กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 910.2 เดินทางอย่างเสรี
ขยับเข้าใกล้ยอดเขา มีซากปรักจวนเซียนเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ มีการจัดวางตราผนึกขุนเขาสายน้ำหนาชั้น หน้าประตูยังมีหินกลมอีกสองลูก รูปร่างเหมือนกลองหินตามธรรมชาติ หากผู้ฝึกตนเคาะจะมีเสียงดัง แยกกันแกะสลักเป็นคำว่า ‘ระฆังเทพ’ กับ ‘รากเมฆ’
ในใจหวงจงโหวเกิดความระแวดระวัง เพราะนักพรตผู้นี้ดันบังเอิญมาเยือนที่แห่งนี้พอดี
ลู่เฉินมองกลองหินที่อยู่ตรงหน้าประตูแล้วถอนหายใจ รอยแกะสลักยังใหม่เอี่ยม เพียงแต่ว่าผู้คนเรื่องราวและร่องรอยความศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเซียนได้เป็นเหมือนเมฆและควันที่ลอยผ่านตาไปแล้ว
ล่างภูเขามีการบอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เรียกว่าด่านปี การบอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่ของบนภูเขาคือด่านใจ
ลืมไปแล้วว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์คนใดกล่าวไว้
น่าจะเป็นผินเต้าเองกระมัง
ลู่เฉินหันหน้ามายิ้มเอ่ย “สหายแห่งยอดเขาเกิงอวิ๋น แอบสะกดรอยตามผินเต้าอย่างลับๆ ล่อๆ มาตลอดทาง อยู่ในสถานที่ที่เรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบแห่งนี้ สหายคิดจะปล้นชิงทรัพย์สินกันหรือไร?”
หวงจงโหวเผยกาย เอ่ยว่า “สหายท่านนี้ ไม่สู้ติดตามข้าไปที่ภูเขาบรรพบุรุษของเมฆาเรือง ไปพบเจออาจารย์ข้าสักหน่อยดีไหม?”
เหวยลี่ผู้คุมกฎของภูเขาเมฆาเรืองก็คือผู้ถ่ายทอดมรรคาของหวงจงโหว
ลู่เฉินโบกมือ “ช่างเถิดๆ บรรพจารย์อวิ๋นเสียของพวกเจ้า ทุกวันนี้ไม่ได้อยู่บนภูเขา ผินเต้าก็ไม่มีคนรู้จักเก่าให้พูดคุยรำลึกความหลังกันแล้ว”
หวงจงโหวสะอึกอึ้งไปทันใด
เซียนผู้เฒ่าอวิ๋นเสียก็คือบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของภูเขาเมฆาเรือง แน่นอนว่าต้องสละร่างจากโลกนี้ไปนานหลายปีแล้ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนของเขาอาศัยการแตกกิ่งก้านสาขาของใครของมัน ถึงได้ทำให้มีสถานการณ์ยิ่งใหญ่อันดีงามที่เมฆาเรืองมีสิบหกยอดเขาอยู่ในแจกันสมบัติทวีปอย่างทุกวันนี้ได้
และการที่ภูเขาเมฆาเรืองมีวิชาเซียนใกล้เคียงกับพระธรรม นี่ก็เกี่ยวพันไปถึงเรื่องวงในอย่างหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวไกล เพราะต่างก็พูดกันว่าแท้จริงแล้วบรรพจารย์อวิ๋นเสียมีชาติกำเนิดจากวัดเสวียนคงแผ่นดินกลาง แต่กลับไม่ใช่ภิกษุ เป็นบุคคลพิเศษบางอย่าง
ลู่เฉินแสร้งทำมือเป็นท่ากำไม้เท้าจิ้มลงไปบนพื้นเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มู่ซ่างจั้ว (คำเรียกไม้เท้าที่ทำจากไม้) ใช่หรือไม่ใช่?”
หวงจงโหวไม่แน่ใจว่านักพรตผู้นี้แค่แสร้งมาทำเป็นเร้นลับซับซ้อนที่นี่หรือว่ามีเรื่องนี้แบบอยู่จริงๆ กันแน่
ลู่เฉินจุ๊ปาก “ดูจากท่าทางเลอะเลือนไม่เข้าใจของภิกษุจ้างเอ้ออย่างเจ้า ไม่เหมือนจะเสแสร้ง ดูท่าปีนั้นสหายอวิ๋นเสียของผินเต้าจะไม่สะดวกแพร่งพรายรากฐานมหามรรคาของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเองให้คนอื่นรู้ อันที่จริงนี่ก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องลำบากใจ ควรจะต้องเขียนตัวอักษรใหญ่น้ำหมึกเข้มๆ ลงไปในบทนำของทำเนียบศาลบรรพจารย์ภูเขาเมฆาเรืองพวกเจ้าถึงจะถูก”
ก่อนหน้าที่บรรพจารย์อวิ๋นเสียยังไม่ออกมาจากวัดเสวียนคง ลู่เฉินก็ยังไม่ได้ล่องเรือออกทะเล เคยได้เจอกับภิกษุเหลี่ยวหรานครั้งหนึ่ง มรรคกถากับพระธรรม ต่างคนต่างพูดของตัวเองไป แต่หากใช้คำพูดของลู่เฉินก็คือเป็นการพูดคุยที่ ‘เจินเหรินลัทธิเต๋าไม่ขาดพระธรรม มังกรคชสารของลัทธิพุทธก็รู้เต๋า’ น้ำชารสชาติเจือจางสองถ้วย พูดคุยกันอย่างถูกคอ
และร่างจริงของบรรพจารย์อวิ๋นเสีย ในอดีตก็คือไม้เท้าที่อยู่ในมือของเจ้าอาวาสวัดเสวียนคงนั่นเอง
ภิกษุเหลี่ยวหรานเคยใช้ ‘มู่ซ่างจั้ว’ ในมือตีไหล่ของลู่เฉินเบาๆ หนึ่งที
ลู่เฉินไม่หลบเลี่ยง ถือเป็นการมอบวาสนาในการเปิดสติปัญญาให้กับ ‘มู่ซ่างจั้ว’ ด้ามนั้น
นี่ถึงได้มีคดีลัทธิพุทธ ‘ไม้ฟาดจนลู่เฉินต้องออกจากประตูไป’ ในโลกยุคหลังของใต้หล้าไพศาล
ลู่เฉินยกมือขึ้นทำท่าแหงนหน้าดื่มเหล้า
หวงจงโหวลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังโยนเหล้าชุนคุ่นกาหนึ่งที่หลอมด้วยกรรมวิธีลับของภูเขาเมฆาเรืองไปให้
ลู่เฉินเปิดผนึกดิน สูดกลิ่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม ยิ้มจนตาหยี “เป็นเหล้าดีจริงๆ”
หวงจงโหวเอ่ย “ดื่มเหล้าแล้วก็รบกวนเจินเหรินไปที่ศาลบรรพจารย์ด้วยกันรอบหนึ่ง”
คราวก่อนคนต่างถิ่นที่บุกเข้าประตูภูเขามาผู้นั้น ตอนหลังได้ไปหาไช่จินเจี่ยนที่ยอดเขาลวี่กุ้ยจริงๆ หวงจงโหวถึงได้ไม่ตอแยเขาต่อ
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “ก็ดีเหมือนกัน ผินเต้าต้องการคุยธุระกับบรรพจารย์ลุงเจ้าขุนเขาของเจ้าสักหน่อย มีคนช่วยนำทาง ผินเต้าจะได้ไม่เป็นเหมือนแมลงวันไร้หัวพุ่งชนสะเปะสะปะ”
หวงจงโหวกล่าว “หวังว่าเจินเหรินจะทำตามที่พูด จะได้ไม่ทำลายความปรองดองที่มีต่อกัน”
ลู่เฉินเพียงยิ้มรับ ชี้ไปที่ประตูจวน ถามว่า “พื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่เหมาะจะนำมาทำเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมที่สุดแห่งนี้กลับต้องปิดประตูอยู่ตลอด ไม่เสียดายหรือ?”
หวงจงโหวอธิบาย “เจ้าขุนเขารุ่นที่สองเป็นคนปิดประตูด้วยตัวเอง ก่อนจะจากไปยังมีคำสั่งบอกไว้ว่า ในอนาคตหากผู้ฝึกตนของภูเขาเมฆาเรืองไม่มีใครเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ก็ห้ามเปิดประตูบานนี้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปฝึกตนในจวนลับแห่งนี้”
เรื่องนี้ไม่ถือเป็นความลับอะไรของสำนัก ผู้ฝึกตนทั้งทวีปล้วนรู้กันดี มีกองกำลังบนภูเขาจำนวนไม่น้อยที่ไม่ถูกกับภูเขาเมฆาเรืองมักจะชอบเอาเรื่องนี้มาพูดเหน็บแนม หัวเราะเยาะภูเขาเมฆาเรือง บอกว่าในจวนมีสมบัติพิทักษ์ภูเขาระดับขั้นอาวุธเซียนอยู่ชิ้นหนึ่ง แค่เปิดประตูก็จะกลายเป็นผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมในหนึ่งทวีป หรือไม่ก็พูดเสียดสีว่าอันที่จริงบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของภูเขาเมฆาเรืองพวกเจ้า เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานของแจกันสมบัติทวีปพวกเรามาตั้งนานแล้ว แต่กลับจงใจปิดด่านไม่ยอมออกมา ขอแค่บรรพจารย์ยินดีออกจากด่าน หมัดต่อยเท้าเตะ แม้แต่สำนักโองการเทพก็ยังสู้ไม่ได้
ลู่เฉินได้ยินก็สำลักเหล้าทันที ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดปาก ยิ้มเอ่ย “ช่างหลอกได้ทั้งอาจารย์และศิษย์ลูกศิษย์หลานจริงๆ แม้ว่าความตั้งใจจะดี แต่ความหวังดีนี้ก็หนีไม่พ้นหวังให้ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าพยายามให้มากขึ้น ตั้งใจฝึกตนให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ควรฝึกจนได้หยกดิบมาครอง ถึงเวลานั้นเมื่อประตูเปิดออก ยึดครองจวนแห่งนี้ตั้งใจฝึกตน ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซียนเหรินเพิ่มมาอีกคนหนึ่งก็เป็นได้”
หวงจงโหวเงียบไม่ต่อคำ
ลู่เฉินหยุดคิดไปพักหนึ่ง มือหนึ่งถือกาเหล้า มือหนึ่งทำมุทรา “ในเมื่อใครผูกก็ต้องแก้เอง ถ้าอย่างนั้นคนที่จะเปิดประตูก็ต้องเป็นคนที่ปิดมัน”
หวงจงโหวส่ายหน้า “หลังจากที่บรรพจารย์ท่านนั้นสละร่างจากไป ปีนั้นมีการไปตามหาตัวคนที่เขาไปจุติเกิดใหม่ที่นอกภูเขาจนเจอจริง แต่น่าเสียดายที่สติปัญญาของบรรพจารย์ยังไม่เปิดออก ตบะหยุดอยู่ที่ขอบเขตประตูมังกร เมื่อตายไปอีกครั้งก็ไม่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับเขาอีก”
ลู่เฉินพยักหน้า ไม่อนุมาน ‘ทางมาและทางออก’ ของบรรพจารย์รุ่นที่สองของภูเขาเมฆาเรืองท่านนั้นอีกต่อไป สะบัดมือ “วัวปั้นดินจมลงสู่ทะเล จะหาเจอได้อย่างไร”
การฝึกตนกลัวการไม่มีทางออกที่สุด ส่วนการเป็นคนทางที่ดีที่สุดควรมีทางมา
คำพูดโบราณบางอย่างที่บอกต่อกันปากต่อปากสามารถมีอายุได้ยาวนานยิ่งกว่าคนแก่ แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล ยกตัวอย่างเช่นบรรพบุรุษสะสมบุญกุศล ลูกหลานได้อาศัยร่มเงา
เวลานี้หวงจงโหวเริ่มเชื่อผู้ฝึกตน ‘หนุ่ม’ ที่อยู่ตรงหน้าบ้างแล้ว เกินครึ่งน่าจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่มรรคกถาลึกล้ำ อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับภูเขาเมฆาเรืองด้วย
ลู่เฉินหมุนตัวไปมองทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาลของยอดเขาเกิงอวิ๋น ดื่มเหล้าเงียบๆ สะสมบทกวีไว้ในท้องเยอะเกินไป จึงไม่รู้ควรว่าจะพลิกเอาบทไหนคำไหนออกมาให้สหายที่อยู่ข้างกายได้เปิดหูเปิดตาดี
หวงจงโหวกลับเข้าใจผิดคิดว่านักพรตต่างถิ่นที่มีคาถาคงความเยาว์วัยหวนกลับคืนสู่ความจริงผู้นี้กำลังเสียใจที่กลับมาเยือนที่เดิมแต่กลับไม่ได้พบคนรู้จักในวันวานแล้ว
ลู่เฉินโยนกาเหล้าว่างเปล่าทิ้งไปนอกหน้าผา พอยกมือขึ้นอีกครั้ง หวงจงโหจวที่อยู่ด้านข้างก็มองไปยังทะเลเมฆงดงามตระการตาที่ลอยผ่านสันเขาของยอดเขาเกิงอวิ๋นบ้านตัวเองเช่นกัน ได้ยินสหายผู้นั้นกระแอมสองสามที ถึงได้สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายยังค้างมืออยู่ในท่านั้น หวงจงโหวจึงได้แต่โยนเหล้าชุนคุ่นไปให้อีกกา คงไม่ใช่ว่าเจอนักต้มตุ๋นที่มาหลอกดื่มเหล้าเปล่าๆ เข้าจริงๆ หรอกนะ?
ลู่เฉินกล่าว “หลายคนไม่ดื่มเหล้าเพียงแค่เพราะว่าพวกเขาไม่ชอบดื่มเหล้า หลายคนไม่ดื่มเหล้ากลับเพราะว่าพวกเขาไม่เคยดื่มเหล้า”
หวงจงโหวพยักหน้า เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
สงครามดุเดือดที่ขุนเขาสายน้ำครึ่งทวีปจมดิ่งก่อนหน้านี้ทำให้คนหลายคนที่เดิมทีไม่ดื่มเหล้าเริ่มหันมาดื่ม และยิ่งทำให้คนที่ชอบดื่มเหล้าไม่ดื่มเหล้าอีกต่อไป
ลู่เฉินพยักหน้าตามไปด้วย แกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ เป็นสหายร่วมดื่มสุราที่ไม่เลวจริงๆ เสียด้วย
สายตาในการเลือกคนของใต้เท้าอิ่นกวานไม่เลวมาโดยตลอด
ไม่เสียแรงที่ผินเต้าตรากตรำเหน็ดเหนื่อยเดินทางมาเยือนภูเขาเมฆาเรือง
หวงจงโหวใคร่ครวญถ้อยคำเหมาะๆ อยู่ในใจ ก่อนถามว่า “เจินเหรินมาเยือนที่แห่งนี้เพื่อมาช่วยขจัดทุกข์ให้ภูเขาเมฆาเรืองพวกเราหรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้า “แน่นอน หนึ่งเพราะผินเต้ามีความสัมพันธ์เก่าก่อนกับภูเขาเมฆาเรืองของพวกเจ้า ผินเต้าเป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวาน สองเพราะมีคนเชิญให้ผินเต้าออกมาจากภูเขาเพื่อที่จะได้ช่วยให้ภูเขาเมฆาเรืองผ่านด่านยากไปได้ สองอย่างรวมกัน จึงจำต้องมา”
หวงจงโหวถามหยั่งเชิง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุให้เจินเหรินถึงไม่ไปหาเจ้าขุนเขาของพวกเราโดยตรง?”
ลู่เฉินหลุดหัวเราะพรืด “ยอดฝีมือที่ขอบเขตสูงทะลุชั้นเมฆ จิตใจแจ่มกระจ่างเหมือนจันทราบนฟ้าเช่นผินเต้า ทำอะไรจะใช้หลักการเหตุผลทั่วไปมาวัดได้อย่างไร?”
เดิมทีได้มองอีกฝ่ายเป็นเทพเซียนพสุธาที่ออกมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์แล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายพูดอย่างนี้ หวงจงโหวจึงเริ่มไม่มั่นใจแล้ว
ลู่เฉินรู้สึกว่ากำลังไฟพอสมควรแล้วจึงยกกาเหล้าขึ้น ชี้ไปยังประตูจวนที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยประโยคหนึ่งที่ถือว่าเป็นการแพร่งพรายความลับสวรรค์ให้กับหวงจงโหว
“จวนแห่งนี้ สำหรับภูเขาเมฆาเรืองของพวกเจ้าแล้ว อันที่จริงก็คือค่ายกลที่ ‘เฝ้าเองขโมยเอง’ ขอแค่เปิดประตู ภูเขาเมฆาเรืองก็จะได้ทั้งขจัดภัยแฝง ทั้งยังได้รับมรดกที่มากมหาศาลก้อนหนึ่ง โชคชะตาที่สะสมไว้ปีแล้วปีเล่า เมื่อเปิดประตูบานนี้ออก หวงจงโหว เจ้าลองจินตนาการดูเถิดว่ามันจะเป็นโชคชะตาขุนเขาสายน้ำที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด? เรื่องเดียวที่ภูเขาเมฆาเรืองต้องทำต่อจากนี้ก็คือจัดวางค่ายกลกักปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นเหมือนน้ำทะลักท่วมทำนบนี้ไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นปราณวิญญาณที่เป็นเหมือนน้ำขึ้นจะซัดกระแทกให้ผู้ฝึกตนในสิบกว่ายอดเขาสลบไปทันที นั่นก็จะกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าแล้ว”
หวงจงโหวมีสีหน้าเหลือเชื่อ ไม่กล้าเชื่อในคำกล่าวนี้ ง่าย…ขนาดนี้จริงๆ หรือ?!
ว่ากันว่าจากการอนุมานบนมหามรรคาในศาลบรรพจารย์บ้านตนก่อนหน้านี้ คิดจะคลี่คลายสถานการณ์อับจนที่ใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ได้ ก็หนีไม่พ้นต้องลงมือจากสามด้าน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นสองด้านในนั้น
อันดับแรกคือต้องการผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่ง นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมหลายปีมานี้เจ้าขุนเขาถึงปิดด่านพยายามหาวิธีฝ่าทะลุคอขวดอยู่ตลอด
สองคือภูเขาเมฆาเรืองสามารถกระโดดเลื่อนขั้นเป็นสำนัก ถูกศาลบุ๋น ‘แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ’ ก็จะได้รับโชควาสนาส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะยังรักษาที่ปลายเหตุไม่ได้รักษาต้นเหตุ แต่ก็สามารถชะลอไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปยิ่งกว่าเดิม
สุดท้ายคือต้องการสมบัติหนักชิ้นหนึ่งที่อย่างน้อยต้องเป็นอาวุธกึ่งเซียนซึ่งสามารถรวบรวมและสร้างความมั่นคงให้กับปราณวิญญาณฟ้าดินได้
คนสามัคคี ฟ้าอำนวย ดินอวยพร หากว่ามีครบทั้งสามอย่าง แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด แต่ดูจากตอนนี้ ในระยะเวลาสั้นๆ ภูเขาเมฆาเรืองก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมิอาจทำสำเร็จ
พูดถึงแค่สงครามใหญ่ที่ผ่านพ้นไป ทุกวันนี้อาวุธกึ่งเซียนขายในราคาสูงลิบลิ่วจนแทบจะเท่ากับอาวุธเซียนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติล้ำค่า ‘พิทักษ์ภูเขา’ ที่ไม่ใช่ประเภทของการโจมตี เมื่อก่อนราคายังถูกหน่อย ทว่าทุกวันนี้กลับยิ่งล้ำค่าหายากมากขึ้นในใต้หล้าไพศาล
ภูเขาเมฆาเรืองไหว้วานคนไปทั่ว ไปถามเรื่องนี้ที่ทวีปอื่น ผลคือต้องเจอกับอุปสรรคทุกครั้ง แทบจะได้คำตอบเพียงอย่างเดียว มีก็ไม่ขาย!
และนี่ก็คือเหตุผลที่ภูเขาเมฆาเรืองไม่ยอมจ่ายเงินซื้อมาเสียที ไม่อย่างนั้นเมื่อต้องหุบหม้อขายเหล็กเก็บหอมรอมริบบวกกับหยิบยืมจากคนอื่นก็พอจะซื้ออาวุธกึ่งเซียนได้ชิ้นหนึ่งแล้ว
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “อันที่จริงคนบางคนได้บอกวิธีคลี่คลายสถานการณ์ให้กับภูเขาเมฆาเรืองของพวกเจ้าโดยผ่านการเตือนไช่จินเจี่ยนมานานแล้ว เพียงแต่ว่าตัวไช่จินเจี่ยนเองถูกปิดหูปิดตา คาดว่าต่อให้ได้ยินการบอกเป็นนัยบางอย่าง นางก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ พวกเจ้าที่เป็นคนนอกก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่รู้วิธีการ จึงไม่อาจลงมือทำ ถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ได้ครอบครองภูเขาเงินภูเขาทองแต่กลับเกือบจะต้องหิวตายเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคนผู้นั้นจงใจอยากเห็นเรื่องตลกของพวกเจ้า เพียงแต่ว่ารากฐานมรรคกถาของภูเขาเมฆาเรืองใกล้เคียงกับพระธรรม แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่อาจทำในสิ่งที่เกินความจำเป็นนี้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการวาดงูเติมขา เท่ากับว่าคลายปมแล้วผูกปมขึ้นมาอีก ชักช้าอืดอาด ใช้หนี้แล้วยังต้องติดหนี้อีก กลับจะกลายเป็นว่าไม่ดี”
หวงจงโหวประสานมือคารวะ “ขอเจินเหรินโปรดบอกให้แน่ชัดด้วย!”
เขาก็ยังไม่เชื่อว่าการเปิดประตูยอดเขาฝูปิ้นจะทำให้ตลอดทั้งภูเขาเมฆาเรืองขจัดทุกความกังวลไปได้
นอกจากนี้เรื่องที่ผู้ฝึกตนละเมิดคำสั่งของบรรพจารย์ ไม่ถือเป็นเรื่องเล็กของบนภูเขาเลย
ลู่เฉินทอดถอนใจหนึ่งที สหายหวงผู้นี้มีนิสัยตรงไปตรงมา ขอเหล้าก็ให้เหล้า อีกทั้งให้ทียังให้มาถึงสองกา น่าเสียดายสมองที่ค่อนข้างจะ…ถูกเหล้าทำให้เลอะเลือนไปแล้ว
ลู่เฉินได้แต่อธิบายอย่างอดทน “ในอดีตไม่ใช่ว่าไช่จินเจี่ยนมีโชควาสนาเลิศล้ำ ได้รับคำทำนายจากยอดฝีมือว่า ‘พังก่อนแล้วค่อยหยัดยืนขึ้นใหม่ ประหนึ่งมีเทพช่วย’ หรอกหรือ? พังคืออะไร? เทพที่ว่าหมายถึงใคร? ก็หนีไม่พ้นการพังประตูเข้าไปที่เรียบง่ายที่สุด คนที่บอกว่าเป็น ‘ประหนึ่งเทพช่วย’ แน่นอนว่าก็คืออาจารย์ฉีอริยะแห่งลัทธิขงจื๊อของถ้ำสวรรค์หลีจูไงล่ะ ในอดีตใครที่เอ่ยคำทำนายนี้ ไม่ใช่โจวจื่อแล้วยังจะเป็นใครได้อีก ทั้งปริศนาและคำตอบล้วนให้มาพร้อมกันหมด พวกเจ้ายังจะคาดหวังให้โจวจื่อกดหัวพวกเจ้ามาตะโกนให้ฟังดังๆ ข้างหูอีกหรือ?”
ตอนที่หวงจงโหวฟังคำพูดของนักพรต เขาค้อมเอวก้มหัวอยู่ตลอดเวลา
รอกระทั่งนักพรตไม่เอ่ยอะไรอีก หวงจงโหวถึงได้ยืดเอวขึ้นตรง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ตัดสินใจเด็ดขาดว่าวันหน้าจะไปหาเจ้าขุนเขาแล้วพูดถึงเรื่องนี้ หากว่าเจ้าขุนเขาไม่กล้าเปิดประตู เขาจะเป็นคนเปิดเอง!
ลางสังหรณ์ทำให้หวงจงโหวเชื่อว่าคำพูดประโยคนี้ของนักพรตไม่ใช่คำล้อเล่น ยิ่งไม่ใช่การกระทำที่มีจิตใจชั่วร้ายหวังทำร้ายภูเขาเมฆาเรือง
ต่อให้เจ้าขุนเขาและอาจารย์ล้วนคัดค้าน ถึงเวลานั้นหวงจงโหวก็จะแค่หาวันฤกษ์งามยามดี อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปจุดธูปคารวะที่ศาลบรรพจารย์ ให้คำสัตย์สาบาน บอกกล่าวแก่เหล่าบรรพจารย์แต่ละยุคสมัยว่า หากเรื่องนี้ผิดพลาด ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ข้าหวงจงโหวจะแบกรับไว้คนเดียว
ลู่เฉินพยักหน้า ก่อนจะเริ่มยกหางตัวเองอีกครั้ง “เป็นผีขี้เหล้าที่ดี มิน่าเล่าถึงสามารถทำให้ลูกศิษย์ครึ่งตัวที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของผินเต้าอยากดื่มเหล้ากับเจ้าสักครั้งได้”
หวงจงโหวยิ้มเอ่ย “แม้จะพูดเช่นนี้ ผู้เยาว์รู้สึกซาบซึ้งใจต่อเจินเหรินยิ่งนัก เพียงแต่ว่ามีกฎเกณฑ์อยู่ ยังต้องขอเชิญให้เจินเหรินไปที่ศาลบรรพจารย์ด้วยกันสักรอบ”
ลู่เฉินจุ๊ปาก “เจ้าตัวดี ฉลาดเป็นกรดเชียวนะ ต้องมีความหวังบนมหามรรคาแน่นอน ผินเต้าทิ้งคำพูดไว้ที่นี่เลย น้ำลายหนึ่งฟองตะปูหนึ่งดอก!”
หวงจงโหวรู้สึกละอายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจินเหรินท่านนี้จริงใจกับตนถึงเพียงนี้ แต่ตนกลับใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชน จะต้องให้เจ้าขุนเขาตรวจสอบสถานะของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดให้จงได้
ลู่เฉินอยากจะลูบหนวดยิ้ม อ้อ ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอายุน้อย ไม่มีของเล่นอย่างหนวดเครา ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ที่แม้จะแก่ชราแต่ก็ยังแข็งแรง จึงนวดคลึงปลายคางแทน “ผินเต้าเป็นวิญญูชนเจินเหริน เจินเหรินระมัดระวัง วิญญูชนใจกว้าง”
หวงจงโหวไม่รู้ว่าควรจะพูดตอบโต้ว่าอย่างไร
ลู่เฉินกระทืบเท้าเบาๆ หัวเราะหึหึ “อย่าได้รู้สึกว่าสร้างค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาสกัดปราณวิญญาณที่พรั่งพรูออกไปข้างนอกจะเป็นเรื่องง่าย หากยอดเขาฝูปิ้นเปิดประตูจวนออก พลานุภาพจะไม่เล็ก เทียบเท่ากับเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งถามกระบี่กับภูเขาเมฆาเรืองอย่างส่งเดชเลยทีเดียว หากไม่ทันระวัง ยอดเขาฝูปิ้นก็จะแหลกสลายคาที่ นี่ก็เท่ากับการถามกระบี่ครั้งที่สองแล้ว เศษหินปลิวกระจาย กระบี่บินเหมือนสายฝน สิบห้ายอดเขาที่เหลือของภูเขาเมฆาเรือง สุดท้ายจะเหลือภูเขาที่เหมาะแก่การฝึกตนอีกกี่ลูก ขอผินเต้านับนิ้วคำนวณสักหน่อย อืม ไม่เลว เหลืออยู่เกินครึ่ง เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในถ้ำสถิตแห่งนี้มานานหลายปี เจ็ดแปดในสิบส่วนก็จะกลายเป็นการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นแล้ว คาดว่าในเวลาแค่ไม่กี่ปี ในรัศมีหมื่นลี้รอบด้านภูเขาเมฆาเรืองของพวกเจ้า ภูเขาตระกูลเซียนน้อยใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้าน และยังมีแคว้นหวงเหลียงที่เคยฝันสลายก็คงต้องมอบกรอบป้ายอักษรทองคำว่า ‘ยุติธรรมไม่เห็นแก่ตัว’ ให้กับพวกเจ้าอย่างจริงใจเพื่อแสดงถึงการขอบคุณแล้ว”