กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 908.9 มหานทียิ่งใหญ่ไพศาล
เวินอวี้ถาม “เหตุเปลี่ยนแปลงที่เสี่ยวหลงชิว เจ้าน่าจะรู้แล้วกระมัง?”
หวังไจ่พยักหน้า “ได้อ่านรายงานจากทางสำนักศึกษาระหว่างที่เดินทางมาแล้ว”
เวินอวี้ยิ้มกล่าว “หากว่าเขาไม่ลงมือ ข้าก็คงจะต้องไปพูดคุยกับหลงหรานเซียนจวินผู้นั้นสักหน่อย จำต้องพูดว่า การถอนฟืนใต้กระทะครั้งนี้ทำได้งดงามยิ่ง สะใจยิ่งนัก!”
หวังไจ่ลุกขึ้นเอ่ย “ข้ายังมีธุระ ต้องไปหาเจ้าขุนเขาฟ่านสักหน่อย”
เวินอวี้โบกมือ “จำไว้ว่าอย่าได้หยิบอะไรติดไม้ติดมือไป เรื่องอย่างการเป็นโจรขโมยหนังสือนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมควรทำยิ่งกว่าพับหน้าหนังสือเสียอีก”
หวังไจ่จากไปด้วยรอยยิ้ม เอาสองมือไพล่หลัง แสดงให้เห็นว่าตัวเองบริสุทธิ์ จากนั้นก็เดินเลียบ ‘เส้นทางภูเขาอันคดเคี้ยว’ ออกไปจากห้องหนังสือ ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูห้อง เวินอวี้ยืดคอยาวออกมา พลันตะคอกอย่างเดือดดาล “หวังไจ่!”
หวังไจ่จึงได้แต่เดินย้อนกลับมาทางเดิม เอาตำราเล่มหนึ่งวางกลับไว้ที่เดิม เวินอวี้ลุกขึ้นโดยตรง ถลึงตาเอ่ย “ยังมีอีกสองเล่มนะ!”
หวังไจ่จึงหยิบหนังสืออีกสองเล่มออกมาจากขายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าว “เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาแล้ว ขี้โมโหให้น้อยๆ หน่อยสิ”
เวินอวี้เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “หากเปลี่ยนข้าที่ได้ไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ รับรองว่าเจ้าดื่มเหล้าไม่ต้องจ่ายเงิน”
“ไม่มีทาง”
หวังไจ่ยืนพิงกรอบประตู เอ่ยว่า “แต่หากว่าเจ้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นเถ้าแก่สามของร้านเหล้าก็เป็นได้”
เวินอวี้ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงถามอย่างใคร่รู้ว่า “พวกเจ้าสนิทกันขนาดนี้ เฉินผิงอันไม่ได้มอบตราประทับไว้ให้เจ้าสักอันเลยหรือ?”
หวังไจ่ยิ้มตาหยี “เจ้าเดาดูสิ”
ก้าวยาวๆ เดินจากไป
เงยหน้ามองฟ้า ดวงตะวันร้อนแรงส่องแสงจ้า บัณฑิตที่คิดว่าตัวเองไม่เคยสร้างคุณความชอบแม้แต่น้อยไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “คนเดินบนทางดินโคลนไม่เหนื่อยหน่าย วีรบุรุษสังหารโจรไม่บันทึกลงตำรา ผู้กล้าแท้จริงไม่สง่างาม ภูผาหินสูงตระหง่านเทียมขอบฟ้า”
“ที่แท้คือวิญญูชน!”
……
ท่าเรือเฮยเซี่ยน เถ้าแก่ร้านมีชื่อว่าอวี๋ฟู่ซาน ฉายาก็คือฟู่ซาน
อวี๋ฟู่ซานที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่ริมลำคลองหน้าประตูร้านตัวเอง กำลังตกปลาฆ่าเวลา
ยามกลางคืนคลื่นลมยังไม่สงบ บนและล่างมีดวงจันทร์ดวงใหม่สองดวง
เห็นนักพรตหญิงสะพายกระบี่คนหนึ่ง รูปโฉมงดงามจริงแท้ รู้สึกเพียงว่าสตรีที่ถูกใจตัวเองที่สุด เกรงว่านับแต่คืนนี้ไปน่าจะต้องไปอยู่ในอันดับที่สองแล้ว
คิดไม่ถึงว่าพอนักพรตหญิงคนนั้นขยับเข้ามาใกล้จะพูดเข้าประเด็นทันที “ข้าชื่อหวงถิง ได้ยินมาว่าเจ้ายินดีจะไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาไท่ผิง?”
ก่อนหน้านั้นก็มีลูกค้าสวมงอบสวมเสื้อกันฝนคนหนึ่งมาเยือน แล้วก็เคยพูดคุยเรื่องนี้กันจริงๆ
เพียงแต่ว่ารอกระทั่งหวงถิงเดินมาอยู่ตรงหน้า อวี๋ฟู่ซานก็ให้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
หวงถิงเห็นเขาลังเล คิดดูแล้วคงมีความลำบากใจ จึงเอ่ยว่า “ไม่บังคับ”
นางทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็เตรียมจะขี่กระบี่จากไป อวี๋ฟู่ซานรีบโยนคันเบ็ดตกปลาทิ้ง พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไป! ทำไมจะไม่ไปเล่า!”
หวงถิงยืนอยู่ที่เดิม
อวี๋ฟู่ซานจึงได้แต่หยุดยืนนิ่งด้วยความสงสัย นางเตรียมจะบอกกฎบางอย่างของภูเขาให้เขาฟังหรือ?
หวงถิงชี้ไปยังร้านที่ประตูเปิดอ้า “ไม่สนแล้วรึ?”
อวี๋ฟู่ซานโบกมือเป็นวงกว้าง “ล้วนเป็นของนอกกาย”
หวงถิงถอนหายใจ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่านางได้ตัวนายท่านคนหนึ่งที่ดีแต่ใช้เงินไม่รู้จักหาเงินมากันนะ
บนภูเขาลั่วพั่ว
แม้จะบอกว่าชุยตงซานพูดคุยกับจิตรกรเอกบางท่านของแผ่นดินกลางเรียบร้อยแล้ว แต่จูเหลี่ยนที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็ยังใช้สองมือถือพู่กันมือละด้าม ซ้ายขวาตวัดขีดเขียนพร้อมกัน กำลังวาดภาพเหมือนของคนคนหนึ่ง
ใช้ลายเส้นเล็กบางวาดเป็นเค้าโครง บุคคลในภาพวาดเริ่มปรากฏชัดเจนให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง
ชุดเขียวสะพายกระบี่
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่เป็นประกายน่าจับจ้องมากเป็นพิเศษ
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ ถาม “แบบนี้ได้ไหม?”
คนจิ๋วดอกบัวนอนคว่ำอยู่ข้างแท่นฝนหมึกบนโต๊ะวาดภาพพยักหน้ารับอย่างแรง คงรู้สึกว่ายังแสดงความจริงใจได้ไม่มากพอจึงลุกขึ้นนั่ง ปรบมือแรงๆ จริงจัง
ในพื้นที่มงคลรากบัว เพ่ยเซียงแห่งแคว้นหูมาหาเจียวน้ำหงเซี่ย
เพ่ยเซียงขมวดคิ้วน้อยๆ บนใบหน้ามีความกลัดกลุ้ม “งานพิธีของสำนักเบื้องล่างครั้งนี้ไม่ได้เชิญพวกเรา เป็นเพราะเจ้าขุนเขามีความเห็นบางอย่างเลยคิดจะฉวยโอกาสนี้มาตีกระทบพวกเราหรือไม่?”
ก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง เป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงใด
นางกับหงเซี่ยที่แม้ขอบเขตจะไม่สูง แต่จะดีจะชั่วพวกนางก็เป็นสมาชิกของศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องบนเชียวนะ
ความคิดของหงเซี่ยไม่ได้มีมากมายเหมือนเจ้าแห่งแคว้นหูท่านนี้ เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาต้องมีการพิจารณาและไตร่ตรองเป็นของตัวเองแน่นอน”
บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำบนภูเขาแห่งหนึ่งของใบถงทวีป
“เจ้าโจรเจียงไปขโมยขี้ไก่ที่ไหนอีกแล้ว?”
“เริ่มคิดถึงเปิงเลอะเจินจวินขึ้นมาบ้างแล้ว”
“ไม่มีเปิงเลอะเจินจวินคอยด่าเจ้าโจรเจียง ช่างเป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ”
“ได้ยินมาว่ามีเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งจากแจกันสมบัติทวีปที่ถึงกับได้เป็นอิ่นกวาน”
“อิ่นกวานคือขุนนางตำแหน่งอะไร? เป็นขุนนางอยู่ที่ไหน?”
“ถือเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว”
“โอ้โห ถ้าเจ้าโจรสุนัขเจียงเจอกับคนผู้นี้ จะไม่ต้องทุ่มชีวิตแก่ๆ สุดตัวเลยหรอกหรือ?”
“ก็เพราะว่าไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน ย่อมไม่มีทางมาคลุกคลีตีโมงกันได้”
“เป็นคนอย่าเอาแต่ด่าเจียงซ่างเจิน ควรจะทำความเข้าใจเรื่องของใต้หล้าบ้างไม่มากก็น้อย”
ริมหน้าผาสำนักซานไห่ ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมา แม่นางน้อยคนหนึ่งที่มีชื่อเล่นว่าเชิงฮวาเดินถือร่มอยู่ริมทะเลเพียงลำพัง มองไปยังผืนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
แม่นางน้อยทรุดตัวลงนั่งยอง คล้ายกับว่าหลบอยู่ในร่มกระดาษน้ำมัน เหม่อมองไปยังทิศไกล
ได้ฟังพี่หญิงชุ่ยพูดถึงหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง
ความชอบมากเป็นพิเศษที่ไม่ได้เปิดปากพูดออกไป ก็เหมือนซากวาฬที่จมลงน้ำไปอย่างเงียบเชียบ
อันที่จริงแม่นางน้อยไม่ค่อยเข้าใจนัก แค่ฟังแล้วรู้สึกเศร้านิดๆ
บนเรือข้ามฟากเฟิงยวน หมี่ลี่น้อย ไฉอู๋ ป๋ายเสวียน ซุนชุนหวัง สี่คนนี้ไม่เพียงแต่สนิทสนมกันมาก ยังเหมือนว่าจะมีความรู้ใจกันอย่างถึงที่สุด พอมีเวลาว่างจะต้องมาจับกลุ่มอยู่รวมกันที่ห้องของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา
สุราของไฉอู๋ ทุกวันนี้ก็เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่เป็นคนดูแล
เหมือนอย่างซุนชุนหวัง แม้ว่าในสายตาของป๋ายเสวียนแล้วนางยังคงเป็นแม่นางน้อยตาปลาตายอยู่เหมือนเดิม ทั้งยังไม่ชอบดื่มเหล้า แล้วก็ไม่เข้าใจการดื่มชา แต่เวลาว่างจากการฝึกกระบี่ก็มักจะมานั่งอยู่กับไฉอู๋ แต่อันที่จริงต่อให้มานั่งอยู่ด้วย นางก็ไม่กล้าคุยอะไรกับไฉอู๋ เว้นเสียจากว่ามีผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอยู่ด้วย ตาปลาตายถึงจะแทะเมล็ดแตง พอมีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นก็นั่งทื่อมะลื่ออยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนราวกับผีตัวหนึ่ง พูดน้อยยิ่งกว่าเจ้าใบ้น้อยที่ร้านยาสุ้ยเสียอีก
วันนี้คนทั้งสี่มารวมตัวกันอีกครั้ง ร่วมกันปรึกษาถึงงานใหญ่
ไม่ทันระวังก็คุยกันไปถึงการฝึกตนที่น่าเบื่อหน่าย ป๋ายเสวียนก็เริ่มใช้น้ำเสียงของผู้อาวุโสสั่งสอนไฉอู๋ที่ตอนนี้ขอบเขตต่ำสุดอีกครั้ง
ไฉอู๋ดื่มเหล้าไปอึกใหญ่ก็พูดอย่างมีเหตุผลว่า “อาจารย์เสี่ยวโม่กับเจ้าสำนักชุยต่างก็บอกกับข้าว่าไม่ต้องรีบร้อนฝ่าทะลุขอบเขต”
สายตาป๋ายเสวียนฉายแววเวทนา ดื่มชาโก่วฉี่หนึ่งอึก เอ่ยว่า “พืชพรรณอ่า นี่เป็นเพราะพวกเขาสองคนปลอบใจเจ้า เจ้าก็เชื่อจริงๆ ด้วยหรือ ขอบเขตสามของผู้ฝึกลมปราณ นอกจากขอบเขตเส้นเอ็นหลิวแล้ว อันที่จรงิยังมีคำเรียกอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าอะไร รู้หรือไม่?”
ช่วยตั้งฉายาให้กับไฉอู๋ พืชพรรณ มีนั่น ให้ไฉอู๋เลือกเอาเอง
ไฉอู๋ถามอย่างสงสัย “อะไรหรือ?”
ป๋ายเสวียนกลอกตามองบน “ยังไม่รีบขอความรู้จากผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของพวกเราอีก!”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “เหมือนจะเรียกว่าขอบเขตรั้งคน”
ป๋ายเสวียนรีบยกนิ้วโป้งให้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาทันที “ความรู้กว้างขวางลึกซึ้ง!”
หมี่ลี่น้อยเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ อันที่จริงไม่ได้น่าดีใจสักเท่าไร คำชมแบบนี้ปลอมเกินไปแล้วนะ
ไฉอู๋ยกชามเหล้าขึ้น จิบเหล้าหนึ่งอึก “ไม่รีบร้อน”
หลังจากแยกย้ายกัน หมี่ลี่น้อยก็เริ่มทำการ ‘ลาดตระเวนภูเขายามค่ำคืน’ อยู่บนเรือข้ามฟาก
ฉวยโอกาสที่รอบด้านไม่มีใคร ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาจึงแอบบิดขี้เกียจ วางคานหาบสีทองและไม้เท้าไผ่เขียวลง หยุดยืนนิ่ง กดลมปราณสู่จุดตันเถียน หลับตาลงครุ่นคิด จากนั้นก็ออกหมัดช้าๆ ร้องคำรามอยู่กับตัวเอง “หยิบเข็มหนึ่งเล่ม หมัดกวาดแถบใหญ่ ออกหมัดเหมือนลูกธนูออกจากสาย เก็บหมัดเหมือนกระบี่บิน...”
นี่คือวิชาหมัดล้ำเลิศอีกบทหนึ่งที่เผยเฉียนแอบสอนให้นางตามหลังวิชากระบี่มารคลั่ง
เผยเฉียนบอกแล้วว่าวิชาหมัดในใต้หล้านี้ นอกจากของอาจารย์พ่อนางที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วก็ยังมีอีกสองชนิด แล้วก็เผด็จการมากเหมือนกัน หนึ่งคือหมัดหวังปาที่เรียนเป็นด้วยตัวเอง และยังมีอีกหนึ่งคือพรรคสะพานฟ้า
หมี่ลี่น้อยเคยถามเผยเฉียนว่าอะไรคือพรรคสะพานฟ้า เผยเฉียนบอกแค่ว่านั่นคือพรรคใหญ่ในยุทธภพที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งหนึ่ง ออกหมัดก็หาเงินได้ เงินเหรียญทองแดงไหลพรวดๆ ลงมากองใหญ่เหมือนฝนตก เข้ามาอยู่ในชามบ้านตัวเอง…
หมี่อวี้ฟุบตัวอยู่บนราวรั้วของชั้นบน แอบมองหมี่ลี่น้อยตั้งใจฝึกหมัดอยู่ตรงนั้น
รอจนแม่นางน้อยชุดดำเก็บหมัดยืนนิ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที กลับมาแบกคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวใหม่อีกครั้ง เดินอาดๆ วนไปรอบเรือข้ามฟากรอบแล้วรอบเล่า
หมี่อวี้ถึงคลี่ยิ้มอบอุ่น ตะโกนเรียกเบาๆ “หมี่ลี่น้อย ทำอะไรน่ะ”
หมี่ลี่น้อยหันไปมองชั้นบน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “นอนไม่หลับก็เลยออกมาเดินเล่นส่งเดชน่ะ”
หมี่อวี้ดีดปลายเท้าหนึ่งที ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันบนราวรั้ว พลิ้วกายลงมาที่ดาดฟ้า สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินเล่นไปเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อย
หมี่ลี่น้อยเงยหน้าถาม “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ คิดถึงบ้านหรือ?”
หมี่อวี้ส่ายหน้ายิ้มตอบ “เปล่าสักหน่อย”
คนที่สามารถเรียกหมี่อวี้ว่าเซียนกระบี่ใหญ่ได้โดยที่เขาไม่โกรธก็มีแค่ใต้เท้าอิ่นกวานและหมี่ลี่น้อยแล้ว
แม่นางน้อยชุดดำยกไม้เท้าเดินป่าขึ้น ใช้หมัดเกาแก้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยแววขออภัย เอ่ยเสียงเบาว่า “เป็นข้าเสียงดังทำให้ท่านตื่นหรือ? วันหน้าเวลาเดินตอนกลางคืน ข้าจะเดินให้เบาหน่อยแล้วกันนะ”
หมี่อวี้รู้สึกเหมือนใจละลายอ่อนยวบไปหมดแล้ว เสียดายก็แต่หมี่ลี่น้อยไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของตน เขายิ้มจนตาหยี ส่ายหน้าตอบ “จะเป็นไปได้อย่างไร ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาเดินก้าวยาวๆ ได้ตามสบายเลย!”
หมี่ลี่น้อยหัวเราะหึหนึ่งที
หมี่อวี้นึกถึงเรื่องของป๋ายเสวียนขึ้นมาได้จึงยิ้มถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาเก่งเรื่องทายหมัดกับคนอื่นที่สุดเลยหรือ?”
หมี่ลี่น้อยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เปล่านะ เปล่านะ”
คิ้วเล็กสีเหลืองอ่อนจางทั้งสองข้างขมวดน้อยๆ ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาเริ่มสับสนแล้วว่าใครกันที่ข่าวสารว่องไวเป็นเทพรายงานข่าวเช่นนี้ แม้แต่เรื่องนี้ก็รู้ด้วยหรือ?
อันที่จริงมีครั้งหนึ่งนายท่านใหญ่ป๋ายเสวียนผู้นั้นบังเอิญเห็นหมี่ลี่น้อยเดินลาดตระเวนภูเขาไปจนถึงลำธารเส้นหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว แล้วไปทรุดตัวนั่งยองอยู่ริมน้ำ แหวกก้อนหินออก จับปูตัวหนึ่งขึ้นมาเล่นทายหมัดกัน
พอชนะแล้ว แม่นางน้อยชุดดำก็กระโดดโลดเต้นออกลาดตระเวนภูเขาต่อไป ไม่ลืมพูดพึมพำกับตัวเองด้วยว่า เฮ้อ กลุ้มนัก วันนี้คว้าชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาได้อีกแล้ว
ทำเอาป๋ายเสวียนหัวเราะขำจนเกือบลงไปกลิ้งกับพื้น กว่าจะกุมท้องกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
หมี่อวี้นับว่ามีคุณธรรม ไม่ได้ขายป๋ายเสวียนที่เป็นคนหลุดปากเล่าให้เขาฟัง เพราะถึงอย่างไรไอ้หมอนี่ก็น่าเวทนามากพออยู่แล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานรอคอยป๋ายเสวียนอยู่ที่ภูเขาเซียนตูแล้ว หากยังเพิ่มบัญชีนี้เข้าไปอีก บวกกับเผยเฉียนอีกคน…
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “ไม่ทายหมัด ถ้าอย่างนั้นก็ทายปริศนา?”
ว้าว
ดวงตาหมี่ลี่น้อยเป็นประกายจ้า นี่คือสุดยอดเคล็ดวิชาเฉพาะของตนเชียวนะ!
“อวี๋หมี่ ท่านลองเดาดู ใครกันที่มักจะหลงทางหาบ้านไม่เจอ”
“หา?”
“ฮ่า ก็กวางไงล่ะ” (กวางภาษาจีนอ่านว่าหมีลู่ ออกเสียงเหมือนหมีลู่ที่แปลว่าหลงทาง เพียงแต่เขียนกันคนละแบบ)
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“ถ้าอย่างนั้นตอนที่ลาดตระเวนภูเขาใครกันที่มักจะล้มเท้าแพลงเป็นประจำ”
“ขอข้าคิดดูก่อน ช่างเถอะ ดูเหมือนว่าจะคิดไม่ออก”
“คือจิ้งจอกอย่างไรล่ะ”
“…”
“เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ วันนี้เลิกเล่นก่อนดีกว่า ไม่เดาแล้วนะ ข้าจะเก็บปริศนาคำทายสองสามข้อที่เป็นสมบัติก้นกรุเอาไว้ วันหน้าจะเอาไว้ถามเจ้าขุนเขาคนดี เจ้าขุนเขาคนดีฉลาดกว่าท่านเล็กน้อย ทุกครั้งเขาคิดพักหนึ่งก็จะคิดคำตอบได้แล้ว”
“ถึงอย่างไรก็เป็นใต้เท้าอิ่นกวานนี่นะ”
“บางครั้งเจ้าขุนเขาคนดีใช้เวลาพักหนึ่งก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ต้องคิดสองพักสามพัก”
“ปริศนาก้นกรุของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ?”
“อันที่จริงข้ารู้ว่าเจ้าขุนเขาคนดีจงใจคิดนานสองสามพัก แต่ตอนนี้เจ้าขุนเขาคนดียังไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะ”
“ตกลง ข้าจะช่วยเก็บเป็นความลับให้”
แจกันสมบัติทวีป
เมื่อรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแพร่มาถึงแจกันสมบัติทวีป
ทั้งบนและล่างภูเขา ทั่วทั้งทวีปต่างสั่นสะเทือน
ที่แท้แจกันสมบัติทวีปของพวกเรามีกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ซิ่วหู่ อิ่นกวาน!
ลูกศิษย์คนหนึ่งของสกุลซูที่กลับมายังบ้านเกิด สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจรกับสหายร่วมชั้นเรียนสามสี่คนที่เพิ่งจะได้รู้จักกันไม่นาน ระยะทางไม่ไกล อยู่ในตัวจังหวัด
นอกจากจะเดินบนถนนทางหลวงของอำเภอและเขตต่างๆ แล้วก็ยังมีการเดินขึ้นเขาลงห้วย ค้นหาสถานที่เงียบสงบงดงาม คัดลอกตัวอักษรบนแผ่นสิลา ระหว่างทางเดินผ่านศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทั้งหลาย
เด็กหนุ่มแซ่ซูไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำพวกนั้นจะต้องเผยกายอย่างเงียบเชียบเพื่อคอยคุ้มกันเขาอย่างลับๆ เป็นช่วงระยะทางหนึ่ง กระทั่งพ้นจากเขตการปกครองของตัวเองถึงกลับไปที่ศาลของใครของมัน
เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงถูกปิดหูปิดตา ไม่รู้ว่าด้านหลังตัวเองมีโคมไฟสองดวงลอยอยู่ ซึ่งแต่ละดวงมีการลงชื่อที่ต่างกัน
ดวงหนึ่งคือเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว
ดวงหนึ่งคืออิ่นกวาน
นี่จึงเป็นเหตุให้ด้านหลังของลูกหลานสกุลซูผู้นี้มีมือกระบี่ชุดเขียวที่เรือนกายล่องลอย ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทอง แต่กลับหลับตาอยู่ตลอด อยู่ในท่าสะพายกระบี่
ประหนึ่งองค์เทพชั้นสูงสุดที่คอยให้การปกป้องเด็กหนุ่มอยู่เงียบๆ
ภูเขาชิงตู สำนักกระบี่ชิงผิง
คนชุดเขียวออกมาจากถ้ำสวรรค์เล็ก มายังยอดเขาจิ่งซิงของภูเขาโฉวโหมว เฉาฉิงหล่างผู้เป็นลูกศิษย์ปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่นี่
และในถ้ำสวรรค์ที่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมชั่วคราว ด้านนอกชั้นบนสุดของจวนเซียนสีชาดมีม่านฝนสีทองแขวนอยู่สามเส้น เส้นสายฝนทุกเส้นต่างก็เกิดจากตัวอักษรส่วนหนึ่งจากคัมภีร์สามลัทธิที่ร้อยเรียงต่อกัน
เฉินผิงอันมั่นใจแล้วว่าการไหลเวียนของปราณวิญญาณทั่วทั้งภูเขาโฉวเหมียวไม่มีปัญหาใดๆ ถึงพอจะวางใจได้บ้างเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังไม่จากไป ยังคงปักหลักอยู่ใต้ต้นสนโบราณนอกประตูจวนลับแห่งนั้น เอาสองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปไกล บอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ วสันต์ฤดูของอีกปีกำลังจะมาเยือน มีเพียงความเยาว์วัยที่จากไปแล้วไม่กลับมา
——