กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 905.1 หนึ่งคนคือครึ่งทวีป
ภูเขาบรรพบุรุษของเสี่ยวหลงชิว สันเขาเส้นสายมังกรเหมือนคทาหรูอี้ชิ้นหนึ่ง
เบื้องใต้ต้นสนโบราณ ซือถูเมิ่งจิงคล้ายจะมั่นใจแล้วว่าเฉินผิงอันจะต้องเดินทางมาที่นี่จึงเริ่มหลับตาทำสมาธิ อดทนรอคอยให้อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นมาเป็นแขกที่เสี่ยวหลงชิว
หวงถิงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยจึงเรียกลิ่งหูเจียวอวี๋ให้มาคุยเล่นเป็นเพื่อนตนอยู่ที่นี่ เพียงแต่ว่ามีบรรพจารย์ลุงไท่เสวียนอย่างหลงหรานเซียนจวินท่านนี้อยู่ด้วย เด็กสาวหรือจะกล้าเอะอะ ไม่ว่าหวงถิงถามอะไรนางก็แค่พยักหน้าหรือไม่ก็ส่ายหน้าเท่านั้น ไม่กล้ารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของบรรพจารย์สำนักเบื้องบนเด็ดขาด
ในฐานะผู้ฝึกตนสำนักเบื้องล่าง สำหรับเรื่องเล่าอัศจรรย์พันลึกมากมายของต้าหลงชิวที่เป็นสำนักเบื้องบนบ้านตน แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินมาจนชิน เข้าใจอย่างกระจ่าง ทั้งยังเอามาพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน
เกี่ยวกับเรื่องราวของหลงหรานเซียนจวินท่านนี้ก็ยิ่งมีเรื่องให้พูดไม่หมดสิ้น เป็นสหายรักกับโจวเสินจือเซียนกระบี่เฒ่าอดีตหนึ่งในสิบคนของแผ่นดินกลาง เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงสุราของภูเขาชิงเสินแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เจ้าบุปผาแห่งชะตาชีวิตท่านหนึ่งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาคือสาวงามคนรู้ใจของเขา ไปเที่ยวเยือนภูเขาห้อยหัวก็เคยมีเรื่องเล่าลืออันดีงามเกี่ยวกับการ ‘ถกมรรคาท่ามกลางราตรีหิมะในศาลาจัวฟ่าง’ กับเกาเจินลัทธิเต๋าที่ถือแส้ปัดฝุ่นหนวดมังกรซึ่งบรรพจารย์ก็คือผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิง เข้าพักที่ตำหนักสุ่ยจิงหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวของภูเขาห้อยหัว เล่าลือกันว่าค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนมกับเทพธิดาอวิ๋นเชียนแห่งสำนักอวี่หลง และยิ่งเป็นสหายรักต่างวัยกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานแห่งธวัลทวีปที่เรียกตัวเองว่า ‘เจ้าของสามสิบเจ็ดยอดเขา’ แรกเริ่มที่ฝึกตน เนื่องจากขอบเขตของทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก จึงถูกเทพเซียนผู้เฒ่าเรียกอย่างสนิทสนมว่า ‘สหายน้อยหลงหราน’ …
กระทั่งซือถูเมิ่งจิงโคจรปราณวิญญาณครบรอบเล็กไปหนึ่งรอบก็ลืมตาขึ้น เป็นฝ่ายเปิดปากพูดกับเด็กสาวด้วยสีหน้าเมตตา “ฝูสู่ เจ้ายินดีติดตามข้าไปยังต้าหลงชิวหรือไม่ ศิษย์น้องเสวียนจงของข้าช่วงนี้คิดอยากจะรับลูกศิษย์พอดี หากว่าเจ้ายินดี ข้าก็สามารถช่วยแนะนำให้ได้”
ฉายาบนภูเขาของผู้ฝึกตนก็เหมือนชื่อเล่น ผู้อาวุโสเรียกเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นการยอมรับและแสดงความสนิทสนมอย่างหนึ่ง
ลิ่งหูเจียวอวี๋รีบลุกขึ้นยืน แน่นอนว่าเด็กสาวไม่ยินดีจะไปอยู่ต้าหลงชิว เพียงแต่นางไม่กล้าพูดความจริงในใจออกไปจึงยิ่งกระวนกระวายมากกว่าเดิม
เซินถูเมิ่งจิงยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “ไม่ต้องตื่นเต้น หากไม่ยินดีจะไปก็ไม่ต้องไป วันหน้าหากอยากไปเที่ยวเล่นที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็สามารถส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังเรือนอวิ๋นซิ่วแห่งต้าหลงชิวก่อนได้”
เรือนอวิ๋นซิ่วก็คือสถานที่ฝึกตนในภูเขาของหลงหรานเซียนจวินท่านนี้
บนร่างของเด็กสาวคนนี้เขาพอจะมองเห็นเงาร่างของใครบางคนได้อย่างเลือนราง คล้ายใช่คล้ายไม่ใช่
ลิ่งหูเจียวอวี๋รีบคารวะขอบคุณทันใด
เซียนเหรินแห่งแผ่นดินกลางท่านนี้พลันลุกขึ้นยืน “ซือถูเมิ่งจิงผู้ฝึกตนแห่งต้าหลงชิวคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
มือดาบชุดเขียวคนหนึ่งพลิ้วกายมาทางหน้าผา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว คารวะหลงหรานเซียนจวิน”
ด้านหลังยังมีผู้ติดตามที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวอีกคนติดตามมา ในมือถือไม้เท้าเดินป่าทิ่มลงพื้นเบาๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นานซือถูเมิ่งจิงเพิ่งจะได้รับรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งจากต้าหลงชิว มาจากมือของสำนักซานไห่
ใบถงทวีปปิดการสื่อสารมากเกินไป ก่อนหน้านี้ก็สายตามองสูงไม่เห็นหัวใคร รู้สึกว่านอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วก็ไม่มีทวีปใหญ่แห่งอื่นอีก ทุกวันนี้กลับต้องคอยจับตามองสถานการณ์ของใต้หล้าอย่างไร้เรี่ยวแรงไร้กะจิตกะใจ
ได้อ่านเนื้อหาในรายงานฉบับนั้นแล้วก็ทำให้เซียนเหรินอย่างเขารู้สึกเหลือเชื่อ ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ลิ่งหูเจียวอวี๋ลุกขึ้นยืนพร้อมกับบรรพจารย์ รู้สึกเลอะเลือนไปเล็กน้อย ภูเขาลั่วพั่ว? เจ้าขุนเขาเฉิน?
ทำไมตนถึงไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อน เกินครึ่งคงเป็นเพราะตนหูตาคับแคบเกินไปกระมัง
โต๊ะหินหนึ่งตัว ม้านั่งสี่ตัว
หลงหรานเซียนจวินที่ถือเป็นเจ้าบ้านชั่วคราว พี่หญิงหวงถิง กับแขกจากภายนอกอีกสองคน
ลิ่งหูเจียวอวี๋จึงเตรียมจะขยับเท้ายกที่นั่งให้ผู้ติดตามของเจ้าขุนเขาเฉิน
เพียงแต่ว่าบุรุษหนุ่มที่ถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมือดาบสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้ากลับหันมายิ้มน้อยๆ เอ่ยกับนาง “แม่นางลิ่งหูนั่งเถิด”
ซือถูเมิ่งจิงผายมือไปทางเฉินผิงอัน อีกมือหนึ่งจับประคองชายแขนเสื้อ “เชิญนั่ง”
เฉินผิงอันนั่งลงแล้วยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าหลงหรานเซียนจวินเรียกหาข้า มีอะไรจะสั่งการหรือ?”
ซือถูเมิ่งจิงกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิตที่ผู้คนกล่าวขานกันว่านิสัยคล้ายคลึงกับซิ่วไฉเฒ่ามากที่สุด หน้าไม่บางเลยจริงๆ
เซียนเหรินจากแผ่นดินกลางท่านนี้มีใบหน้าผอมเป็นสัน มีเครางาม ราวกับผู้ที่เก็บตัวสันโดษอยู่ในป่าเขา
ต้าหลงชิวอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ต่อให้มีเซียนเหรินสองคนนั่งบัญชาการณ์ภูเขา ทุกวันมีเงินทองไหลมาเทมา รากฐานกำลังทรัพย์หนาแน่น แต่กลับยังถือได้แค่ว่าเป็นสำนักลำดับสอง นี่เป็นเพราะอาณาเขตของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกว้างขวางอย่างมาก เกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ถึง อีกแปดทวีปที่เหลือ สำนักแห่งหนึ่งมีเซียนเหรินคนเดียวก็ถือเป็นจวนเซียนเป็นสำนัก ‘ชั้นสูงสุด’ อย่างสมชื่อได้แล้ว แต่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สำนักระดับสองจะเลื่อนไปอยู่เส้นแนวหน้าได้หรือไม่ กลับมีปราการใหญ่เทียมฟ้าที่ยากจะข้ามผ่านได้กางกั้น นั่นคือบนภูเขามีขอบเขตบินทะยานหรือไม่!
ซือถูเมิ่งจิงไม่อยากจะเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับอีกฝ่าย จึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เชื่อว่าเจ้าขุนเขาเฉินก็น่าจะคุ้นเคยกับเสี่ยวหลงชิวของพวกเราเป็นอย่างดีแล้ว ก่อนหน้านี้เรื่องที่ข้าคุยกับหวงถิงก็น่าจะยิ่งได้ยินชัดเจน ขอถามเจ้าขุนเขาเฉิน มีอะไรจะชี้แนะข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันกลับตอบไม่ตรงคำถาม “หากจำไม่ผิด ต้าหลงชิวที่แผ่นดินกลางของพวกท่าน บวกกับภูเขาเบื้องล่างแห่งนี้ไม่เคยมีหยกดิบคนใหม่มานานสองร้อยกว่าปีแล้ว”
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของต้าหลงชิวในทุกวันนี้มีแค่คนเดียว ก็คือผู้คุมกฎของต้าหลงชิวที่มีฉายาว่า ‘เสวียนจง’ ผู้นั้น คือศิษย์น้องของเจ้าสำนักและของซือถูเมิ่งจิง
นอกจากนี้ก็มีแต่ ‘ก่อกำเนิดผู้เฒ่า’ จำนวนหนึ่งที่อายุมากแล้ว ยกตัวอย่างเช่นหลินฮุ่ยจื่อของสำนักเบื้องล่าง
เฉวียนชิงชิวนับว่าดีหน่อย เพราะคุณสมบัติไม่ธรรมดา มีหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน เชื่อว่านี่ก็คือจุดที่ทำให้สำนักอย่างต้าหลงชิวและศาลบรรพจารย์รู้สึกลำบากใจ
ด้วยนิสัยใจคอของซือถูเมิ่งจิงต้องไม่มีทางรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักแน่นอน ผู้คุมกฎเสวียนจงที่มีนิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ก็ยิ่งไม่ยินดีจะรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก
ดังนั้นหากเจ้าสำนักตายไป วันใดต้องสละร่างไปจากโลกนี้ ควันธูปที่สืบทอดต่อเนื่องมานานสามพันปีของต้าหลงชิวจะทำอย่างไร? ผู้ฝึกตนของสำนักหนึ่งจะไปอยู่ที่ไหนกัน? จะหยัดยืนในแผ่นดินกลางอย่างไร?
จะให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นเจ้าสำนักก็คงไม่ได้กระมัง จะไม่กลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งใต้หล้าเลยหรือ?
ซือถูเมิ่งจิงพยักหน้า “คนเราต่อให้ไร้ความกังวลห่างไกลก็ยังต้องมีความทุกข์ใจใกล้เคียง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “โชคดีที่ต่อให้จะชักหน้าไม่ถึงหลังแค่ไหน แต่ขอแค่มีหลงหรานเซียนจวินอยู่ก็ยังดีกว่าจวนเซียนทั้งหลายที่ถูกตัดอักษรจงออกไป อย่างมากสุดก็แค่เสียหน้า ถูกโลกภายนอกหัวเราะเยาะไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
เดือนปีแห่งการสืบทอดของสำนัก มีการแบ่งออกเป็นอายุจริงกับอายุลวง ซึ่งก็ต้องดูว่ามีขอบเขตหยกดิบหรือไม่
ทางฝั่งของศาลบุ๋นได้ให้กำหนดระยะเวลาไว้ที่สามร้อยปี หากสำนักแห่งหนึ่งไม่มีหยกดิบภายในสามร้อยปีก็ต้องถูกตัดอักษรจงออกตามกฎ
เพียงแต่ว่าต่อให้เจ้าสำนักผู้เฒ่าของต้าหลงชิวสละร่างไปจากโลกนี้ มีเซียนเหรินอายุน้อยอย่างซือถูเมิ่งจิงกับศิษย์น้องอย่างเสวียนจงอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำจนต้องไปคำนวณ ‘อายุลวง’
อันที่จริงลิ่งหูเจียวอวี๋เงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา มองดูเหมือนนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ดวงตามองตรงไปข้างหน้า แต่แท้จริงแล้วกลับปลุกความกล้าใช้หางตาแอบมองประเมินคนชุดเขียวที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง
เจ้าขุนเขาหนุ่มท่านนี้พูดจายิ้มแย้ม พอเพิ่มประโยคท้ายที่บอกว่า ‘ถูกโลกภายนอกหัวเราะเยาะไม่กี่ประโยคเท่านั้น’ เข้าไปก็ช่าง…น่าเตะจริงๆ
หวงถิงมองเจ้าคนที่นั่งไขว่ห้างท่วงท่าผ่อนคลาย พูดคุยยิ้มแย้มอย่างสบายอารมณ์ผู้นี้
นางได้แต่ทอดถอนใจ หากบอกว่าตนเป็นคนดวงดี เจ้าหมอนี่ก็ต้องบอกว่าเป็นคนดวงแข็ง
ปีนั้นอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว อันที่จริงเฉินผิงอันมีขอบเขตน้อยนิดแค่นั้น แต่กลับสามารถอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวบุกฝ่าวงล้อมสังหารหนาหนักออกมาได้
ไม่พูดถึงติงอิงที่ ‘ใต้หล้าไร้ศัตรูเทียมทาน’ พูดถึงแค่โจวเฝย ลู่ฝ่าง มีใครบ้างที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
อันที่จริงตอนที่อยู่ใต้หล้าห้าสี หวงถิงเคยไปเยือนนครบินทะยานมารอบหนึ่ง บนโต๊ะเหล้าของที่แห่งนั้น ขอแค่ผู้ฝึกกระบี่พูดถึงอิ่นกวานคนสุดท้ายแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่างก็ต้องมีท่าทีแปลกใหม่ให้เห็นกันอยู่เสมอ ไม่มีทางอยู่ตรงกลางดั่งคำว่า ‘อย่างไรก็ได้’ แน่นอน
เฉินผิงอันมองกระดานหมากบนโต๊ะแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ดังนั้นหากหลงหรานเซียนจวินคิดจะตัดสินใจเด็ดขาดเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านตัวเอง จัดการก่อกำเนิดของเสี่ยวหลงชิวไปพร้อมกันทีเดียวสองคนจริงๆ ก็จะทำให้สูญเสียพลังต้นกำเนิดอย่างมาก คนใกล้ชิดเจ็บปวดศัตรูสะใจ หากไม่ทันระวังก็อาจถึงขั้นเดือดนร้อนให้สำนักสูญเสียแดนบินในทวีปอื่นแห่งนี้ไป เชื่อว่านี่ก็คงเป็นเหตุผลที่หลงหรานเซียนจวินไม่ยอมลงมือเสีย ไม่เป็นเจ้าขุนเขาของต้าหลงชิวก็รู้สึกละอายใจต่อบรรพจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยมากพอแล้ว หากยังต้องทำลายรากฐานของสำนักเบื้องล่างกับมือตัวเองอีก ไม่ว่าเปลี่ยนมาเป็นใครก็ต้องกลุ้มใจกันทั้งนั้น”
ซือถูเมิ่งจิงเงียบงันไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้น ยื่นมือออกมา สองนิ้วทำท่าคีบเม็ดหมาก ปลายนิ้วก็มีเม็ดหมากสีดำสนิทเม็ดหนึ่งโผล่ขึ้นมา วางลงบนกระดานหมากเบาๆ พริบตานั้นบนกระดานหมากก็มีลางเกิดสายลมพัดหอบก้อนเมฆ ภาพบรรยากาศถดถอย ชักนำให้เม็ดหมากทั้งหมดก่อนหน้านี้ถูกกระเทือนสั่นไหวไปพร้อมกัน ราวกับว่าในฟ้าดินถ้ำสวรรค์ขนาดไม่ใหญ่แห่งหนึ่งมีเจียวหลงเดินลงน้ำ พลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร
จากนั้นเปลี่ยนมืออีกข้าง ใช้สองนิ้วคีบเม็ดหมากสีขาวหิมะเม็ดหนึ่ง วางลงบนกระดานหมากอีกครั้ง พริบตานั้นก็สลายภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายก่อนหน้านี้ทิ้งไป หมากทุกเม็ดเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งราวกับว่าฟ้าดินกลับคืนมาสว่างไสวอีกครั้ง เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเองว่า “คำพูดดีๆ มักทำให้คนรู้สึกแย่เสมอ ได้ฟังหลักการเหตุผลที่ทำให้คนสบายใจได้เป็นทบทวี ส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่เหตุผลที่ดี”
อยู่ที่สวนกงเต๋อ เฉินผิงอันเปิดอ่านตำราไปไม่น้อย นอกจากนี้เขายังมีอาจารย์จิงเซิงซีผิงที่มีความรู้กว้างขวางหลากหลายมากที่สุดให้คอยถามคำถามได้อยู่ตลอด
ดังนั้นเขาจึงรู้จักสำนักกุยหยก สำนักใบถง สำนักว่านเหยาของพื้นที่มงคลสามภูเขา ต้าหลงชิวที่เป็นภูเขาเบื้องบนของเสี่ยวหลงชิวได้อย่างกระจ่างราวกับลายมือตัวเอง เข้าใจราวกับมันคือสมบัติในบ้านตัวเอง
ผู้ถวายงานหลายคนที่อายุค่อนข้างน้อยในศาลบรรพจารย์ของต้าหลงชิว ความลับของสำนักที่พวกเขาต่างไม่เคยรับรู้ ความผิดความชอบมากมายของพวกบรรพจารย์ในแต่ละยุคแต่ละสมัย เฉินผิงอันล้วนรู้อย่างแจ่มแจ้ง
ซือถูเมิ่งจิงก้มหน้าหรี่ตาจ้องมองกระดานหมากบนโต๊ะ เอ่ยเนิบช้าว่า “ช่างเป็นหมากดีที่สูงส่งยิ่งนัก ต่อให้อาจารย์และหันเจี้ยงซู่มาอยู่ที่นี่ เล่นหมากกระดานนี้ต่อไป พวกเขาก็คงไม่อาจคลี่คลายได้”
เซินถูเมิ่งจิงเงยหน้าขึ้น ยิ้มเอ่ย “เจ้าขุนเขาเฉินไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องเล็กของราชครูชุย เชี่ยวชาญศาสตร์หมากล้อมเช่นเดียวกัน”
ชีวิตคนกลุ่มดวงดาว ต่างก็มีความหมายของตัวเอง ฟ้าให้กำเนิดข้า เมื่อไหร่โชคจะเข้าข้างข้า?
ดวงดาวและแสงจันทร์ของคืนนี้ริบหรี่ หลังจากที่เซียนกระหนุ่มผู้นี้วางเม็ดหมากลง ซือถูเมิ่งจิ่งที่เป็นเซียนเหริน เมื่อครู่เพ่งสุดการมองเห็นแล้วก็ยังได้เพียงเห็น ‘แสงดาว’ สองเส้นที่เล็กบางอย่างเลือนรางเท่านั้น พวกมันประหนึ่งได้รับคำสั่ง ถูกชักนำให้หล่นจากฟ้ามายังโลกมนุษย์ สุดท้ายหล่นอยู่บนกระดานหมาก
นี่หมายความว่าการวางเม็ดหมากอย่างยอดเยี่ยมของเฉินผิงอันสองครั้งนี้ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับ ‘บัญชาสวรรค์’ ที่ตรงกันกับมหามรรคา ยังสามารถสยบกำราบเศษซากกระดานหมากทั้งหมดก่อนหน้านี้เอาไว้ได้ เสี่ยวโม่ยืนอยู่ด้านหลังคุณชายของตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อันที่จริงก็คือมีวันหนึ่งบนยอดเขามี่เซวี่ย เจ้าสำนักชุยรู้ว่ามีกระดานหมากเช่นนี้อยู่จึงหยิบเม็ดหมากออกมาสองโถ ให้อาจารย์ช่วยจัดวางสถานการณ์หมากให้ ผลคือเจ้าสำนักชุยกวาดตามองซากกระดานที่เหลืออยู่ไม่กี่ทีก็เก็บเม็ดหมากขาวดำทั้งหมดบนโต๊ะมา วางเม็ดหมากลงไปอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็หยิบเม็ดหมากขาวดำออกไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับได้เห็นการประลองใต้ต้นสนของเซียนสองคนในปีนั้นกับตาของตัวเอง เจ้าสำนักชุยวางเม็ดหมากหยิบเม็ดหมากพลางด่าเจ้าคนปัญญาอ่อนสองคนไปด้วย คนฝีมือห่วยสองคนมาแข่งกันว่าใครเล่นได้ทุเรศกว่ากัน ขายหน้ายิ่งนัก เป็นที่ขบขันของผู้คน…สุดท้ายก็ช่วยให้เฉินผิงอันวางเม็ดหมากสองเม็ดอย่างในวันนี้ได้
ซือถูเมิ่งจิงถามอย่างสงสัย “เจ้าขุนเขาเฉินยังเป็นนักมองลมปราณคนหนึ่งด้วยหรือ?”
ผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ผู้ฝึกตนสายยันต์
เฉินผิงอันยิ้มย้อนถาม “เป็นไปได้หรือ?”
ซือถูเมิ่งจิงถอนหายใจ ถามเข้าประเด็นทันที “ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหลินฮุ่ยจื่อและเฉวียนชิงชิวทรยศไพศาล?”
ลิ่งหูเจียวอวี๋หน้าซีดขาวในบัดดล
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ข้าได้เล่าให้ฟังก่อน?”
ซือถูมิ่งจิงยิ้มตอบ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองฟังก่อน”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองสวนป่าที่ห่างไปไกลซึ่งเฉวียนชิงชิวตั้งใจสร้างขึ้นมา เอ่ยเสียงเบาว่า “อีกไม่นานหลงหรานเซียนจวินก็ได้จะรู้คำตอบแล้ว”
ซือถูเมิ่งจิงพลันเอ่ยว่า “ขอเตือนเจ้าขุนเขาเฉินก่อนสักคำ สุดท้ายแล้วจะจัดการคนทรยศอย่างไร จะฆ่าหรือจับขัง ต้าหลงชิวไม่ต้องการให้คนนอกยื่นมือเข้าแทรก”
ครั้งก่อนที่เฉินผิงอันมาเยือนยอดเขาซินอี้ ได้กลับมาเจอกับหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่นี่อีกครั้ง เขาเข้าไปในกระท่อมแห่งนั้นครู่หนึ่ง ซือถูเมิ่งจิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารขุมหนึ่ง
ราวกับว่ามีเส้นตรงเส้นหนึ่ง แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งผ่านกลางอากาศของเสี่ยวหลงชิวไป ถึงกับสามารถทำให้จิตแห่งมรรคาของซือถูเมิ่งจิงเยือกเย็นในชั่วพริบตา
เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มมองซือถูเมิ่งจิง ไม่ได้เอ่ยอะไร
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อต้าหลงชิวของพวกเจ้าไม่รู้ว่าควรจะจัดการให้ดีอย่างไร ก็ไม่ต้องมาสอนคุณชายของข้าว่าควรทำอย่างไร”
เฉินผิงอันกล่าว “จะพูดแบบนี้ไม่ได้ เดิมทีก็เป็นกิจธุระในบ้านของต้าหลงชิว พวกเราที่เป็นคนนอกสามารถช่วยเหลืออะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “คุณชายพูดได้ถูกต้อง”
ซือถูเมิ่งจิงกลับไม่รู้สึกตลกเลยแม้แต่น้อย อารมณ์ของเขาหนักอึ้ง ลุกขึ้นยืนช้าๆ เอ่ยว่า “หากสามารถช่วยพวกเราคลี่คลายภัยแฝงใหญ่เทียมฟ้านี้ได้จริง ต้าหลงชิวย่อมต้องตอบแทนให้อย่างหนัก”
เฉินผิงอันขยับเท้าไปที่หน้าผา ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป ฝ่ามือค้ำยันไว้ตรงพิฆาตหนึ่งในดาบแคบสองเล่มที่วางทับซ้อนกัน หันหน้าเข้าหาสวนป่าที่อยู่ห่างไปไกลแต่ก็ไม่ถือว่าไกลมากนัก
ลมภูเขาพัดให้เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสวเบาๆ เฉินผิงอันยิ้มบางเอ่ยว่า “ล้วนพูดคุยกันได้ ล้วนพูดคุยกันได้”
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้นอกจากคนไม่กี่คนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว คนที่เหลืออาจจะไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลข้อหนึ่ง
เฉินผิงอันเจ้าขุนเขาแห่งภูเขาลั่วพั่ว
เสี่ยวโม่ ผู้ถวายงานบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด
เจียงซ่างเจินผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง เซียนเหริน
ชุยตงซานเจ้าสำนักเบื้องล่าง เซียนเหริน
ฉางมิ่งผู้คุมกฎแห่งภูเขาลั่วพั่ว สามารถมองเป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง
ลูกศิษย์นักการบางคนที่อยู่ในร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง เทวบุตรมารนอกโลก ขอบเขตบินทะยาน
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งสำนักเบื้องล่าง หมี่อวี้ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ
จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่แห่งภูเขาลั่วพั่ว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาขั้นสมบูรณ์แบบ
เผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง
ผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าขอบเขตหยกดิบลงไป ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตยอดเขาลงไป รวมไปถึงเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของสองสำนักเบื้องล่างและเบื้องบน ดูเหมือนว่าไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว
นอกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว แสงกระบี่ร่วมกับพายุหมัดก็มากพอจะกวาดพัดไปครึ่งทวีปได้แล้ว
ก็เหมือนกับที่
ราชวงศ์ต้าหลีในอดีต หนึ่งแคว้นคือหนึ่งทวีป
เฉินผิงอันในทุกวันนี้กลับเหมือนหนึ่งคนก็คือครึ่งทวีป
เฉินผิงอันกล่าว “รบกวนหลงหรานเซียนจวินช่วยเรียกเฉวียนชิงชิวและจางอันดับหนึ่งมาที”
เฉวียนชิงชิวกับจางหลิวจู้ต่างก็รีบร้อนทะยานลมกันมาอย่างรวดเร็ว
เฉวียนชิงชิวไม่รู้จักมือดาบชุดเขียวที่มองดูแล้ววางมาดไม่เบาคนนั้น
แต่จางอันดับหนึ่งแค่มองเห็นแผ่นหลังชุดเขียวก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ จิตแห่งมรรคาเหมือนถังน้ำใบหนึ่งที่แกว่งกระฉอกไปมา
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มเอ่ย “จางอันดับหนึ่ง ไม่เจอกันนานเลยนะ”
จางหลิวจู้สีหน้าเกร็งแข็ง กลืนน้ำลายอย่างอดไม่อยู่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร
อันที่จริงไม่ได้ ‘นาน’ สักเท่าไร จากลากันที่ซากปรักภูเขาไท่ผิง นี่เพิ่งจะผ่านมากี่วันเอง
ก่อนหน้านี้ก่อกำเนิดเฒ่ากับผู้ถวายงานฝ่ายในของราชวงศ์สกุลอวี๋อย่างไต้หยวนผู้ฝึกตนโอสถทอง เรียกได้ว่ามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านจริงๆ พวกเขาดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วยกัน ดื่มสุรารสเลิศด้วยกัน ไต้หยวนผู้นั้นขอบเขตไม่สูง แต่รู้จักวางตัวเข้าสังคม ถึงกับสามารถเรียกหาเทพธิดาที่เรือนกายสะโอดสะอง รูปโฉมงดงามโดดเด่นกลุ่มหนึ่งมาได้ มีทั้งของบ้านตัวเอง แล้วก็มีทั้งของภูเขาบ้านคนอื่น พวกนางพากันเรียกพี่ใหญ่จาง จางซ่างเซียน เรียกจนกระดูกก่อกำเนิดเฒ่าอ่อนยวบไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอสาวงามกลุ่มใหญ่เช่นนี้มาก่อน ทว่ากลุ่มสาวงามที่เป็นผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบทุกคนเช่นนี้ กลับไม่เคยพานพบ!