแหละ’
‘ได้ยินว่าผู้ฝึกตนของไพศาลต่างก็พิถีพิถันว่าหากใช้พู่กันเขียนอักษรได้งดงามก็คือความสุขยิ่งใหญ่ในชีวิต พวกเราไม่ต้องฝึกกระบี่กันหรือ?’
‘เซียนกระบี่พสุธาสองขอบเขตอย่างโอสถทองก่อกำเนิด ฮ่าๆ ข้าผู้อาวุโสขำแทบตายแล้ว ที่แท้เซียนกระบี่ของที่นั่นก็ถูกกว่าเหล้าของแม่นางเตี๋ยจ้างเสียอีก’
‘ขนาดเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ยังเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนได้ แล้วทำไมข้าถึงไปอยู่ไม่ได้?’
‘เยว่ชิง หมี่ฮู่ เซียนกระบี่อย่างพวกเจ้าฟังข้าสักคำ อันที่จริงเวทกระบี่ของจั่วโย่วธรรมดามาก ก็แค่ใช้วิธีขวานสามด้าม (เปรียบเปรยว่ามักจะสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญไว้ก่อน ทว่าแท้จริงแล้วกลับไม่ได้มีวิธีรับมือที่ดีอะไร) ไม่เชื่อก็ลองไปถามกระบี่ดูสักครั้ง’
‘ฝันวสันต์หาได้ง่าย โอสถทองหาได้ยาก’
‘จงหยวนไม่เคยดื่มเหล้านี้ ช่างพลาดอะไรไปมากมายจริงๆ’
‘สะดุ้งตื่นขึ้นมา ชอบนางมากกว่าเมื่อวานอีกแล้ว’
‘หันไหวจื่อแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยช่วยชีวิตข้าสองครั้ง ไม่เคยขอบคุณเขาต่อหน้าเลยสักครั้ง ไม่ควรเลย’
‘เซี่ยซงฮวามองข้าสองที มีลุ้นแล้ว’
‘สาวงามหมักเหล้าคือบ้านเกิดแห่งเซียน ทุกท่าน พวกเราไม่เมาไม่กลับ’
‘ถือว่าข้าช่วยขอร้องพวกเจ้าแทนเจ้าชาติสุนัขผู้นั้นแล้วกัน เซียนกระบี่ใหญ่ท่านใดโปรดช่วยที รีบไปแกะสลักตัวอักษรไว้ข้างหน้าอักษรเหมิ่งตัวนั้นที่หัวกำแพงที ถือเสียว่าช่วยเขาตั้งแซ่สักแซ่ ลูกชายที่ได้มาเปล่าๆ ไยไม่ยินดีทำเล่า’
‘คนที่ข้าชอบออกหมัดได้อย่างมีบรรทัดฐาน ดื่มเหล้ามีมาดสง่างามที่สุด เขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่เป็นไร สตรีเช่นข้าก็เป็นอยู่แล้วนี่นา’
‘ผีขี้เหล้าสิบคนเก้าคนคือหน้าม้า ข้าจะทำอย่างไรได้อีก?’
‘คิดถึงท่านดุจดวงจันทร์ที่เต็มดวงคืนแล้วคืนเล่า’
‘เซียนกระบี่ใหญ่คนถัดไปที่ได้แกะสลักบนหัวกำแพงเมือง ต้องเป็นข้าหยวนเลี่ยงแน่นอน’
ด้านข้างเขียนแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยไว้แผ่นหนึ่ง
‘เชื่อว่าหลังจากหยวนเลี่ยงแล้ว ต้องมีเซียนกระบี่ที่ได้แกะสลักตัวอักษรมากกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นข้าตู้หลิง’
อันที่จริงบนผนังของร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้ยังมีป้ายสงบสุขเป็นคู่ที่แขวนติดกันเช่นนี้อีกเยอะมาก
บางทีเป็นเพื่อนรักที่นั่งดื่มเหล้าโต๊ะเดียวกัน ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา อาศัยฤทธิ์ของสุรา คนหนึ่งเขียนอักษรตัวหนึ่งเสร็จอีกคนหนึ่งก็เขียนต่อ
บางทีเป็นผู้ฝึกกระบี่สองคนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรือไม่ก็แค่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากัน แต่กลับไม่เคยพูดคุยกัน ก็คล้ายได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนทักทายกันชั่วคราว
‘เถ้าแก่รองเป็นขุนนางไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อน ดูเหมือนว่าดื่มเหล้าแล้วจะไม่มีรสชาติอีกต่อไป’
‘หลัวเจินอี้ที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนช่างงดงามยิ่งนัก เถ้าแก่รองเป็นศาลาใกล้น้ำที่ได้ยลจันทร์ก่อน ช่างมีวาสนาด้านความรักจริงๆ’
‘เถ้าแก่รองอะไรกัน อิ่นกวานคนใหม่อะไรกัน ทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว ทุกครั้งที่ข้าผู้อาวุโสนั่งยองดื่มเหล้าอยู่ข้างทางกับเขา มีครั้งใดบ้างที่ไม่เรียกชื่อของเขาตรงๆ ว่าเฉินผิงอัน’
‘พูดไปเรื่อย เจ้าหวงโซ่วดื่มเหล้ากับเถ้าแก่รองทุกครั้งแทบอยากจะเอาหัวมุดเข้าไปในกางเกงเขาอยู่แล้ว อายุก็ตั้งปูนนี้แล้ว ทำเราะอย่างกับเป็นลูกเขาอย่างนั้นแหละ’
‘วันไหนที่ไม่ต้องทำสงครามกันอย่างแท้จริงก็จะลองไปเที่ยวเยือนอุตรกุรุทวีปดู’
‘จำไว้ว่าเรียกข้าไปด้วย’
‘ก็เหมือนอย่างที่ลู่จือบอก บางทีเถ้าแก่รองอาจเป็นสตรี เก็บงำได้ดีจริงๆ มิน่าเล่าตอนถามหมัดกับอวี้เจวี้ยนฟูถึงได้อำมหิตขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นสตรีที่หาเรื่องสตรีนี่เอง’
‘ถ้าอย่างนั้นแม่นางหนิงจะทำอย่างไรล่ะ? กลุ้มใจเลย’
‘อ่านตำราเพื่อสะสมบุญ พักผ่อนสงบใจ’
‘แค่มองก็รู้ว่ายืมมาจากเถ้าแก่รอง แต่ว่าคำพูดนี้เป็นคำที่ดี’
‘เลิกเหล้ายากยิ่งกว่าฝึกกระบี่’
‘เลิกเหล้ามีอะไรยาก ข้าเลิกอยู่ทุกวัน’
‘วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร’
‘สงบสุขปลอดภัย’