กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 908.7 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
บัณฑิตแซ่จงกับเจ้าอ้วนข้างกายที่อ้วนจนเหมือนจะมีไขมันไหลเยิ้มออกมาที่บอกว่าตัวเองชื่อกูซู แซ่อวี่ ทุกวันเอาแต่ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายหญิงงาม ปากเรียกนางว่าพี่สาว แต่กลับเรียกตัวเองว่าพี่อวี่
ชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะที่ดาบไม่ห่างกายซึ่งเป็นหัวหน้าคนนั้น คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า เขากับสตรีโตเต็มวัยที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระรู้จักกันกลางทาง ถือเป็นยวนยางป่าที่จับคู่กันชั่วคราว
สาวงามมีนามว่าวังม่านเมิ่ง ตัวไม่สูง เรือนกายเล็กกะทัดรัด ความขาวสามารถบดบังร้อยความอัปลักษณ์ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สตรีก็เกิดมาหน้าตางดงามหยาดเยิ้ม บวกกับที่นางยังชอบสวมชุดรัดรูปสำหรับเดินทางตอนกลางคืน สวมรองเท้าปักลาย เวลาเดินยังจงใจบิดเอว ราวกับว่าหากโดนลมพัดมานางก็อาจจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้นได้ทุกเมื่อ
ทุกครั้งที่นางได้เห็นเจ้าอ้วนแซ่อวี่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้อไขมันก็ได้แต่ข่มกลั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ แสร้งทำเป็นยินยอมคล้อยตาม
ยังดีที่สามชั่วยามก่อนและหลังช่วงเที่ยงของทุกวันยังสามารถค้นหาสมบัติเงินทองและของโบราณล้ำค่าได้ต่อไป เพียงแต่ว่าในเมืองที่พวกเขาอยู่แห่งนี้ ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับยังต้องถูกกู่ชิวที่มีสถานะประหลาดจดลงบันทึก แบ่งแยกเป็นประเภทต่างๆ แล้วประเมินราคาคร่าวๆ เพราะจากข้อตกลงที่พวกเขามีกับบัณฑิตแซ่จง ผลเก็บเกี่ยวสิบส่วน พวกเขาจะได้ส่วนแบ่งไปแค่ส่วนเดียวเท่านั้น
แรกเริ่มแน่นอนว่าทุกคนต่างไม่พอใจ ใต้หล้ามีการค้าแบบนี้เสียที่ไหน จึงวางแผนร่วมกันเป็นการส่วนตัว ความกล้าหาญพลันบังเกิด ฉวยโอกาสที่มือดาบชุดเขียวซึ่งปรากฏตัวลึกลับ ตบะลึกล้ำเกินจะคาดเดาไม่อยู่ในเมืองชั่วคราว จึงเตรียมจะเล่นงานคนแซ่จง กลางดึกที่ค่ำคืนมืดมิดลมแรงคืนหนึ่ง จงใจทิ้งกู่ชิวเอาไว้ หมายจะร่วมมือกันฆ่าบัณฑิตยากจนคนนั้นทิ้งซะ กลับกลายเป็นฝ่ายโดนซ้อมเสียจนร้องโหยหวน มีเพียงสาวงามที่ถูกเจ้าอ้วนเรียกว่าพี่สาว พูดอย่างเจ็บปวดใจว่าพี่สาวท่านช่างเลอะเลือนนัก แม้ว่านางจะถูกจับแขวนเอาหัวห้อยพื้นเหมือนคนอื่นๆ แต่กลับไม่ได้ถูกซ้อม
หลังจากคืนนั้นมา ทุกคนต่างก็ยอมรับชะตากรรมกันแต่โดยดี
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ ในศาลเทพอภิบาลเมืองของเขตกการปกครองเก่า ผีวิญญาณหยินต่างก็ถอยร่นออกไปหมดแล้ว กู่ชิวที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของท่านเทพอภิบาลเมืองในอดีตวางพู่กันลงเบาๆ เงยหน้ามองไปยัง…ผีที่นั่งอยู่บนธรณีประตูของห้องโถงใหญ่ ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์จง ทำไมถึงไม่บอกพวกเขาไปตามตรงว่าการที่ท่านบีบให้พวกเขาทำเช่นนี้อยู่ทุกวัน ทั้งทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตต่อไปได้ แล้วยังหาเงินได้ด้วย ยิ่งสามารถช่วยสะสมบุญกุศลให้กับพวกเขา”
จงขุยนั่งหันหลังให้กับกู่ชิวที่เป็นผีเช่นเดียวกัน เอ่ยว่า “นี่เกี่ยวพันไปถึงการมีใจทำความดีกับการไร้เจตนาทำความชั่ว เจ้าสามารถใคร่ครวญถึงความรู้ที่อยู่ในนี้ดูให้ดีได้ วันใดคิดได้จนกระจ่างแล้ว ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะสามารถนั่งบนตำแหน่งของเทพอภิบาลเมืองได้อย่างมั่นคง สามารถพลิกสมุดบันทึกคุณความดีได้”
กู่ชิวผู้นี้ ตอนที่มีชีวิตอยู่เคยเป็นทายาทของขุนนางกองการถักทอของราชวงศ์ต้ายวน เป็นจิ้นซื่อสอบติดสองกระดาน เป็นนายอำเภอของอำเภอแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับตัวเขตการปกครองแห่งนี้ เพียงแต่ว่าบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งยกดาบฆ่าฟัน จะสามารถต้านทานอะไรได้ จะสามารถปกป้องอะไรได้ จึงถูกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่บุกนำเข้ามาในที่ว่าการอำเภอฉีกทึ้งร่างจนตายทั้งเป็น ตายอย่างเจ็บปวดทรมานทั้งสภาพยังน่าอเนจอนาถ แต่เจอกับหายนะเช่นนี้แล้ว หลังตายไปกลับไม่ได้กลายไปเป็นผีร้าย แต่ยังรักษาสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ได้ กลายเป็นผีเร่ร่อนเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ ถึงขั้นที่ว่าค่อยๆ กลายมาเป็นเจ้าของเมืองผีแห่งนี้ แล้วยังรับเอา ‘ผีสาวขี้อาย’ ที่อยู่ในลานบ้านขนาดเล็กต้นท้อไว้เป็นผีชางบริวาร เนื่องจากไม่ชอบเจ้าคนที่ตั้งตนเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่ของราชวงศ์ต้ายวน ทำอะไรอย่างขอไปทีเกินไป ไม่แยกแยะถูกผิด ไม่ถามถึงสถานะของคนตาย จึงเก็บรวบรวมซากโครงกระดูกทั้งหลายมา ระหว่างที่เคลื่อนย้ายพวกมันปริแตกไม่เหลือชิ้นดี กู่ชิวจึงเคยพยายามไปเยี่ยมเยือนกระโจมทัพยามค่ำคืน หวังจะปรึกษากับแม่ทัพบู๊ที่รับผิดชอบจัดงานพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับคนนั้นดีๆ ผลคือถูกมองเป็นผีร้ายที่มาก่อกวน ไม่สนใจกู่ชิวที่พยายามหลบเลี่ยงการโจมตีของผู้ฝึกตนพลางพูดอธิบายซ้ำไปซ้ำมาเลยสักนิด คงจะเห็นเขาเป็นคุณความชอบทางการทหารอย่างหนึ่งกระมัง นับแต่นั้นมากู่ชิวก็หมดอาลัยตายอยาก
เด็กสาวที่เป็นผีชางหิ้วเหล้าสองกาที่หมักมานานหลายปีมาที่ศาลเทพอภิบาลเมือง โยนเหล้ากาหนึ่งให้กับจงขุย
จงขุยลุกขึ้นไปรับกาเหล้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เสี่ยวฝ่าง ห้ามมีความคิดไม่ซื่อมาชอบพี่จงเข้าล่ะ”
เด็กสาวผีชางนามว่าเสี่ยวฝ่างคลี่ยิ้มหวาน “ไม่มีทาง”
จงขุยจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “แอบชอบก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไรหรอกนะ”
เด็กสาวส่ายหน้ายิ้มบางๆ “ไม่มีทางอีกเหมือนกัน”
จงขุยทอดถอนใจ นั่งกลับลงไปบนธรณีประตู แกะผนึกดินออก สูดดมกลิ่น พูดบ่นกับตัวเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ต้องโทษกลิ่นอายเที่ยงธรรมที่ดุดันบนร่างของข้า ไม่รู้ว่าขับไล่โชคชะตาดอกท้อไปกี่มากน้อยแล้ว”
กู่ชิวรู้สึกจนใจอยู่บ้าง
อาจารย์จงผู้นี้ไม่ว่าอะไรก็ดีหมด มีเพียงเรื่องนี้ที่ออกจะไม่ได้ความ
จงขุยดื่มเหล้าหมดก็เดินเท้ากลับไปยังที่พักชั่วคราวของตัวเอง
ไม่รู้ว่าเจ้าอ้วนนั่นไปมั่วสุมอยู่ที่ไหน กังวลว่าอวี่จิ่นจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก จงขุยจึงยกฝ่ามือขึ้นมา มองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมองหาร่องรอยของเจ้าอ้วน ผลคือต้องรีบสลายเวทคาถาทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
ซากปรักโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งในเมือง อากาศบนพื้นดินอบอุ่น เป็นช่วงปลายฤดูหนาว แต่ดอกไม้กลับชูช่อบานสะพรั่งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวแห่งหนึ่ง
เสื้อผ้าหลายชิ้นถอดระเกะระกะอยู่บนพื้น
เรือนกายอวบอิ่มผิวเป็นสีขาวดุจหิมะขาวโพลนกางสองแขนออก ต้นหญ้าสีเขียวจึงทะลุมาตามร่องนิ้ว
นางเชิดศีรษะขึ้นสูง คล้ายโศกเศร้าคล้ายพร่ำบ่น เสียงลมหายใจอ่อนระทวย เห็นได้ชัดว่าถูกรังแกมาอย่างหนัก
ทำเอาเจ้าอ้วนที่นอนฟุบอยู่บนหัวกำแพงทอดถอนใจไม่หยุด
สงครามหน้าท้องครั้งหนึ่ง กว่าจะ ‘ตีกลองถอนทัพ’ ออกมาจากท่ามกลางเสียงบุรุษคำรามเสียงสตรีร้องครวญครางได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะนัดรบกันใหม่
ประเด็นสำคัญคือพี่สาวคนนั้น ทั้งๆ ที่ระหว่างนั้นมองเห็นเจ้าอ้วนบนหัวกำแพง นางกลับยังคงยิ้มหวานหยดย้อย เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น
ทำเอาเจ้าอ้วนเกือบอดไม่ไหวเตรียมจะไป ‘ช่วยเหลือ’ ตะโกนเสียงดังว่ารีบปล่อยพี่สาว เจ้าโจรชั่วอย่าหวังจะทำเรื่องชั่วช้าได้สมใจ
กลับมาหาจงขุยด้วยอารมณ์ขุ่นข้อง เจ้าอ้วนนั่งตัวอ่อนพิงระเบียงคนงาม หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “สมกับคำว่านักเล่นหมากล้อมเจอคนฝีมือสูสี แม่ทัพมือดีเจอผู้มากความสามารถจริงๆ”
กลางระเบียงวางกระถางไฟไว้สองใบ จงขุยกำลังอ่านหนังสือ ไม่ต่อคำ
จวนขุนนางชั้นสูงสองแห่งในเมืองที่เป็นเพื่อนบ้านกัน ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านสองคนจะไม่ถูกกัน หอเก็บหนังสือแห่งหนึ่งตั้งชื่อว่าหอเก็บตำราเจ็ดพันเล่ม ส่วนหอเก็บตำราของอีกบ้านตั้งชื่อว่าหอเก็บตำราแปดพันเล่ม
อวี่จิ่นนั่งไขว่ห้าง สองมือวางพาดไปบนราวระเบียง ถามว่า “พี่น้องจง ผีชั่วร้ายในเมืองที่ถูกกู่ชิวจับตัวไปไว้ในศาลเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอ ในเมื่อช่วยกลับมาหมดแล้ว ไม่สู้พวกเรา?”
เส้นทางน้ำพุเหลืองไม่มีที่ให้ค้างแรม
โลกสว่างคนฆ่าคน โลกมืดผีกินผี
จงขุยส่ายหน้า “อย่าหวังเลย”
หากถูกเจ้าอ้วนผู้นี้จับมากินเป็นอาหาร ผีร้ายพวกนั้นก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับไปเกิดใหม่อีก
อวี่จิ่นหน้าม่อย “แล้วเมื่อไหร่ข้าถึงจะได้ขอบเขตกลับคืนมาล่ะ จงขุยเจ้าลองคิดดูนะ หากว่าข้างกายมีองค์รักษ์ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งอยู่ด้วย ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกจะมีหน้ามีตาถึงเพียงใด?”
จงขุยเพียงแค่ก้มหน้าเปิดตำรา พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ยังคงเป็นข้อตกลงเดิม เจ้ากล้ากินผีเร่ร่อนตนใดโดยพลการ ข้าจะทำให้เจ้าขอบเขตถดถอยทันที”
อวี่จิ่นโมโหจนเต้นผาง เพียงแต่ว่าความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ ชินไปแล้วก็ดีเอง นึกถึงภาพแห่งการเคล้าคลอละมุนละไมเมื่อครู่นี้ เจ้าอ้วนก็เช็ดปาก ถามหยั่งเชิงว่า “ความบันเทิงของมนุษย์ใต้จันทราหน้าบุปผา ขอแค่ข้าไม่บังคับ สองฝ่ายเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ เจ้าคงไม่ขัดขวางข้ากระมัง?”
จงขุยพยักหน้า “ขอแค่ทั้งสองฝ่ายเต็มใจก็ตามใจเจ้า แต่หากข้าจับได้ว่าเจ้าร่ายเวทลับอะไรใส่สตรี กฎเดิม ขอบเขตลดหนึ่งขั้น”
อวี่จิ่นหัวเราะฮ่าๆ “ดี ด้วยรูปโฉมนี้ บุคลิกนี้ของกว่าเหริน ก็แค่กระดิกนิ้วเรียกมาเท่านั้น ใต้หล้านี้จะมีสตรีสักกี่คนที่สามารถต้านทานเสน่ห์ของบุรุษมีอายุอย่างข้าได้”
ตอนที่จงขุยพลิกเปิดหน้าหนังสือได้เงยหน้าขึ้นมองเจ้าอ้วน เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าเป็นถึงผีเซียนผู้ยิ่งใหญ่ รู้จักมียางอายบ้างได้ไหม?”
‘คนโบราณไม่เคยโกหกข้า ละโมบในความงามย่อมมีภัยถึงชีวิต’
เจ้าอ้วนรู้สึกเพียงว่ามีนัยชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง “ข้าได้แต่เจ็บใจที่ทิ้งหนังหน้าเอาไว้บนพื้น เอาไว้ให้พี่สาวคนนั้นไปทำเป็นผ้าปูรองนอน เฮ้อ ตอนที่พี่สาวลุกขึ้น แผ่นหลังแดงไปหมด ทำเอาข้าสงสารแทบแย่ นึกอยากจะไปช่วยเช็ดให้เต็มที”
เจ้าอ้วนยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ดันไว้ตรงหน้ากากหนังเบาๆ กระตุกเบาๆ อีกทีก็ถลกหน้ากากหนังทั้งแผ่นลงมาได้ เผยให้เห็นกระดูกขาวที่ไม่มีเลือดเนื้อใดๆ สลัดหน้ากากชิ้นนั้นอย่างไม่ใส่ใจ “ของเล่นชิ้นนี้ของข้า สามารถเอาไปทำเป็นที่วางข้อมือ เตาอุ่นมือ เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประทินโฉมให้กับสตรีได้ มีความมหัศจรรย์มากมายไร้ที่สิ้นสุด”
จงขุยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่ยิ้มเอ่ย “ระวังว่าจะรักษาสมบัติไว้ไม่อยู่”
เจ้าอ้วนฟังความนัยในคำพูดของจงขุยออกได้ทันที รีบเอาหนังหน้าวางกลับลงไปบนใบหน้าอีกครั้ง เอ่ยเสียงสั่น “คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง?”
จงขุยกล่าว “ไม่รับประกัน”
เจ้าอ้วนตีอกชกตัวอย่างแรง เอ่ยอย่างเจ็บปวดร้าวราน “เรื่องต่ำช้าที่ฟั่นเฟือนเสียสติเช่นนี้ ขนาดผียังทำไม่ได้ มันใช่เรื่องที่คนควรทำหรือ?!”
มือออกแรงไม่น้อย เนื้อไขมันจึงกระเพื่อมพั่บๆ คล้ายกับหมูสามชั้นชิ้นหนึ่งที่ถูกสะบัดโยนลงบนเขียง
เจ้าอ้วนพลันกระโดดผลุงลุกขึ้นยืน โมโหจนหน้าเขียวคล้ำ ร้องโอดครวญว่า “ทำเอากว่าเหรินโมโหจนเกือบจะสวรรคตแล้ว!”
เจ้าอ้วนนั่งยองอยู่ข้างเท้าของจงขุย คลี่ยิ้มประจบ “พี่น้องจงต้องช่วยข้าด้วยนะ”
เห็นว่าจงขุยเอาแต่อ่านหนังสือ เจ้าอ้วนก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “พี่ใหญ่จง!”
ยืดคอยาวออกไปมองเนื้อหาบนกระดาษแผ่นนั้น เจ้าอ้วนเอ่ยชื่นชมว่า “พี่ใหญ่จงช่างสง่างามเสียจริง มีมาดของคนโบราณ ละเลียดดอกเหมยอ่านกวีโบราณ ค่ำคืนหิมะพร่างพราวอุ่นสุราอ่านตำราต้องห้าม”
จงขุยเพียงแค่อ่านตำรากรณีศึกษาเล่มหนึ่ง เคยอยู่ในรายชื่อหนังสือที่ต้องทำลายของสกุลหยวนต้ายวน เพียงแต่ว่าเจ้าของหอเก็บตำราคนเก่าใจกล้าจึงเก็บฉบับที่จัดพิมพ์ครั้งแรกสุดเอาไว้เป็นการส่วนตัว
อวี่จิ่นเอ่ยเสียงเบา “จงขุย เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง เสี่ยวโม่ผู้นั้นสรุปแล้วมีขอบเขตอะไรกันแน่?”
จงขุยกล่าว “ข้าไม่รู้ขอบเขตที่แน่ชัด ข้ารู้แค่ว่าขอแค่อาจารย์เสี่ยวโม่ยินดี ฟันเจ้าให้ตายก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
อวี่จิ่นนั่งแปะลงไปบนพื้น นั่งขัดสมาธิ เห็นว่าแสงไฟในกระถางเริ่มหม่นมัวลงแล้วจึงรีบยื่นมือไปขยับถ่าน นี่ก็ไม่ใช่เพราะกังวลว่าพี่น้องจงจะเย็นเท้าหรอกหรือ ปากก็พร่ำพูดไปด้วย “อันที่จริงครั้งแรกที่ข้าเห็นอาจารย์เสี่ยวโม่ก็รู้สึกแล้วว่าหน้าตาเขาเป็นมิตร คราวหน้าที่เข้าร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองจะต้องคุยกับอาจารย์เสี่ยวโม่ให้มากหน่อย ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็เป็นคนที่ต้องซัดเซพเนจรจากบ้านไปไกล ต้องเป็นองค์รักษ์ให้กับคนอื่น ทั้งสองฝ่ายต้องมีเรื่องให้คุยกันแน่นอน แต่พูดประโยคที่เป็นความจริงซึ่งควักใจออกมาพูด ข้ายังโชคดีกว่าอาจารย์เสี่ยวโม่อยู่บ้าง บัณฑิตที่เป็นอย่างพี่น้องจงนั้นมีแค่คนเดียว แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวแต่กลับมีเมตตา ปราณเที่ยงธรรมไพศาลแผ่เต็มร่าง ไม่แสดงความโกรธก็มากด้วยบารมี ต่อให้เป็นใต้เท้าอิ่นกวานก็ยังเทียบไม่ติด คำพูดประเภทนี้ อยู่ต่อหน้าอิ่นกวาน ข้าก็ยังกล้าพูด”
จงขุยเหลือบมองเจ้าตัวขี้ประจบ ยิ้มเอ่ยว่า “มิน่าเล่าถึงเป็นฮ่องเต้ได้ ยืดได้หดได้จริงเสียด้วย”
“ลูกผู้ชายถือมีดขาว ฟันหัวร่วงนับร้อยหมื่นหัว”
เจ้าอ้วนทอดถอนใจ ใช้สองมือถูข้างแก้ม “บุรุษที่ดีไม่พูดถึงความองอาจในวันวาน ทุกอย่างล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว”
จงขุยถาม “เคยเจอกับเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่หรือไม่?”
“ไม่สนิทกัน ไม่เคยคุยกันแม้แต่คำเดียว ปีนั้นเผยหมิ่นข้ามมหาสมุทรออกเดินทางไกล เคยเดินทางผ่านรังหญ้าเล็กๆ ที่น่าสงสารของข้าไกลๆ ข้าก็แค่เคยเห็นเขาอยู่ไกลๆ เท่านั้น ไม่กล้าทักทายด้วยซ้ำ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเชียวนะ ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวหรอก”
จงขุยถามอีกว่า “โจวจื่อล่ะ?”
“เคยเจอมาก่อน”
อวี๋จิ่นเอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนมีชีวิตอยู่และหลังตายไป เคยเจอมาทีละครั้ง ตอนที่ยังเป็นคนเสเพลอยู่ในเมืองหลวง เคยเห็นแผงลอยดูดวงข้างทาง เป็นแผงของโจวจื่อ นอกจากบอกว่าข้ามีภัยจะได้เห็นเลือดแล้ว ยังเอ่ยประโยคประหลาดอีกหลายคำ แน่นอนว่าภายหลังล้วนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นคำทำนาย แรกเริ่มข้าไม่มีทางเชื่อแน่นอน แต่ตอนหลังกลับถูกตบบ้องหูไปทีหนึ่งตอนอยู่บนถนน แต่ก็ยังไม่กล้าเอาคืน ภายหลังทั่วทั้งราชสำนักก็เริ่มมีเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งแพร่ออกไป ความหมายคร่าวๆ ค่อนข้างจะคลุมเครือวกวน แต่สรุปก็คือพูดอย่างอ้อมไปอ้อมมาว่า ข้ามีชะตาของโอรสสวรรค์ ฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวง จึงจับคนส่งเดชสั่งประหารคนมั่วซั่ว เกิดความอลหม่านไปทั่ว สุดท้ายก็ฆ่าจนเหลือแค่ครอบครัวข้าครอบครัวเดียว บอกตามตรงนะ ข้าอยากก่อกบฏงั้นหรือ? เป็นเรื่องที่แม้แต่ฝันก็ยังไม่กล้าฝัน อันที่จริงล้วนเป็นเพราะถูกฮ่องเต้บีบบังคับ จะให้ข้ายื่นคอรอให้คนมาตัดหัวก็คงไม่ได้กระมัง ถ้าอย่างนั้นก็ก่อกบฏมันนี่แหละ แต่ครั้งที่สองที่ข้าได้เจอโจวจื่อก็ถึงได้รู้ความเป็นมาของบทเพลงพวกนั้น ข้าไม่ได้สนใจเรื่องไม่สำคัญพวกนี้หรอก แค่ถามโจวจื่อเรื่องเดียวว่า หากเป็นชะตาฟ้าลิขิตจริงๆ ถ้าไม่มีเพลงนั้นแพร่ออกมา เดิมทีข้าก็เป็นแค่ลูกหลานคนรวยเสเพลที่กินเที่ยวรอตายไปวันๆ จะเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร การกระทำของเจ้าโจวจื่อถือว่าเป็นอะไร ถือว่าช่วยทำหน้าที่แทนสวรรค์ ถือโอกาสรอจังหวะช่วยผลักดันอย่างลับๆ หรือว่า…เป็นคนที่เอาชนะลิขิตฟ้าได้?!”
จงขุยปิดตำราลง เอ่ยว่า “โจวจื่อพูดถึงฟ้า พิศดูหยินหยางอย่างลึกซึ้งแล้วสร้างการเปลี่ยนแปลงอันลุ่มลึก คำพูดของอีกฝ่ายไม่สมกับหลักเหตุผลทั่วไป ต้องได้รับการพิสูจน์จากเรื่องเล็กก่อนแล้วค่อยอนุมานขยับขยายให้ใหญ่ขึ้น จนถึงขั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสิ้นสุด”
เจ้าอ้วนยื่นมือมาอังไฟ จ้องแสงเปลวเพลิงในกระถางเขม็ง พยักหน้าเอ่ยว่า “นี่คือเนื้อหาที่ข้าอ่านเจอในตำราตอนอายุหกขวบ เป็นอาจารย์ของเฉินผิงอัน เหวินเซิ่งของพวกเราเป็นคนพูดไว้”
จงขุยยิ้มเอ่ย “คนที่อายุหกขวบก็จำเนื้อหาพวกนี้ได้ ชั่วชีวิตจะได้แต่กินเที่ยวรอความตายเฉยๆ จริงหรือ? ตัวเจ้าเองเชื่อหรือไม่เล่า?”