กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 906.4 บ้านเกิดที่ไม่เติบใหญ่
ร้านค้ากิจการซบเซา ช่วงสิ้นปีถึงจะดีขึ้นมาหน่อย เวลาปกติไม่ได้เปิดร้านทุกวัน มีเพียงช่างของเตาเผามังกรที่เป็นชายใจหญิงเท่านั้นที่มักจะมาอุดหนุดเป็นประจำ บางครั้งก็จะมีแม่นางน้อยตัวผอมๆ ดำๆ คนหนึ่งติดสอยห้อยตามอยู่ข้างกายบุรุษที่ชอบจีบนิ้วกรีดกรายผู้นั้นด้วย นางเองก็ไม่ได้พูดอะไร ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวที่หูเฟิงมีต่อนางก็คือดวงตากลมโตมากเป็นพิเศษ ใบหน้าจึงดูเล็กเป็นพิเศษ
บุรุษใจสาวที่เป็นท่านอาของนางชอบเรียกนางว่าแยนจือ อันที่จริงช่างเตาเผาคนนี้ในกระเป๋ามีเงินแค่ไม่กี่แดงเท่านั้น แล้วก็คงมีเพียงท่านปู่ของตนที่ถึงจะไม่รังเกียจที่เขาไม่มีท่าทีของบุรุษ ยินดีพูดคุยกับเขามากหน่อย ต่อให้ชายใจหญิงจะไม่ซื้อของ เขาก็ไม่ไล่คน แม่นางน้อยจะนั่งอยู่ตรงธรณีประตู หากหิวจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงจะเรียกท่านอา จากนั้นก็กลับบ้านไปด้วยกัน
ตอนที่หูเฟิงเป็นเด็กหนุ่ม ท่านปู่ก็จากไป หูเฟิงไม่ได้ขายบ้านบรรพบุรุษ เวลานั้นเหมือนกับว่า ‘ฟ้าเปลี่ยน’ ไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีก
หูเฟิงเองก็ออกตามหาสมบัติไปทั่วเหมือนชาวบ้านในเมืองเล็ก พลิกค้นตู้ลิ้นชัก ขวดไหทั้งหลายในบ้าน ขอแค่เป็นของที่มองดูเหมือนของเก่าก็จะต้องเอาออกมา ดูว่าจะขายได้หรือไม่ ตอนนั้นหูเฟิงเคยไปที่ลำคลองหลงซวี เก็บเอาหินสวยงามมาได้กองใหญ่ ที่ถนนฝูลู่และที่ตรอกเถาเย่ล้วนมีคนให้ราคาสูงเทียมฟ้า หูเฟิงเองก็ไม่คิดมาก เอาของที่ถูกเรียกว่าหินดีงูแปดก้อนแบ่งออกเป็นสองส่วน ขายให้พวกเขาคนละครึ่ง ไม่ล่วงเกินทั้งสองฝ่าย ได้เงินมาสองก้อน ในวันเวลาเหล่านั้นทุกวันเขาไม่เคยนอนหลับ ไม่กล้าเดินออกจากบ้านเพราะกลัวจะเจอโจร
ก่อนหน้านั้นหูเฟิงเคยเห็นคนวัยเดียวกันที่ตรอกหนีผิงคนหนึ่ง ชื่อว่าซ่งจี๋ซิน พวกคนเฒ่าคนแก่ต่างก็พูดกันว่าเขาเป็นบุตรชายนอกสมรสของนายท่านผู้เฒ่าซ่งขุนนางผู้ตรวจการ ไม่สะดวกพากลับไปเลี้ยงดูในจวนที่ว่าการจึงหาคนให้มาช่วยจัดการหาที่พักให้ซ่งจี๋ซินอยู่ในตรอกเล็ก ดูเหมือนว่าในกระเป๋าของซ่งจี๋ซินผู้นี้จะไม่เคยขาดแคลนเงินทอง ทุกวันจะต้องพาสาวใช้คนหนึ่งเดินเล่นเตร็ดเตร่ใช้เงินมือเติบไปทั่ว โอ้อวดตัวเองอย่างมาก
หูเฟิงชอบไปที่ภูเขาเครื่องกระเบื้องตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเจอเจ้าคนผู้หนึ่งที่ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่ง เขาเองก็พลิกๆ หาๆ ของอยู่ที่นั่นเหมือนกัน ต่างคนต่างเก็บของของตัวเองไป แรกเริ่มก็ไม่คุยกัน ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ภายหลังหูเฟิงสังเกตเห็นว่าต่งสุ่ยจิ่งชอบเก็บเศษกระเบื้องที่มีตัวอักษร ต่อมาต่งสุ่ยจิ่งก็เป็นฝ่ายมาหาเขา เด็กสองคนที่ต่างก็ค่อนข้างเงียบขรึม ‘ทำการค้า’ กันอย่างรู้ใจกัน ใช้ของแลกสิ่งของ
ในร้านเหล้าของหวงเอ้อเหนียง หูเฟิงมักจะได้เห็นคนเฝ้าประตูที่ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิงบ่อยๆ สายตาของชายฉกรรจ์คล้ายกับงอกอยู่บนร่างของสตรีวัยกลางคนอย่างไรอย่างนั้น
ทุกครั้งที่ถึงฤดูแย่งชิงน้ำ หูเฟิงมักจะได้เจอกับคนวัยเดียวกันร่างผอมแห้งคนหนึ่งอยู่เสมอ ดูเหมือนว่าจะอยู่ตรอกเดียวกับซ่งจี๋ซิน ทั้งสองฝ่ายยังเป็นเพื่อนบ้านกันด้วย เพียงแต่ว่าคนหนึ่งมีเงินมากเป็นพิเศษ อีกคนไม่มีเงินมากเป็นพิเศษ
ท่านปู่ไม่อนุญาตให้เขาเข้าใกล้เด็กกำพร้าแซ่เฉินคนนั้น ไม่ได้พูดจาไม่น่าฟังอย่างเช่นบอกว่าเขาเป็นดาวพิฆาต เป็นโรคระบาดอะไรอย่างคนแก่แถวตรอกซิ่งฮวาชอบพูดกัน
ท่านปู่แค่เข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากมาย แค่บอกให้เขาอยู่ห่างๆ จากคนผู้นั้นโดยที่ไม่เคยบอกต้นสายปลายเหตุ
มีครั้งหนึ่งหูเฟิงไปตกปลาที่หินดำคนเดียว ในหลุมในบ่อ ที่บ้านเกิดต่างก็บอกเล่ากันปากต่อปาก เรียกเป็นภาษาบ้านๆ ว่ารังดวงอาทิตย์ ก็เหมือนกับที่เรียกซุ้มก้ามปูที่ไม่มีใครรู้มานานแล้วว่าใครเป็นคนแรกที่เรียกมันอย่างนั้น
ตอนนั้นหูเฟิงมองเห็นกับตาตัวเองว่ามีเด็กคนหนึ่งยังว่ายน้ำไม่เป็น แต่เพราะติดเล่น ตอนแรกก็ไปว่ายน้ำท่าหมาตะกายดินตรงจุดที่น้ำตื้นของลำคลองหลงซวีก่อน จากนั้นไม่รู้ว่าอย่างไรถึงเกือบจะจมน้ำตาย เพียงแต่ว่าหูเฟิงเพิ่งจะโยนคันเบ็ดตกปลาทิ้ง คิดจะวิ่งไปช่วยคนก็มีคนผอมแห้งเหมือนลำไม้ไผ่ตาดีเห็นเข้าเสียก่อน เขาวิ่งตะบึงไปตลอดทาง กระโดดลงไปในน้ำลากเด็กคนนั้นขึ้นฝั่ง เด็กชายร้องไห้โฮเสียงดัง เพราะอยู่ห่างมาไกล หูเฟิงจึงไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร แต่เอาเป็นว่าเจ้าหมอนั่นกว่าจะทำให้เด็กชายหยุดร้องไห้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังมอบตั๊กแตนสานตัวหนึ่งให้เด็กชายด้วย
รอกระทั่งพวกเด็กๆ ที่อายุมากหน่อยซึ่งอยู่ใกล้เคียงขยับเข้ามาใกล้ เด็กกำพร้าแซ่เฉินคนนั้นก็จากไปแล้ว
ผลคือพอได้ยินเรื่องนี้ ผู้ใหญ่ในบ้านของเด็กคนนั้นก็เอาเสื้อผ้าของลูกหลานตัวเองเผาทิ้งในวันนั้นเลย คงรู้สึกว่าเป็นอัปมงคลกระมัง
เมื่อก่อนทั้งคนแก่และเด็ก ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่อยู่ใกล้กับบ่อโซ่เหล็กต่างก็ชอบไปนั่งใต้ร่มต้นไหวโบราณ พูดคุยสัพเพเหระ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ปิดไว้ไม่อยู่
พวกคนแก่เล่าเรื่อง พวกสตรีออกเรือนแล้วซุบซินนินทา พวกบุรุษมองผู้หญิง พวกเด็กๆ จับกลุ่มกันวิ่งล้อมต้นไหวโบราณเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน
ในเมื่อมีร้านที่ขายของงานมงคล ก็ย่อมต้องมีร้านที่ขายของงานอวมงคล ร้านที่เป็นเช่นนี้ในเมืองเล็กมีไม่มาก มีอยู่แค่ไม่กี่ร้านเท่านั้น ทว่ากิจการของทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก หูเฟิงเคยถามท่านปู่ว่าเป็นเพราะอะไร ท่านปู่บอกว่าคนตายได้รับความเคารพ แม้ว่าในบ้านจะยากจนแค่ไหน ต่อให้ต้องรัดเข็มขัดแน่นก็ยังต้องเอาเงินออกมาให้ได้ หรือต่อให้ต้องไปยืมเงินจากคนอื่นก็ต้องจัดงานให้มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด
แต่เหตุใดงานมงคลถึงไม่อาจหาเงินได้มากมาย ท่านปู่กลับไม่ได้พูดอะไร
ท่านปู่ดีกับเขามาก ไม่ว่าในบ้านมีอะไรก็ล้วนมอบให้เขาแทบทุกอย่าง แต่ก็มีกฎอยู่สองสามข้อ นับตั้งแต่ที่หูเฟิงพอจะจำความได้ ท่านปู่ก็กำชับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ยกตัวอย่างเช่นว่าเงินที่เจอบนทางห้ามเก็บเด็ดขาด เจอเรื่องอะไร หากไม่ต้องขอร้องคนอื่นให้ช่วยได้ก็อย่าขอร้อง
แต่หากว่าจำเป็นต้องขอให้คนอื่นช่วย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องชดใช้คืน ไม่ว่าจะคืนเงินหรือคืนน้ำใจ ล้วนไม่อาจติดค้างได้ ไม่อาจเอาอย่างอาหารคืนข้ามปีที่สามารถเหลือไว้ จงใจ ‘เหลือถึง’ ปีถัดไป
แต่ก็มีเงินมงคลประเภทหนึ่งที่หูเฟิงสามารถขอได้ อีกทั้งยังต้องไปขอ ก็คือบ้านใครแต่งงาน เจ้าสาวออกเรือนจะต้องมีคนไป ‘ขวางทาง’ หูเฟิงก็จะตามไปด้วย ได้ซองแดงมาแล้วก็จะท่อง ‘คำพูดมงคลโบร่ำโบราณ’ ที่ท่านปู่สอนให้เขาในใจเงียบๆ
นอกจากนี้แม้ว่าบ้านตนจะเปิดร้านขายของงานมงคล แต่หากว่าเมืองเล็กมีงานขาวดำ หากช่วยได้ก็จะไปช่วย ช่วยเสร็จแล้ว กินข้าวที่บ้านงานเสร็จก็กลับบ้าน หากบ้านหลังนั้นยังต้องการให้คนช่วยเฝ้าโถงวิญญาณก็จะตอบตกลง เพียงแต่ต้องจำไว้ว่าเข้าไปในโถงวิญญาณแล้วห้ามล้มเลิกกลางคัน ต่อให้จะง่วงก็ต้องงีบหลับอยู่ที่นั่น ห้ามกลับบ้านกลางดึก ไม่ต้องกลัวเจ้าพวกสิ่งที่จับต้องไม่ได้เหล่านั้น ต้องรอให้ฟ้าสางก่อนถึงจะกลับบ้านได้ แล้วค่อยกลับไปหลับต่อที่บ้าน
ที่สุสานเทพเซียนแห่งนั้น ทุกปีจะมีวันหนึ่งที่ท่านปู่จะต้องพาหูเฟิงไปโขกหัวที่นั่น
ก่อนที่ท่านปู่จะจากไปยังตั้งใจกำชับตนเป็นพิเศษว่า ต่อให้ท่านปู่จะไม่อยู่แล้วก็ห้ามลืมเรื่องนี้ ต่อให้ในอนาคตเติบใหญ่แล้ว จำเป็นต้องออกจากบ้านเดินทางไกล วันนี้ของทุกปีก็ยังต้องจุดธูปสามดอก
ทางทิศตะวันตกสุดของเมืองเล็กมีเด็กสาวคนหนึ่งที่รูปร่างบอบบางดุจกิ่งหลิว แซ่หลี่ แต่เรี่ยวแรงของนางกลับมีไม่น้อย ไม้คานอันหนึ่งสามารถหาบน้ำได้เต็มๆ สองถัง นางมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง สดใสมีชีวิตชีวา มีครั้งหนึ่งเด็กชายที่ยังสวมกางเกงเปิดก้นเดินอาดๆ อยู่ในตรอกใกล้กับบ้านตัวเอง สองนิ้วคีบจับคราบจักจั่นที่ยังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ซึ่งไม่รู้ว่าเขาไปเก็บมาจากไหน ชูขึ้นสูง มันเป็นสีทอง พออยู่ใต้แสงอาทิตย์จึงเป็นประกายวิบวับ มองดูแล้วไม่เหมือนปกติทั่วไป อีกทั้งเมื่อเทียบกับคราบจักจั่นทั่วไปในเมืองเล็กก็ใหญ่กว่ามาก หูเฟิงจึงมองอยู่หลายที
คงเป็นเพราะรู้สึกว่าโอ้อวดสำเร็จแล้ว เด็กชายที่สวมกางเกงเปิดก้นจึงจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลง โคลงศีรษะพลางบิดหมุนข้อมือเขย่าคราบจักจั่นนั่นแรงๆ ไปด้วย
ตอนนั้นหูเฟิงอยู่ที่หน้าประตูบ้านของครอบครัวหนึ่ง นั่งอยู่บนม้านั่งยาว กำลังช่วยลีบมีดหั่นผัก ลับมีดหั่นผักเล่มหนึ่งจะได้เงินมาสามถึงห้าเหรียญทองแดง สรุปก็คือสามารถต่อรองราคากันได้
สตรีคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านตัวเองซึ่งห่างไปไกล สองมือเท้าเอวตะโกนเสียงดังสนั่นฟ้า เรียกบุตรชายกลับไปกินข้าวที่บ้าน
หูเฟิงจึงถามเด็กชายที่ชื่อไหวจื่อคนนั้นว่า เขาจะใช้เงินสามอีแปะซื้อคราบจักจั่นอันนั้นมาได้หรือไม่
หูเฟิงไม่พูดยังดี แต่พอเปิดปากพูด เด็กชายก็เริ่มหวาดกลัว เขารีบขยับเข้าหากำแพง ก้มหน้าวิ่งเหยาะๆ แนบติดกำแพงไปตลอดทาง ไม่กล้าพูดคุยด้วย
หูเฟิงเองก็ไม่คิดมาก ยังรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่เด็กคนนั้นไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง ไม่อย่างนั้นเงินตั้งสามอีแปะเชียวนะ จะเอามาทำอะไร ดังนั้นจึงรวบรวมสมาธิก้มหน้าลับมีดต่อไปอีกครั้ง
คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนั้นจะแอบย่องกลับมา เอาคราบจักจั่นสีทองวางลงบนม้านั่งยาวแล้ววิ่งหนีไป
รอกระทั่งหูเฟิงตะโกนเรียกเขา เด็กชายก็ชักเท้าออกวิ่งพลางยกกางเกงขึ้นไปด้วย วิ่งผ่านหัวเลี้ยว ร่างก็หายวับไปไม่เห็นเงา
หูเฟิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ครู่หนึ่งต่อมาก็มีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาจากมุมกำแพง เพราะไปหลบอยู่ไกลแล้วถึงได้กล้ายิ้มกว้างให้หูเฟิง
หูเฟิงหยิบเงินเหรียญทองแดงออกมา เด็กชายส่ายหน้าอย่างแรง
หูเฟิงในเวลานั้นยังไม่รู้ว่าการที่พบเจอกันริมทางครั้งนี้มีความหมายที่แท้จริงว่าอะไร จะสร้างอิทธิพลต่อชีวิตเขาในอนาคตมากมายแค่ไหน
ในอดีตเคยคิดมาตลอดว่าคงจะต้องสะพายกล่องไม้สืบทอดจากบรรพบุรุษที่ใส่ข้าวของไว้จนเต็มใบนั้น เดินไปตามตรอกซอกซอย คอยช่วยคนลับมีดหรือไม่ก็ช่วยซ่อมถ้วยโถจานชามให้กับคนอื่นไปปีแล้วปีเล่า
นอกจากนี้หินลับมีดสองก้อนที่สืบทอดมาจากตระกูล เป็นภายหลังที่หูเฟิงออกจากบ้านเกิดแล้วเจอตำราตระกูลเซียนเล่มหนึ่งที่บันทึกเรื่องของสมบัติหนักบนภูเขาไว้โดยเฉพาะที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าพวกมันถึงกับเป็นหินสังหารมังกรในตำนาน
เขามอบให้อู๋ถีจิงหนึ่งก้อน อีกทั้งยังเป็นก้อนที่มีขนาดใหญ่กว่าด้วย
หูเฟิงไม่มีเพื่อนที่เมืองเล็ก ในเมื่อออกมาอยู่ข้างนอกแล้วก็ตั้งใจคบหาอู๋ถีจิงเป็นสหายอย่างจริงใจ อีกฝ่ายมีคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ดีกว่าตนมาก จึงไม่จำเป็นต้องขี้เหนียวอะไร
อู๋ถีจิงถามอย่างใคร่รู้ “คิดอะไรอยู่นะ? ถึงได้เหม่อขนาดนี้”
หูเฟิงยิ้มกล่าว “คิดถึงเรื่องบางอย่างตอนยังเด็ก”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะตอบแทนคนที่ชื่อหลี่ไหวอย่างไร
เพราะคราบจักจั่นสีทองชิ้นนั้นก็คือถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยปราณกระบี่
อู๋ถีจิงจุ๊ปากเอ่ย “บ้านเกิดของเจ้าทำให้คนไร้คำพูดจริงๆ”
หูเฟิงกล่าว “อันที่จริงก็ยังดี รู้ทุกอย่างกับไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร”
หูเฟิงหยิบขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่งขึ้นมาเป่าเบาๆ
ท่ามกลางแสงจันทร์ เสียงขลุ่ยทอดยาว ดังก้องไปทั่วทั้งผืนป่า
……
เรือลู่เสียนจือกำลังจะมาถึงท่าเรือภูเขาเซียนตู
หลิวจงผู้ถวายงานอันดับหนึ่งสีหน้าซีดขาว แต่จิงชี่เสินทั่วร่างกลับเต็มเปี่ยม เพียงแค่ว่าเวลาเดินฝีเท้าไม่มั่นคง เหมือนกับคนเมาเหล้าอย่างไรอย่างนั้น
ดังนั้นหลังจากที่คนทั้งกลุ่มลงจากเรือ หลิวจงจึงไม่ได้ตามลงมาด้วย เพราะอีกเดี๋ยวเรือลู่เสียนจือลำนี้ก็จะต้องเดินทางกลับนครเซิ่นจิ่งต้าเฉวียนทันที
เฉินผิงอันพาแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาและเหยาเซียนจือเดินขึ้นไปบนยอดเขาชิงผิงด้วยกัน
หลังจากที่เรือข้ามฟากลอยขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง หลิวจงก็ออกมาจากหัวเรือ มาที่ห้องแห่งหนึ่งที่ชั้นหนึ่งของเรือข้ามฟาก เคาะประตูเบาๆ เอ่ยเรียก “ฝ่าบาท”
หลังจากที่เขาเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ฮ่องเต้หญิงก็มานั่งอ่านฎีกาข้างโต๊ะแล้ว องค์รักษ์หญิงคนหนึ่งในห้องกำลังเขย่งปลายเท้าปิดหน้าต่างลงด้วยท่วงท่าอ่อนโยน
ตอนที่เดินขึ้นเขา เฉินผิงอันก็คุยเล่นกับแม่ทัพผู้เฒ่าไปตลอดทาง
พูดคุยกันถึงเรื่องราวและผู้คนที่ได้พบเจอมา
การที่ได้กลายเป็นคนที่ตัวเองเลื่อมใสมากที่สุดก็คงจะถือเป็นการพิสูจน์มรรคาอย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันจึงไพล่นึกไปถึงพ่อครัวเฒ่าที่มีคุณความเหนื่อยยากสูงสุด
บางทีในใจของจูเหลี่ยนก็คงจะมีเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีทางเติบโตไปตลอดกาล นามว่าเจียงหู (ยุทธภพ/แม่น้ำและทะเลสาบ)