กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 904.1 นกกระเรียนโดดเดี่ยวแห่งฟ้าดิน
แสงจันทร์แสงดาวอ่อนจาง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าภูเขาสูง
ใบหูของซาชิงขยับไหวเบาๆ พลันหันหน้าไปมองม่านรัตติกาลที่อยู่ห่างไปไกล พูดเสียงทุ้มหนัก “นายท่าน ซิ่วหู่มาแล้ว”
หลี่เย่โหวอืมรับหนึ่งที ใช้เสียงในใจเตือนพวกเขา “จำไว้ว่าให้ระวังคำพูด ต่อจากนี้ไม่ว่าอาจารย์ชุยจะพูดอะไรกับข้า พวกเจ้าแค่ฟังแล้วปล่อยผ่านก็พอ ไม่ต้องถือสา ยิ่งไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
หวงเจวี้ยนสาวใช้ที่กำลังปรับสายพิณมองตามสายตาของซาชิงไป พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าจุดที่อยู่ห่างไปไกลมากมีเงาร่างสีขาวหิมะกลุ่มหนึ่งคล้ายจะทะยานลมแนบพื้นดินมา ทันใดนั้นเรือนกายก็พลันพุ่งขึ้นสูง เส้นสายตาของหวงเจวี้ยนจึงต้องขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดวงจันทร์ลอยอยู่บนฟ้า เรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงานั้นหันหลังให้กับดวงจันทร์กลมโตพอดี คนผู้นั้นเพิ่มความเร็วในการทะยานลมพลันทิ้งตัวดิ่งลงมายังยอดเขาแห่งนี้ ประหนึ่งคนในดวงจันทร์ ดั่งเจ๋อเซียนที่ลงมายังโลกมนุษย์
หวงเจวี้ยนเก็บพิณโบราณใส่ห่อผ้าอีกครั้ง ขยับไปยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายพร้อมกับซาชิง
เด็กหนุ่มที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว สวมชุดสีขาว ชายแขนเสื้อโบกสะบัด ลอยตัวอยู่นอกภูเขา
ต่อให้เป็นผู้บรรลุมรรคาที่มีจิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งอย่างหวงเจวี้ยนก็ยังจำต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ส่องประกายแสงเรื่อเรือง ทำให้แสงจันทร์ที่สาดไปทั่วภูเขาคล้ายจะมืดมนหม่นแสงลง ดุจดั่งเทพวาโยผู้สูงส่ง ไม่เป็นรองนายท่านเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้านี้ชุยตงซานไปเป็นแขกที่ทะเลสาบเจี่ยวเยว่สองครั้ง สาวใช้หวงเจวี้ยนบังเอิญไม่อยู่ที่จวนน้ำพอดี หากไม่ได้ไปหาสหายรักที่ภูเขาแยนจือก็ไปเที่ยวเล่นในพื้นที่ร้อยบุปผา
มีสหายมาจากแดนไกล ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือ
ดวงตาของหลี่เย่โหวเป็นประกายคล้ายรอคอยวันที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้งครานี้อย่างยากลำบากมานานหลายปีแล้ว เก็บพัดใบลานสีออกเหลืองในมือลงไป จากนั้นปลดหน้ากากบนใบหน้าลง คือบุรุษรูปงามคนหนึ่ง ลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะ “เย่โหวคารวะอาจารย์ชุย”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยินดีกับเย่โหวที่ได้เลื่อนขั้นเป็นสุ่ยจวินแห่งทะเลทักษิณ เรียกข้าว่าชุยตงซานก็ได้”
สุ่ยจวินห้าทะเลสาบสามท่านในอดีตซึ่งรวมถึงหลี่เย่โหวด้วยนั้น บนทำเนียบหยกทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของศาลบุ๋น หากว่ากันตามระดับขั้นแล้ว การที่ได้กลายเป็นสุ่ยจวินแห่งสี่มหาสมุทรก็ถือว่าเป็นการรับหน้าที่ใหม่ในตำแหน่งเท่าเดิม แต่ทุกวันนี้ในมือได้กุมอำนาจใหญ่ อาณาเขตการปกครองกว้างขวางมากกว่าในอดีต
ขณะเดียวกันสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบใหญ่สามแห่งซึ่งรวมทะเลสาบเซิ่นเจ๋อก็ได้ถือโอกาสเลื่อนขั้นเป็นสุ่ยจวิน ‘ห้าทะเลสาบ’ ชดเชยตำแหน่งที่ว่างอยู่ ถือเป็นการเลื่อนขั้นอย่างสมชื่อ
หลี่เย่โหวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ในบรรดาบุคคลยิ่งใหญ่ที่ในอดีตเคยป่าวประกาศว่าจะทวงความเป็นธรรมให้กับเจี่ยเซิงแห่งไพศาล ก็มีหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ผู้นี้รวมอยู่ด้วย
ดังนั้นหลังจากที่หลี่เย่โหวรับหน้าที่เป็นสุ่ยจวิน ต่อให้ทะเลสาบเจี่ยวเยว่จะถือว่าอยู่ใกล้ศาลบุ๋นที่สุดในบรรดาห้าทะเลสาบของไพศาล ทว่าหลี่เย่โหวกลับไม่เคยคบค้าสมาคมใกล้ชิดกับศาลบุ๋น มีความสัมพันธ์ห่างเหินกับเหล่าอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูป
แต่เขากับซิ่วหู่ชุยฉานนั้นถือว่าเป็นคนรู้จักเก่ากัน
แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายอายุห่างกัน เนื่องจากหลี่เย่โหวเป็นคนที่อยู่ช่วงยุคเดียวกับป๋ายเหย่ อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเดียวกัน หลี่เย่โหวมาจากตระกูลร่ำรวย อีกทั้งยังเป็นขุนนางสำคัญในราชสำนัก แต่ป๋ายเหย่นั้นกลับถือว่าคนที่เก็บตัวจากโลกภายนอกซึ่ง ‘อยู่ในป่า’ (เปรียบเปรยว่าอยู่นอกวงราชการ) ภายหลังอยู่ในเมืองหลวงก็ปรากฎตัววูบเดียวแต่สร้างความจดจำให้คนได้อย่างลึกล้ำ จากนั้นก็ล่องเรือเดินทางจากไปไกล ดังนั้นคนทั้งสองจึงไม่มีการคบค้าสมาคมอะไรกันมาก่อน
กลับเป็นในอดีตที่ชุยฉานและศิษย์น้องสองคนอย่างจั่วโย่วและจวินเชี่ยนได้เดินทางมาเที่ยวเยือนทะเลสาบเจี่ยวเยว่ด้วยกัน ในเวลาสิบวัน ทั้งสองฝ่ายเคยเล่นหมากล้อมด้วยกันถึงแปดครั้ง ไม่กำหนดเวลา อนุญาตให้อีกฝ่ายได้ใช้เวลาคิดพิจารณานานได้
ผลคือปีนั้นหลี่เย่โหวเกือบจะสูญเสีย ‘คลังตำรา’ และทะเลสาบเจี่ยวเยว่ครึ่งหนึ่งไป เพราะหมากล้อมทั้งหมดแปดตา หลี่เย่โหวชนะหนึ่งแพ้เจ็ด หากยังแพ้อีกครั้ง แม้แต่สถานะสุ่ยจวินทะเลสาบใหญ่ก็คงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว
การที่ใช้คำว่าเกือบก็เพราะอีกฝ่ายยอมสละของเดิมพันที่เดิมทีควรจะได้รับไปหลังจากชนะหมากล้อม
หลังจบเรื่องหลี่เย่โหวได้เรียบเรียงหมากล้อมแปดตานั้นขึ้นเป็น ‘ตำราน้ำสารทฤดู’ (อีกความหมายคือดวงตาที่งดงามของสตรี) ทำการทบทวนกระดานหมากซ้ำไปซ้ำมา ถึงได้ค้นพบความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ ฝีมือการเล่นหมากล้อมของทั้งสองฝ่ายสูงต่ำต่างกัน เมื่อเทียบกับที่ตัวเองจินตนาการไว้ก็ถือว่าต่างกันเยอะมาก เรียกได้ว่าคนละชั้นกันเลย แต่นอกจากกระดานหมากกระดานแรกที่ซิ่วหู่เชิญท่านลงโอ่งแล้ว ที่เหลืออีกเจ็ดกระดานก็ได้แสร้งแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็น แต่กลับสามารถทำให้หลี่เย่โหวไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นึกว่าที่พ่ายแพ้ก็เพราะฝีมืออ่อนด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
ภายหลังรอกระทั่งชุยฉานทรยศออกจากศาลบุ๋นก็ยังเคยมาเยือนจวนวารีทะเลาบเจี่ยวเยว่อย่างลับๆ รอบๆ หนึ่ง
ชุยฉานถามเขาว่ายินดีจะเดินทางไกลไปด้วยกันหรือไม่ ช่วยใต้หล้าแห่งนี้ทำ ‘เรื่องที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรง’ แต่ถูกหลี่เย่โหวปฏิเสธ
ดูเหมือนว่าชุยฉานก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังสักเท่าไร ก่อนจะจากไปเขาเพียงแค่มองตำราหมากล้อมที่วางอยู่บนโต๊ะ ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่าไม่สู้เปลี่ยนชื่อตำราหมากล้อมเล่มนี้เป็นชื่อ ‘ตำราจูงวัว’
หลี่เย่โหวที่มีชาติกำเนิดมาจากนักพรตมีเพียงความเงียบงัน มองส่งซิ่วหู่ออกไปจากพื้นที่ด้วยความเงียบ
ไม่ใช่ว่ากลัวจะยุ่งยาก แล้วก็ไม่ใช่เพราะตัดใจทิ้งสถานะของสุ่ยจวินไม่ลง แต่เป็นเพราะหลังจากที่หลี่เย่โหวได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นิสัยก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเฉยชามากขึ้น ราวกับว่าปณิธานอันห้าวเหิมได้ถูกทิ้งไว้ที่ตัวเองแต่ละคนในอดีตนานแล้ว เคยเป็นเด็กอัจฉริยะที่พรสวรรค์โดดเด่น นักพรตเด็กหนุ่มที่เลื่อมใสการฝึกตนอยู่ในป่าเขาอย่างสันโดษแต่จิตใจกลับมีขุนเขาสายน้ำ ออกจากภูเขามาเป็นขุนนางบุ๋นหนุ่มที่ใช้กำลังของตัวเองกอบกู้แคว้นซึ่งกำลังจะล่มสลาย สืบทอดชะตาแคว้น ซ่อมแซมบูรณะขุนเขาสายน้ำ ช่วยเหลือปวงประชาวัยกลางคนและวัยชราที่ตกอยู่ท่ามกลางน้ำลึกและเปลวเพลิง สุดท้ายถอนตัวออกมากลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำได้สำเร็จ จากนั้นก็ไม่สนใจเรื่องของแคว้นและเรื่องราวในโลกมนุษย์อีก แค่ซื้อหนังสือ สะสมหนังสือ อ่านหนังสือ ซ่อมแซมหนังสือ
ชุยตงซานหันหน้าไปอีกด้าน กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “พี่ซาชิง ทำไมไม่เจอกันแค่ร้อยปี ขอบเขตไม่สูงขึ้น ทว่ากลับตัวสูงขึ้นอีกขั้นได้เล่า? หรือว่าจะมีเวทลับเฉพาะอะไร ไม่สู้ลองสอนข้าดูบ้าง?”
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยหน้าแดงก่ำ เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ไม่มีอะไรแบบนั้นเสียหน่อย อาจารย์ชุยอย่าได้พูดเหลวไหล”
อยู่กับซิ่วหู่ชุยฉานก้มหัวทำตัวขี้ขลาด ไม่ได้น่าอายตรงไหน
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดชุยฉานถึงกลายมาเป็นเด็กหนุ่ม สวรรค์เท่านั้นที่รู้ คนประหลาดทำเรื่องประหลาดก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรอกหรือ?
ก่อนจะมา เจ้าสำนักได้เตือนเขากับหวงเจวี้ยนไว้ก่อนแล้วว่าหากได้เจอกับเด็กหนุ่มชุยตงซานที่เปลี่ยนชื่อแซ่ แค่มองอีกฝ่ายเป็นซิ่วหู่ก็พอ
กระทั่งบัดนี้หวงเจวี้ยนถึงได้สังเกตเห็นว่าดูเหมือนชายฉกรรจ์ข้างกายจะสูงขึ้นชุ่นกว่า ไม่ถูกสิ สูงขึ้นถึงสองชุ่นเต็มๆ เลยทีเดียว!
นางพลันเข้าใจความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ทันที เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ซาชิง สมองเจ้าถูกลาถีบแล้วหรือไร แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังเลียนแบบอาเหลียงได้?!”
ที่แท้ซาชิงก็เอาอย่างเจ้าชาติสุนัขผู้นั้นซ่อนความลี้ลับไว้ในรองเท้า
ก่อนหน้านี้ใครบางคนเคยพาบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งกับผู้เฒ่าชุดเหลืองที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนคนหนึ่งมาเยี่ยมเยือนทะเลสาบเจี่ยวเยว่ด้วยกัน
แล้วตอนที่นั่งอยู่บนขั้นบันได ไอ้หมอนั่นกำลังจะถอดรองเท้าก็รีบสวมกลับไปทันที
บัณฑิตหนุ่มนับว่ายังพูดคุยได้ง่าย ตั้งแต่ต้นจนจบเขาทำตัวมีมารยาทอยู่ในกฎเกณฑ์ เพียงแต่ผู้เฒ่าชุดเหลืองที่อยู่ข้างกายคนหนุ่มกลับผิดไปจากการคาดการณ์ ทำให้หวงเจวี้ยนตกตะลึงอย่างหนัก ตอนนั้นอยู่ในจวนน้ำก็ทำตัวเคารพกฎระเบียบดี คิดไม่ถึงว่าขอบเขตจะสูงมาก และเพียงไม่นานชื่อเสียงก็เลื่องระบือไปทั่วทั้งใต้หล้าที่เกาะยวนยาง บอกว่าตัวเองชื่อนักพรตเนิ่น แค่ลงมือก็สร้างความตกตะลึงให้คนมากมาย เล่นงานจนหนันกวงจ้าวที่เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานเหมือนกันไม่เหลือศักดิ์ศรีหน้าตาใดๆ อีก
หลี่เย่โหวพูดเข้าประเด็น “เชื่อว่าอาจารย์ชุยน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าครั้งนี้เย่โหวมาด้วยธุระอันใด สามารถเปิดราคามาได้เลย”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อุตส่าห์ได้มารำลึกความหลังกันทั้งที ไม่สู้เล่นหมากล้อมไปด้วยพูดคุยเรื่องราคากันไปด้วย?”
หลี่เย่โหวเอ่ย “ขอแค่ไม่มีการเดิมพัน เย่โหวสามารถออกจากใบถงทวีปช้ากว่าเดิมได้เล็กน้อย จะยอมแข็งใจประลองหมากล้อมกับอาจารย์ชุยสักตา”
ชุยตงซานเอ่ยโน้มน้าว “เดิมพันเล็กๆ น้อยๆ ให้พอสนุก หากไม่ทันระวังถูกเย่โหวเล่นจนกลายเป็น ‘สถานการณ์ใต้ดวงจันทร์’ จะไม่ใช่เรื่องเล่าอันงดงามในวงการหมากล้อมหรอกหรือ ข้าสามารถยอมต่อให้เจ้าเดินก่อนได้”
เห็นว่าหลี่เย่โหวไม่สะทกสะท้าน ชุยตงซานใช้มือหนึ่งนวดคลึงปลายคาง อีกมือหนึ่งยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว “หากยอมให้เดินก่อนเม็ดเดียวยังไม่พอ ข้าสามารถยอมให้สองเม็ด เป็นอย่างไร?”
ผลคือสุ่ยจวินใหญ่ท่านนี้ยังแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ชุยตงซานกระทืบเท้า สะบัดชายแขนเสื้อ พูดบ่นว่า “เย่โหว เจ้าดูถูกตัวเองเกินไปแล้วกระมัง หรือว่าอยากจะเป็นคนที่เพิ่งหัดเรียนหมากล้อม บุกด่านเก้าเม็ด?”
สถาบันหมากล้อมล่างภูเขาของราชวงศ์แคว้นทั้งหลายต่างก็มีความเคยชินในการประลองหมากเก้าเม็ด ผู้เล่นคิดจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ได้ลำดับของนักเล่นมาอย่างแท้จริงจะต้องผ่านด่านเก้าเม็ดของฉีไต้จ้าวนักเล่นระดับแคว้นเสียก่อน
ดูเหมือนหลี่เย่โหวจะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เล่นหมากล้อมกับชุยตงซาน เพียงแค่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ชุย พวกเราพูดคุยธุระโดยตรงเลยจะดีกว่า เย่โหวออกมาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อเที่ยวเล่นขุนเขาสายน้ำ ต้องกลับไปคุ้มกันเรือข้ามฟากที่หวนกลับไปยังทะเลทักษิณทันที คิดดูแล้วทุกวันนี้ภูเขาเซียนตูเองก็น่าจะมีกิจธุระรัดตัว ดังนั้นข้าคงไม่ทำให้อาจารย์ชุยสิ้นเปลืองเวลาที่มีค่าแล้ว”
ชุยตงซานเห็นว่าให้ตายอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่หลงกล ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว ปีนั้นคงถูกเจ้าตะพาบเฒ่ารังแกจนกลัวไปแล้วสินะ จะให้ตนกดหัวหลี่เย่โหวให้เล่นหมากล้อมด้วยก็คงไม่ได้ จึงได้แต่พูดเข้าเรื่องอย่างจริงจัง “อาจารย์ของข้าอย่างมากสุดก็ขายโชคชะตาน้ำให้เจ้าได้แค่หนึ่งส่วนเท่านั้น”
หลี่เย่โหวถามทันที “คือหนึ่งส่วนจากชะตาน้ำลำคลองเย่ลั่วที่อาจารย์เฉินได้ครอบครองในเวลานี้ หรือว่าเป็นหนึ่งส่วนของชะตาน้ำภูเขาเย่ลั่วตลอดทั้งสายในอดีต?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “จะเป็นหนึ่งส่วนแบบใดนั้นก็ต้องดูที่ความจริงใจของพี่เย่โหวแล้ว”
หลี่เย่โหวครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่ว่าจะเป็น ‘โชคชะตาน้ำหนึ่งส่วน’ แบบใด ข้าก็จะมอบความจริงใจตามที่ตัวเองคาดการณ์เอาไว้ไปให้”
สถานที่ที่เหวินเซิ่งผสานมรรคาคือขุนเขาสายน้ำที่ปริแตกพังภินท์ของสามทวีปซึ่งรวมทักษินาตยทวีปเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนหลี่เย่โหวที่เป็นสุ่ยจวินใหญ่ผู้ควบคุมกระแสไหลรินของโชคชะตาน้ำในทะเลทักษิณ ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ละเมิดกฎ ไม่ถูกศาลบุ๋นซักไซ้เอาโทษ เรื่องของการจัดการการไหลรินของโชคชะตาน้ำอย่างเหมาะสมก็ไม่ถือว่าเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตน หลี่เย่โหวเดินทางมาครั้งนี้ไม่คิดจะประลองสติปัญญากับซิ่วหู่เลยแม้แต่น้อย ควรจะเป็น ‘ราคา’ เท่าไร เขาก็จะไม่ทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ถ้าได้ก็คือได้ ไม่ได้ข้าก็กลับ
ชุยตงซานเริ่มเต้นผางด่าคน ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดดังพึ่บพั่บ “มารดามันเถอะ หลี่เย่โหวเป็นเพราะเจ้ามั่นใจว่าอาจารย์ของข้าคือวิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่ไม่ถนัดเรื่องการทำการค้าใช่ไหม เจ้าถึงได้ทำตัวระยำเช่นนี้น่ะ?! หา?!”
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนใหญ่จำนวนหนึ่งที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ วันๆ ต้องให้คนคอยช่วยรวบรวมหาความคิดเห็นหลากหลายรูปแบบที่มีต่ออิ่นกวานหนุ่มคนนั้นมา
หลี่เย่โหวอยากจะซื้อโชคชะตาน้ำหนึ่งส่วนของลำคลองเย่ลั่วแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างตลอดทั้งสาย แน่นอนว่าหากเฉินผิงอันยินดีมอบให้หนึ่งส่วนครึ่ง นั่นก็ดีที่สุดแล้ว ยิ่งมากก็ยิ่งมีประโยชน์
หลี่เย่โหวหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “โชคชะตาน้ำลำคลองเย่ลั่วหนึ่งส่วน นี่คือการจัดการอย่างละเอียดภายในอนาคตหนึ่งร้อยปีระหว่างจวนน้ำทะเลทักษิณของข้ากับเผ่าน้ำสามแสนเผ่า ทางฝั่งศาลบุ๋นก็มิอาจหาข้อติใดๆ ได้ ข้าสามารถรับรองได้ว่าภายในร้อยปีทักษินาตยทวีปจะมีฝนตกต้องตามฤดูกาล ดีกว่าในอดีตที่ผ่านๆ มา บนภูเขาล่างภูเขาจะเจอกับทัศนียภาพอันดีงามที่สามพันปีไม่เคยมีปรากฏมาก่อน”
ชุยตงซานยื่นมือไปรับสมุดมา เปิดหน้าแรกแล้วก็กลอกตามองบน ถึงกับโยนสมุดที่สุ่ยจวินท่านหนึ่งเขียนขึ้นมาด้วยตัวเองลงพื้นแล้วกระทืบแรงๆ จากนั้นโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “ไสหัวไปได้แล้ว”
หวงเจวี้ยนเริ่มมีโทสะบ้างแล้ว นางทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด หากไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ได้รับคำเตือนจากนายท่าน ป่านนี้นางคงเปิดปากด่าคนไปนานแล้ว
คนผู้นี้ถึงกับแสดงความไม่เคารพนายท่านถึงเพียงนี้ ต่อให้เจ้าเป็นชุยฉานซิ่วหู่ครึ่งตัวแล้วอย่างไร?!
ผลคือนางถูกซาชิงกระตุกชายแขนเสื้อเบาๆ
ชุยตงซานเหล่ตามองสาวใช้ที่สะพายห่อพิณ เอ่ยเย้ยหยันว่า “ทำไม คิดจะใช้วิธีนายได้รับความอัปยศบ่าวสมควรตายกับข้าหรือ คิดจะข่มขู่ข้าหรือว่าคุกคามข้ากันล่ะ? ข้าคนนี้ขี้ขลาดนัก หากทำให้ข้าตกใจตายไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่ต้องจ่ายเงินนะ เงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น จำนวนมากเทียมฟ้า! ระวังว่าจะเดือดร้อนให้เย่โหวต้องทุบหม้อขายเหล็กมาช่วยเช็ดก้นให้เจ้าล่ะ…”
หวงเจวี้ยนโมโหจนหน้าแดงก่ำ
หลี่เย่โหวสีหน้าเป็นปกติ ยื่นมือหนึ่งออกไปคว้า บังคับสมุดเล่มนั้นกลับมาไว้ในมือ ปัดฝุ่นที่อยู่ด้านบนเบาๆ “หากเป็นแค่ซิ่วหู่ ข้าก็จะหมุนตัวจากไปทันที”
หลี่เย่โหวยื่นมือออกมาอีกครั้ง ส่งสมุดเล่มนั้นให้กับเด็กหนุ่มชุดขาว พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “แต่ว่าคนที่ได้ครอบครองโชคชะตาน้ำลำคลองเย่ลั่วคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่ง คือเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างไว้ที่ใบถงทวีป”
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สีหน้าไร้อารมณ์
ใบหน้าหวงเจวี้ยนเต็มไปด้วยความแค้นเคือง ครั้งนี้ซาชิงต้องเข้ามาบีบแขนของนางเอาไว้แน่น
หลี่เย่โหวกลับไม่มีโทสะแม้แต่น้อย หมุนตัวมองไปยังทัศนียภาพยามค่ำคืนไกลๆ แต่กลับไม่ได้เก็บสมุดไว้ในชายแขนเสื้อ
“ผู้มีความสามารถโดดเด่น ทำอะไรไม่ธรรมดาสามัญ สนใจเพียงสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับผู้คน ผู้ที่รักษากฎระเบียบ ทำอะไรมีขั้นตอน กฎเกณฑ์เข้มงวด รุกถอยอย่างเหมาะสม ล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์”
“เย่โหวชื่นชมฝ่ายแรกจากใจจริง เคารพนับถือฝ่ายหลังอย่างจริงใจ”
“เป็นอย่างที่อาจารย์ชุยพูดจริงๆ ข้ากำลังใช้คำกล่าวที่ว่า ‘สามารถหลอกลวงวิญญูชนด้วยเรื่องที่สมเหตุสมผล’ เพียงแต่ข้าก็มีความลำบากใจของข้า มีหน้าที่ใดก็ทำหน้าที่นั้น ไม่อาจทำเรื่องต่างๆ ไปตามความชอบส่วนตัวได้ หากยังคงเป็นสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ ได้กุมอำนาจของสุ่ยจวินแห่งทะเลทักษิณ ทว่ากลับไม่ทำหน้าที่ที่พึงกระทำ ถ้าอย่างนั้นความหนาของสมุดเล่มนี้อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเพิ่มไปได้อีกเป็นเท่าตัว ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ มอบใจเห็นแก่ตัวที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีให้กับวิถีทางโลก ใจเห็นแก่ตัวมากล้น เอะอะก็จะเปลี่ยนโชคชะตาของพื้นที่หนึ่ง ชักนำภาพบรรยากาศแห่งขุนเขาสายน้ำ ภัยร้ายที่แฝงอยู่มิอาจไม่ใคร่ครวญได้”
ชุยตงซานทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบปลาตากแห้งตัวเล็กของภูเขาลั่วพั่วออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนใส่ปากเบาๆ
เด็กน้อยไม่รู้ความมองท้องฟ้า ยกมือหวังอยากเด็ดดวงดาว ภายหลังฝึกตนกลายเป็นเทพเซียน ถึงได้รู้ว่าที่แท้ฟ้าสูงจนมิอาจเอื้อมถึง
หลี่เย่โหวก็ทรุดตัวลงตามไปด้วย ยื่นส่งสมุดให้เป็นครั้งที่สามของคืนนี้
ชุยตงซานแค่นเสียงในลำคอ “ไม่ต้องมาสนใจข้า ข้ากำลังโมโหอยู่นะ”
หลี่เย่โหวจึงวางสมุดไว้บนแขนของชุยตงซานเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้หล้ามีความยากอยู่สองอย่าง ขึ้นฟ้ากลายเป็นเซียน มีเรื่องขอร้องคนอื่น”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ กินปลาแห้งตัวเล็กหมดแล้วก็สะบัดแขนเบาๆ สมุดดีดเด้งขึ้นมา ใช้มือเดียวคว้ามันเอาไว้แล้วโบกต่างพัด เอ่ยว่า “บนพื้นดินมีความยากลำบากสองอย่าง กล้ำกลืนความขมขื่นเหมือนกินหวงเหลียน ในกระเป๋าฝืดเคืองไม่มีเงิน”