กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 905.2 หนึ่งคนคือครึ่งทวีป
เพียงแต่ว่าสุดท้ายกลายมาเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก ต่างก็ถูกเซียนกระบี่ชุดเขียวที่จิตใจอำมหิตตรงหน้าผู้นี้ใช้วิชาลับชั่วร้ายดึงวิญญาณของพวกเขาออกมาแล้วกักขังเอาไว้ สุดท้ายจางหลิวจู้กับไต้หยวนจึงคล้ายกลายมาเป็นเทพทวารบาลสองตนที่อยู่ตรงตีนเขาซากปรักของภูเขาไท่ผิง รสชาติที่ต้องเจอระหว่างนั้นเป็นเช่นไร เรียกได้ว่าเจ็บปวดจนมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้จริงๆ ไม่ยินดีแม้แต่จะไปคิดถึงด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้ภายหลังจางหลิวจู้มีชีวิตรอดกลับไปยังเสี่ยวหลงชิว แล้วได้ไปเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่ง เวลาพบเจอใครก็ล้วนมีรอยยิ้ม เพราะก่อกำเนิดเฒ่าได้เตือนตัวเองทุกวันว่าจะต้องทะนุถนอมเห็นค่าวันเวลาของเทพเซียนที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดี
ตอนนั้นที่หน้าประตูจางหลิวจู้ถูกเจียงซ่างเจินฉวยเอาก้อนหินสีดำที่ไม่ทราบว่าวัสดุคืออะไรก้อนนั้นไป ถึงได้ถือว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ ส่งเทพโรคระบาดทั้งสององค์นั้นกลับไปได้ในที่สุด
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ก่อกำเนิดเฒ่าที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระก็ยังไม่รู้ว่าก้อนหินไม่สะดุดตาที่ได้มาบังเอิญในปีนั้น อันที่จริงคือหนึ่งใน ‘เนินเลี่ยนเยี่ยน’ แห่งยุคบรรพกาล
หากรู้ประวัติความเป็นมาของของชิ้นนี้ เจอคนที่มองของออก เอาไปขายในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างน้อยที่สุดก็ต้องได้สามร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช! น่าเสียดายที่หลายปีที่ผ่านมาแค่ถูกจางหลิวจู้เอามาใช้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำทั่วทวีปเท่านั้น ช่างย่ำยีสมบัติสวรรค์โดยแท้
เฉินผิงอันขยับเส้นสายตามองไปยังก่อกำเนิด ‘หนุ่ม’ ที่ตรงเอวพกคันเบ็ดตกปลา ยิ้มถามว่า “เจ้าชื่อเฉวียนชิงชิวหรือ? แซ่ดี ชื่อกลับดียิ่งกว่า”
เฉวียนชิงชิวมองบรรพจารย์ลุงก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะแนะนำให้รู้จัก จึงได้แต่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ข้าก็คือเฉวียนชิงชิว ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสคือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนต่างถิ่น พูดไปแล้วเจ้าก็ไม่รู้จัก ข้าเคยเจอกับผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่แซ่เดียวกับเจ้า มีตะแกรงหนึ่งกั้นขวาง แค่พบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน พูดคุยกันอย่างถูกคอ สหาย ‘ชิงชิว’ ผู้นั้นกับเจ้าถือว่าตะเกียบดื่มน้ำแกงไม่ได้ ช้อนกินบะหมี่ไม่ได้ ต่างคนต่างมีข้อดี ต่างคนต่างมีข้อเสีย”
ในคุกของเฒ่าหูหนวกเคยกักขังปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินเอาไว้ตนหนึ่ง ชื่อว่าชิงชิว ร่างจริงคือปลาไหลดำ หนึ่งในสี่พิฆาตของลำคลองเย่ลั่ว
เฉวียนชิงชิวฟังด้วยความมึนงงสงสัย คนต่างถิ่นคนหนึ่งถึงกับกล้าพูดจาแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนต่อหน้าบรรพจารย์ลุงของตนเช่นนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่?
เฉินผิงอันถาม “สวนป่าแห่งนั้น ไม่พูดถึงพวกที่ยังหลอมเรือนกายไม่สำเร็จ รากฐานและสถานะของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเจ็ดสิบหกตน เจ้ารู้ชัดเจนทั้งหมดหรือ?”
สวนป่าแห่งหนึ่งกินอาณาบริเวณกว้างขวางหลายสิบลี้ เผ่าปีศาจพวกนั้นที่ถูกล้อมกักเอาไว้ แทบไม่มีผู้ฝึกตนที่เป็นห้าขอบเขตล่าง
เค่อชิงอันดับหนึ่งอย่างจางหลิวจู้แค่รับผิดชอบดูแลภาพรวม แต่คนที่รับผิดชอบกิจการงานที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริงกลับเป็นโอสถทองเฒ่าของเสี่ยวหลงชิวคนหนึ่ง และยังมีเค่อชิงที่เมื่อหลายปีก่อนสมัครรับตัวมา คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง มีชาติกำเนิดจากแม่ทัพบู๊ที่แคว้นล่มสลาย ขอบเขตร่างทอง บ้านเมืองพังภินท์ ไร้ความหวังที่จะได้กอบกู้แคว้น เผชิญหน้ากับพวกกากเดนของเผ่าปีศาจเหล่านี้จึงมีจิตสังหารเข้มข้นมากเป็นพิเศษ
ผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิวได้สร้างค่ายกลยันต์แห่งหนึ่งขึ้นมาอย่างตั้งใจ จัดวางสิ่งกีดขวางแห่งขุนเขาสายน้ำป้องกันไม่ให้พวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจหนีออกไปได้ บนเส้นเขตแดนของค่ายกลยันต์ยังห้อยกระจกส่องมารหลายสิบบานที่ช่างทำกระจกของเสี่ยวหลงชิวเป็นผู้หลอมขึ้น ในพื้นที่ใจกลางของสวนป่ามีภูเขาเล็กลูกหนึ่งที่การมองเห็นเปิดกว้าง จวนแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาบนยอดเขาชั่วคราว ผู้ฝึกยุทธที่ชื่อเฉิงมี่คนนั้นอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดเวลา เฉวียนชิงชิวกับจางหลิวจู้จะเข้าไปพักอาศัยอยู่บ้างเป็นบางครั้ง นักท่องเที่ยวต่างถิ่นสามารถโดยสารเรือยันต์เข้ามาเที่ยวในสวนป่าได้
เฉวียนชิงชิวอดไม่ไหวหันไปมองบรรพจารย์ลุง น่าเสียดายที่ซือถูเมิ่งจิงกลับยังไม่มีการบอกเตือนใดๆ แก่เขา เฉวียนชิงชิวจึงรู้สึกมีโทสะในใจอยู่บ้าง น้ำเสียงของไอ้บ้านี่คือคิดว่าตัวเองจะเป็นนกพิราบเข้ามายึดรังนกกางเขน เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้านได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
แต่เฉวียนชิงชิวก็ยังพยายามทำน้ำเสียงให้ราบเรียบอย่างสุดความสามารถ “ล้วนผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว อยู่ในสังกัดของกระโจมทัพเปลี่ยวร้างแห่งใด ล้วนรู้ชัดเจนดี มีบันทึกอยู่ในเอกสารอย่างละเอียด ไม่มีทางเกิดช่องโหว่ใดๆ ได้ อาศัยโอกาสนี้ยังช่วยสำนักศึกษาหาข่าวที่ลึกลับอำพรางออกมาได้อีกไม่น้อย”
มีแค่สัตว์เดรัจฉานขอบเขตประตูมังกรหนึ่งตัวกับขอบเขตถ้ำสถิตอีกสี่ห้าตัว จะมีช่องโหว่อะไรได้? ขอแค่เขาเฉวียนชิงชิวยินดี มือเดียวก็สามารถสังหารเผ่าปีศาจทั้งหมดในสวนป่าได้อย่างสะอาดเอี่ยมแล้ว
เฉินผิงอันเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว หดย่อพื้นที่ตรงมายังกลางอากาศเหนือสวนป่า
ท่ามกลางราตรีแสงจันทร์ คนชุดเขียวทะยานลมลอยตัว ฝ่ามือเคาะด้ามดาบของดาบแคบพิฆาตเบาๆ หลุบสายตาลงต่ำ ก้มมองไปยังพื้นดิน
เสี่ยวโม่ไม่ได้ไปที่สวนป่ากับเฉินผิงอัน เพราะเขาได้รับเสียงในใจกำชับให้ยืนอยู่ตรงหน้าผา มองมาดเทพเซียนอันสง่างามของคุณชายบ้านตน เสี่ยวโม่รอคอยอย่างยิ่งที่จะได้จับมือกับคุณชายเดินทางไกลไปยังดวงจันทร์ของใต้หล้าไพศาลด้วยกันในอนาคต
ในยุคบรรพกาลที่ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ เคยมีทัศนียภาพแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างเช่นปราสาททองหอเรือนสีชาดตำหนักดวงตะวัน จักรพรรดิทะยานลมงดงามดุจภาพวาด
ล้วนเป็นทัศนียภาพที่เสี่ยวโม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน
ถึงขั้นที่ว่าการช่วงชิงแห่งน้ำและไฟที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่คราวนั้นเขาก็เคยได้เห็น
ดวงจันทราถูกหลอมละลาย ขุนเขาปริแตกพังทลาย ลำน้ำใหญ่แห้งขอด มหาสมุทรเริ่มเดือดพล่าน ดวงตะวันร้อนแรงเริ่มจับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง
ไม่จำเป็นต้องถือครองของแทนตัวเอกสารผ่านด่านค่ายกลยันต์ คนชุดเขียวพุ่งลงไปเป็นเส้นตรงก็สามารถแหวกฝ่าตราผนึกค่ายกลได้ง่ายๆ ประหนึ่งเข้าไปในดินแดนไร้คน พลิ้วกายลงไปบนลานกว้างนอกจวนที่ตั้งอยู่บนยอดเขา
จางหลิวจู้ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่หลงหรานเซียนจวิน พอได้รับคำอนุญาตก็รีบทะยานลมมุ่งไปที่จวนของสวนป่าทันที
เรือนกายของบุรุษร่างกำยำที่กำลังเดินนิ่งอยู่บนลานกว้างหยุดชะงัก ถามเสียงทุ้มหนักด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ผู้ที่มาคือใคร บอกชื่อแซ่มา?!”
แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้นเอ่ย “แซ่เฉิน นามผิงอัน มาจากภูเขาเซียนตู คารวะแม่ทัพเฉิง”
ผู้ฝึกยุทธเหลือบตามองดาบที่ทับซ้อนกันอยู่ตรงเอวของอีกฝ่าย หัวคิ้วคลายตัวออกเล็กน้อย ทอดน้ำเสียงให้อ่อนลง ถามว่า “มีของแทนตัวของเสี่ยวหลงชิวหรือไม่?”
จางหลิวจู้มาที่ลานกว้าง ตอบอย่างรีบร้อนว่า “เฉิงมี่ ห้ามไร้มารยาทกับเจ้าขุนเขาเฉิน เจ้าขุนเขาเฉินคือแขกผู้มีเกียรติของเสี่ยวหลงชิวเรา”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทำตามหน้าที่ ตรวจสอบสถานะผู้ที่มาเยือน จะเรียกว่าไร้มารยาทได้อย่างไร? จางอันดับหนึ่ง พวกเราสองคนเป็นสหายก็ส่วนสหาย ข้ายังต้องบอกเจ้าสักคำว่าเป็นคนอย่าได้เข้าข้างคนนอกมากเกินไปนัก”
จางหลิวจู้รีบค้อมเอวพยักหน้ารับทันที “คำสั่งสอนของเจ้าขุนเขาเฉิน ข้าจดจำไว้ขึ้นใจ”
ผู้เฒ่ามีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ จะต้องมาพูดถึงเรื่องหนังหน้าอะไรกับข้า สรุปแล้วเป็นใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย?
เฉิงมี่เคยชินกับภาพแบบนี้เสียแล้ว สำหรับก่อกำเนิดเฒ่าที่มีฉายาว่าสุ่ยเซียนผู้นี้ เขาไม่ชอบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นรังเกียจ ถึงอย่างไรก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในบรรดาคนที่ไม่โดดเด่นแล้ว อยู่ที่เสี่ยวหลงชิวแห่งนี้ยังถือว่าดื่มเหล้าคุยเล่นกันได้สองสามคำ แต่กับเจ้าขุนเขาหลินฮุ่ยจื่อที่สีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งตลอดทั้งปี และยังมีเฉวียนชิงชิวที่ใช้ตาสุนัขมองคนต่ำผู้นั้น เฉิงมี่กลับไม่มีอะไรจะให้พูดคุยด้วยสักเท่าไร คาดว่าอีกฝ่ายก็คงคร้านจะคุยกับตนเหมือนกัน ขอบเขตร่างทองที่เรือนกายเละเทะคนหนึ่ง อยู่บนภูเขามีค่าแค่ไม่กี่เหรียญเงินเทพเซียนหรอก
เฉินผิงอันชักดาบออกจากฝักช้าๆ
ดาบแคบพิฆาตหนึ่งเล่มฉายประกายคมกริบบนโลก ใสเย็นเหมือนน้ำ แสงจันทร์สาดสะท้อนก็โปร่งใสแวววาวอย่างถึงที่สุด
คนชุดเขียวผู้หนึ่ง รอกระทั่งชักดาบออกจากฝักแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะยืดเอวตั้งตรงได้ กลับกันเรือนกายยังงองุ้มลงเล็กน้อย
กลิ่นอายเข้มข้นยิ่งใหญ่ไพศาลผิดปกติขุมหนึ่งพลันแผ่ลามปกคลุมไปทั่วขุนเขาสายน้ำของสวนป่าทั้งแห่ง
ประหนึ่งกฎแห่งสวรรค์ที่หล่นลงบนพื้น
เผ่าปีศาจที่ยังหลอมเรือนกายไม่สำเร็จพวกนั้น ราวกับได้เห็นการดำรงอยู่ของจุดเริ่มต้นแห่งสายเลือดในร่างของตัวเอง ประหนึ่งได้นับบรรพบุรุษกลับคืนสู่วงศ์ตระกูลอีกครั้ง พากันนอนหมอบกราบตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่อยู่ในสวนป่า ต่อให้ไม่รู้จักคนชุดเขียว แต่กลับจดจำดาบแคบที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วกระโจมทัพของเปลี่ยวร้างนานแล้วเล่มนั้นได้
คือเจ้าคนวิปริตแห่ง…กำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น!
โฉมหน้าเรือนกายล้วนพร่าเลือนเห็นไม่ชัด ยืนค้ำยันด้ามดาบอยู่บนหัวกำแพงเมืองอย่างเดียวดาย
เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากชุดคลุมอาคมสีแดงสดมาเป็นชุดสีเขียวก็เท่านั้น
เฉินผิงอันหรี่ตาลงมองไปยังจุดหนึ่ง “หาเจ้าเจอแล้ว”
ซ่อนตัวเก่งจริงๆ เลือกมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ นับว่าหัวสมองดีมาก
ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ยันต์ลมฝนไม่กี่แผ่นของตนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะตามหาเบาะแสเจอจริงๆ
น่าเสียดายที่ข้างกายของตนยังมีเสี่ยวโม่อยู่อีกคน
เรียกนกในกรงเล่มหนึ่งออกมา
เฉินผิงอันเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือหนึ่งกดลงบนศีรษะของ ‘ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตล่าง’ ตนนั้น ดาบแคบปาดผ่านลำคอบั่นหัวอีกฝ่ายออกช้าๆ
ขณะเดียวกันก็ได้กักจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไว้เป็นกลุ่มก้อน กำไว้ในฝ่ามือ โยนไปให้เสี่ยวโม่ที่ยืนอยู่ริมหน้าผาของยอดเขาซินอี้
เสี่ยวโม่เก็บอีกฝ่ายเข้าไปไว้ในกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่ง ครู่หนึ่งต่อมาก็สนทนาในใจกับคุณชายบ้านตน
นอกจากเฉวียนชิงชิวแล้ว ยังมีหลินฮุ่ยจื่ออีกคนจริงๆ ด้วย
ขอบเขตและตบะของเผ่าปีศาจตนนี้ไม่สูง เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิด แต่กลับเป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทค่อนข้างสำคัญในกระโจมทัพของเปลี่ยวร้าง มีการสืบทอดจากอาจารย์ที่ดี
ตอนที่อยู่ในสงครามใหญ่ของนครมังกรเฒ่าจิตแห่งมรรคาของมันเคยได้รับความเสียหาย ร่างจริงพิกลพิการ จึงหวนกลับมารักษาบาดแผลอยู่ใกล้กับเสี่ยวหลงชิว สุดท้ายจึงไม่อาจถอยออกไปจากใบถงทวีปได้ทันกาล
ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจทั้งหลายที่แม้จะถูกกักขังอยู่ที่นี่ก็ยังมีนิสัยป่าเถื่อนยากกำราบ ทว่าคืนนี้กลับไม่มีตนใดกล้าขยับเข้ามาใกล้อิ่นกวานคนสุดท้ายที่เคยใช้ท่าทีของผู้ไร้ศัตรูทัดทานมาเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งผู้นี้
เพราะถึงอย่างไรคนที่คุมเชิงกับอีกฝ่ายในช่วงเวลาตลอดหลายปีนั้นก็มีเพียงหลงจวินเซียนกระบี่ที่เป็นหนึ่งในราชาบัลลังก์เก่าเท่านั้น
เฉินผิงอันเก็บดาบสอดใส่ฝัก ย้อนกลับไปยังลานกว้างนอกจวนบนยอดเขา ยิ้มถามว่า “แม่ทัพเฉิง ยินดีเปลี่ยนสถานที่หรือไม่ ภูเขาบ้านข้าขาดแคลนผู้ฝึกยุทธค่อนข้างมาก ไม่ขาดโอกาสในการประลองฝีมือ เสี่ยวหลงชิวติดค้างน้ำใจข้าหนึ่งครั้ง ย่อมไม่มีทางขัดขวางแน่นอน”
เฉิงมี่ยิ้มกว้าง ส่ายหน้าตอบ “อยู่ที่นี่ก็ดีมากแล้ว ทุกวันได้เห็นเจ้าพวกสัตว์เดรัจฉานกลุ่มนั้นถูกขังอยู่ในกรง ถึงได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันไป”
เหนือศาลบุ๋นมีขุนนางกระดูกเหล็ก พาตัวเข้าสู่สนามรบ ทั้งยังเป็นแม่ทัพผู้เหี้ยมหาญ
ชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนางบรรดาศักดิ์ ทว่ากลับเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุยังน้อย โยนพู่กันมุ่งเข้าสู่สนามรบ ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามานานหลายสิบปี คบค้าสมาคมอยู่แต่กับลมทะเลทรายและกลิ่นขี้ม้า
เมืองหลวงแคว้นมาตุภูมิเคยถูกเซียนซือทั้งทวีปขนานนามว่านครไร้จันทร์
เนื่องจากนับตั้งแต่ที่เปิดแคว้นมาก็ไม่เคยมีการสั่งห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล มักจะมีแสงโคมไฟจุดสว่างไสวราวเวลากลางวันอยู่ตลอด ดวงจันทร์ดวงหนึ่งจึงราวกับว่าเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น
ข้าอยากไปจากที่นี่แต่กลับไปไม่ได้ เดิมแค่อยากมาเยือนที่แห่งนี้แต่กลับต้องอยู่นาน อยากกลับแต่กลับไม่ได้ ต่างบ้านต่างเมืองจึงกลายมาเป็นบ้านเกิด
เพียงแต่ว่านอกจากจะคิดถึงญาติมิตร คิดถึงสหายร่วมรบแล้ว ไม่รู้ว่าเหตุใดทุกวันนี้สิ่งที่ทำให้เฉิงมี่รู้สึกคิดถึงมากที่สุดกลับเป็นร้านฉางอิ๋งของบ้านเกิดที่มักจะไปเยือนบ่อยๆ
บะหมี่คลุกหนึ่งชาม โรยกระเทียมสับลงไป โรยพริกแห้งลงไป เทน้ำมันร้อนๆ จุ๊ๆ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยบอกลา
เฉิงมี่กุมหมัดคารวะหนักๆ สีหน้าเคร่งขรึม
จางหลิวจู้ไม่ได้ติดตามเฉินผิงอันออกไปจากสวนป่าทันที
ขอให้ข้าพักหายใจหายคอ ขอระงับความตกใจเสียหน่อย ถึงจะขยับขาได้
หลังจากพอจะสงบอารมณ์ลงได้เล็กน้อย ก่อกำเนิดผู้เฒ่าก็ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “เฉิงมี่ อยากรู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายคือใคร?”
เฉิงมี่หัวเราะหึหึ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้แล้วเดินนิ่งต่ออีกครั้ง
“ได้พบวิญญูชน แค่นี้ก็พอใจแล้ว”
จางหลิวจู้สะอึกอึ้ง อย่าเห็นว่าเฉิงมี่คือบุรุษหยาบกระด้างร่างสูงใหญ่ อันที่จริงในท้องพอจะมีความรู้มีน้ำหมึกอยู่บ้าง
เฉิงมี่พลันหยุดท่าหมัด ถามว่า “ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าต่างก็เอ่ยคำศัพท์คำหนึ่งซึ่งเป็นภาษานกของเปลี่ยวร้าง หมายความว่าอะไร?”
จางหลิวจู้เอ่ยสัพยอก “สัตว์เดรัจฉานพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ข้าหรือจะฟังเข้าใจ ฟังเข้าใจก็แปลกแล้ว”
เฉินผิงอันหวนกลับมาที่ใต้ต้นสนยอดเขาหรูอี้
ซือถูเมิ่งจิงได้พูดคุยในใจกับผู้ฝึกตนที่เรียกตัวเองว่าเสี่ยวโม่ไปแล้ว เซียนเหรินคนหนึ่งที่จิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งทั้งรู้สึกโล่งอก ทั้งอดมีสีหน้าเศร้าใจอย่างห้ามไม่ได้
ซือถูเมิ่งจิงถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ประสานมือคารวะเฉินผิงอัน “ข้าขอขอบคุณอิ่นกวานแทนต้าหลงชิวด้วย”
ยืดเอวขึ้นตรงแล้ว ซือถูเมิ่งจิงก็ยิ้มเอ่ย “ข้ามีญาติที่ความสัมพันธ์ค่อนข้างห่างไกล หลังหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลก็เคยไปเยือนต้าหลงชิวครั้งหนึ่ง เขาเลื่อมใสอิ่นกวานอย่างมาก หวังว่าวันหน้าเมื่ออิ่นกวานเดินทางผ่านหลิวเสียทวีปจะไปดื่มเหล้ากับเขา”
เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
รู้ว่าซือถูเมิ่งจิงพูดถึงใคร คือผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างซือถูจีอวี้แห่งหลิวเสียทวีป ขอบเขตหยกดิบ
อีกฝ่ายเป็นแขกประจำของร้านเหล้าบ้านตน จึงสนิทสนมคุ้นเคยกันอย่างดี คออ่อน แล้วพฤติกรรมยามดื่มเหล้ายังไม่ค่อยดี พอดื่มเหล้าเมาชอบพูดภาษาคนเมาที่ไร้สาระ ตอนนั่งยองคีบผักดองแกล้มเหล้าอยู่ข้างทาง ชอบกอดคอตนถามว่าจะรับอนุภรรยาหรือไม่ กล้าหรือไม่ ยังบอกด้วยว่าในตระกูลของเขาขึ้นชื่อว่าเป็นรังแห่งสาวงาม…
ไปหลิวเสียทวีป ให้ไปดื่มเหล้ากับเขา? ไม่ฟันเขาซือถูจีอวี้ก็ถือว่าเกรงใจมากแล้ว
เฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่หวนกลับไปยังภูเขาเซียนตูโดยตรง
ก่อนหน้านี้เสี่ยวโม่ได้พาพวกกั่วหรานไปส่งที่อาณาเขตของภูเขาเซียนตูก่อนก็ขอตัวลาทันที กลายร่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป แสงกระบี่พุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที
กั่วหรานเองก็เป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง อีกทั้งยังฝึกตนอยู่ในสำนักใหญ่อย่างภูเขาต้นไม้เหล็ก แม้ว่าจะไม่ชอบออกเดินทางไกล แต่เนื่องจากสาเหตุที่อาจารย์ติดคำสัญญากับผู้อื่น จึงมักจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่คนอื่นๆ ที่เป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนภูเขาต้นไม้เหล็ก กั่วหรานจึงไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านก็ได้เห็นมาดของผู้ฝึกตนบนยอดเขาของทวีปต่างๆ มาจนเคยชิน ก็เหมือนอย่างฮว่อหลงเจินเหรินที่ได้ฉายาว่า ‘เวทอัคคีอันดับหนึ่ง เวทอสนีอันดับสองในใต้หล้า’ ผู้นั้น ก็เคยไปดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบอยู่ที่นั่น แล้วยังร่ายวิชาอภินิหารคาถาน้ำที่หายากให้เขาดู
เนื่องจากกวอโอ่วทิงผู้เป็นอาจารย์พ่ายแพ้ในการถามกระบี่ อีกทั้งยังแพ้ให้กับผู้ฝึกกระบี่แซ่เฉินที่สถานที่ใดมีเจียวหลงก็พิฆาตเจียวหลงที่นั่น ดังนั้นกั่วหรานที่เป็นลูกศิษย์ปิดสำนักจึงเข้าใจผู้ฝึกกระบี่เป็นอย่างดี
เล่าลือกันว่ายุคบรรพกาลห่างไกล แสงกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่สว่างไสวจนสามารถประชันกับแสงตะวันจันทราได้เลยทีเดียว
ถานอิ๋งโจวถาม “อาจารย์ เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?”
กั่วหรานยิ้มเอ่ย “อาจารย์เสี่ยวโม่ท่านนี้ต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่ง”
เจิ้งโย่วเฉียนยิ้มกว้างเอ่ย “ก็อาจารย์อาน้อยอิ่นกวานนี่นะ ข้างกายล้วนมีแต่เซียนกระบี่ ไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย”
ถานอิ๋งโจวยกสองแขนกอดอก หัวเราะร่า “เจ้าเข้าใจอีกแล้วหรือ?”
เจิ้งโย่วเฉียนรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย พออาจารย์อาน้อยของตนจากไป นางก็กลายมาเป็นแบบนี้ทันที
ที่ท่าเรือซึ่งการก่อสร้างกำลังจะเสร็จสิ้น ได้เจอกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่คล้ายจะกำลังตรวจสอบงานคนหนึ่งกับหญิงสาวที่เรือนกายสูงเพรียวคนหนึ่ง
เจิ้งโย่วเฉียนก็ตะโกนเรียก “ศิษย์พี่ชุย ศิษย์พี่เผย”
แม้จะบอกว่าอาจารย์ของตนคือศิษย์พี่ของอาจารย์อาน้อย แต่ตนเข้าสำนักมาช้า เรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่ย่อมไม่ผิดแน่
เขาไม่ได้โง่เสียหน่อย ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เขาเชี่ยวชาญมากเลยล่ะ อักษรสีดำบนกระดาษสีขาวในตำราล้วนเขียนไว้อย่างชัดเจนเลยนะ
เผยเฉียนพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ชื่อดี”
ชุยตงซานหัวเราะร่า “โย่วเฉียนอ่า คราวหน้าเจอพวกเราอีกครั้ง จำไว้ว่าต้องเรียกศิษย์พี่เผยก่อนแล้วค่อยเรียกศิษย์พี่ชุยนะ”
ถึงอย่างไรก็ถูกจดลงบัญชีแล้ว ไม่สู้ให้ตนบอกไปตรงๆ เลยดีว่า
ถานอิ๋งโจวถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าก็คือเจิ้งเฉียน?”
คงเป็นเพราะรู้สึกว่าไม่มีมารยาท แม่นางน้อยจึงรีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “ปรมาจารย์ใหญ่เจิ้ง!”
เผยเฉียนยิ้มกล่าว “เรียกข้าว่าพี่หญิงเผยก็พอแล้ว”
เจิ้งโย่วเฉียนอธิบายให้คนร่วมสำนักอีกสองคนฟัง “ระหว่างที่เดินทางมาเจอกับอาจารย์อาน้อยพอดี อาจารย์อาน้อยบอกว่าเขาจะไปเสี่ยวหลงชิวไปฟัน…ไปถามกระบี่ ข้ารู้สึกว่าอีกเดี๋ยวเขาก็กลับมาแล้ว”
ถานอิ๋งโจวถลึงตาใส่เขา “อิ่นกวานพูดแบบนี้เสียที่ไหน เขาแค่บอกว่าจะไปเยี่ยมเยียนสหายเท่านั้น เจ้าอย่าแต่งเรื่องเอง!”
เจิ้งโย่วเฉียนถอนหายใจ อาจารย์อาน้อยคืออาจารย์อาน้อยของข้า ไม่ใช่ของเจ้าเสียหน่อย…ช่างเถอะๆ ไม่ทะเลาะกับสตรี คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง
แสงกระบี่สองแส้นออกจากอาณาเขตของเสี่ยวหลงชิวเดินทางกลับใต้ภายใต้ม่านราตรี
แสงกระบี่เคียงคู่กับแสงจันทร์ ดวงดาวบนฟ้าลอยอยู่ตรงหน้า เทือกเขานับแสนเขียวขจีอยู่ใต้ฝ่าเท้า