กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 911.2 หวนกลับมาที่เดิมเหมือนได้เปิดอ่านตำรา
ราวกับคาดเดาไว้ได้ล่วงหน้านานแล้วว่าต้องมีวันนี้ จึงบอกไว้ว่าหากเขาไม่อยู่บนภูเขาพอดี แล้วเทพวารีอวี้เจี้ยนผู้นั้นมาหาเฉินหลิงจวินอีก หากว่ามาแค่ดื่มเหล้าจริงๆ ก็ดีมาก ก็ให้เฉินหลิงจวินพาเขามาเดินเล่นที่ภูเขาลั่วพั่ว แล้วค่อยไปดื่มเหล้าที่ภูเขาพีอวิ๋นสักมื้อก็ยังไม่เป็นปัญหา ให้จูเหลี่ยนบอกกล่าวกับเว่ยป้อสักหน่อย บอกไปว่าตนรับปากเฉินหลิงจวินเอาไว้ แต่หากว่าจะมาขอให้เฉินหลิงจวินช่วยเหลืออีก ถ้าอย่างนั้นหลังจากส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมาให้ที่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว จูเหลี่ยนต้องแจ้งให้เว่ยป้อทราบทันที รบกวนเว่ยซานจวินช่วยไปดักรอให้หน่อย หากช่วยได้ก็พยายามช่วย หากจำเป็นต้องหักเป็นเงินเทพเซียนก็ไม่ต้องเกรงใจภูเขาลั่วพั่ว ถือเสียว่าพี่น้องแท้ๆ ก็ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน
แต่ช่วยเตือนเทพวารีอวี้เจียงผู้นั้นให้ดีสักคำว่า ห้ามให้มีคราวหน้าอีก
เว่ยป้อถามอย่างใคร่รู้ “หากวันนี้เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไม่เอ่ยเช่นนี้ เฉินผิงอันจะเลี้ยงเหล้าเขาบนภูเขาจริงหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าจะเป็นยังไง? คุณชายของข้า อันที่จริงรักและตามใจนายท่านใหญ่เฉินผู้นี้จนแทบจะบินขึ้นฟ้าแล้ว ในเมื่อเฉินหลิงจวินโง่ คุณชายก็ได้แต่ทำเป็นโง่ตามไปด้วย”
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่จงใจว่างเว้นตำแหน่งผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของภูเขาลั่วพั่วไว้นานหลายปี
พูดถึงแค่การเดินลงน้ำที่ลำน้ำใหญ่ในอุตรกุรุทวีปของเฉินหลิงจวิน ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจของคุณชายไปกี่มากน้อย? หากใช้คำพูดของชุยตงซานก็คือตรงไหนมีห้องส้วมอยู่ก็แทบจะระบุพิกัดไว้ให้อย่างละเอียดด้วยแล้ว
จูเหลี่ยนยกมือขึ้น เป่าลมใส่มือเบาๆ ยิ้มถาม “ขอให้ช่วยเรื่องอะไรหรือ?”
เว่ยป้อกระตุกมุมปาก พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังดีที่ไม่ได้เป็นสิงโตอ้าปากกว้าง แค่ว่าการประเมินสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำครั้งนี้ ทางฝั่งจวนเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียง เดิมทีได้อันดับ ‘สามบน’ ข้าก็ช่วยยกระดับให้ขั้นหนึ่งจนเป็น ‘สองล่าง’ แล้ว”
จวนวารีกงโหวสองแห่งในอาณาเขตของห้าขุนเขาและลำน้ำใหญ่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ถึงจะมีคุณสมบัติรับการประเมินขุนเขาสายน้ำที่สิบปีจะมีหนึ่งครั้ง เป็นการประเมินที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขุนเขาสายน้ำฝ่ายต่างๆ และเทพอภิบาลเมืองระดับต่างๆ ในเขตการปกครองของตัวเอง มีการประเมินทั้งหมดสามระดับคือหนึ่งสองสาม ระดับหนึ่งบนนั้นไม่มีลุ้น อันที่จริงก็แค่มีไว้ให้พอเป็นพิธีเท่านั้น เว้นเสียจากว่ามีคุณความชอบยิ่งใหญ่มาก โดยทั่วไปก็ไม่มีทางได้รับคำประเมินเช่นนี้ อันดับหนึ่งล่าง สามารถเลื่อนขั้นได้อีกระดับ เป็นเหตุให้ระดับหนึ่งกลางก็สามารถกระโดดข้ามขั้นได้
โดยทั่วไปแล้วราชสำนักต้าหลีจะรับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบเท่านั้น จะไม่คัดค้านผลการประเมินใดๆ เว้นเสียจากได้คำประเมินเป็น ‘หนึ่งบน’ ที่จำเป็นต้องให้ฮ่องเต้ออกราชโองการเรียกประชุมขุนนาง หากมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำได้รับการประเมินหนึ่งกลาง จะมีการเสนอระเบียบวาระในห้องทรงพระอักษรหลังจากเลิกการประชุมในท้องพระโรง ส่วนหนึ่งล่าง จำเป็นต้องให้รองเจ้ากรมพิธีการที่ดูแลทำเนียบขุนเขาสายน้ำโดยเฉพาะติดต่อไปยังซานจวินห้ามหาบรรพต หรือจวนกงโหวลำน้ำใหญ่เป็นการส่วนตัวก็พอ
จูเหลี่ยนจุ๊ปาก “นี่ยังถือว่าช่วยเหลือเป็นน้ำใจเล็กน้อยอีกหรือ? ตามกฎของขุนเขาสายน้ำต้าหลี หากถูกประเมินอยู่เป็น ‘อันดับสาม’ ก็ต้องแบกรับผลที่ตามมาเอาเองแล้ว”
หากเป็นอันดับสามล่างซึ่งเป็นระดับสุดท้ายก็จะหลุดจากตำแหน่งเทพไปโดยตรง อันดับสามกลาง ร่างทองจะถูกลดระดับขั้นหนึ่งขั้น สามบน ระดับขั้นไม่เปลี่ยน แต่นอกจากจะถูกลงโทษสถานเบาและรอดูพฤติกรรมในภายหลังแล้ว หากการประเมินครั้งถัดไปยังไม่ได้ถึงระดับสองกลาง ต่อให้เป็นสองล่างก็ยังต้องถูกลดระดับตำแหน่งเทพอยู่ดี
เชื่อว่านี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงถึงได้กล้ามาหาเฉินหลิงจวินถึงภูเขาลั่วพั่ว
ไม่อย่างนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ อย่าว่าแต่เทพวารีขั้นห้าชั้นโทของแคว้นเล็กๆ ใต้อาณัติของต้าหลีเลย ต่อให้อยู่อันดับสูงอย่างขั้นสามชั้นเอก ขอแค่ไม่ได้สะสมความสัมพันธ์ควันธูปไว้ในอดีต ใครก็ไม่กล้ารับประกันว่ามาถึงหน้าประตูภูเขาลั่วพั่วแล้วจะเดินขึ้นเขามาได้
นี่จึงเป็นเหตุให้ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ภูเขาลั่วพั่วแห่งหนึ่ง สมาชิกทำเนียบรวมกันมีอยู่เท่านั้น เจ้าอยากให้ใครมาเป็นคนรับรองแขกเล่า? จะเป็นเจ้าขุนเขาที่เป็นเซียนกระบี่หนุ่มของภูเขาลั่วพั่ว? หรือจะให้เป็นเฉินผิงอันอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ดีล่ะ?!
เว่ยป้อยิ้มเอ่ย “อันที่จริงข้าก็แค่ให้เวลาแม่น้ำอวี้เจียงเพิ่มอีกสิบปี หากว่าการประเมินใหญ่ครั้งหน้ายังไม่ได้ ‘สองกลาง’ ถ้าอย่างนั้นกองการประเมินขุนเขาเหนือของข้าก็คงต้องคิดทั้งบัญชีเก่าและบัญชีใหม่รวมกันแล้ว”
“แม้ว่าข้าจะไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่เจ้าหมอนั่นกลับฟังเข้าใจ ถึงอย่างไรด้วยรากฐานของแม่น้ำอวี้เจียง หากตั้งใจสักหน่อย จากนั้นเอาทรัพย์สินออกมาจากคลังสมบัติอีกเล็กน้อย ทุ่มเงินเทพเซียนให้กับแม่น้ำอวี้เจียงและแม่น้ำสาขาแยกมากหน่อย ได้ระดับสองกลางก็ไม่ได้ยากเกินไป แล้วนับประสาอะไรกับที่หากได้อันดับสองกลางมาจริงๆ ยังจะได้รับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองก้อนหนึ่งที่ฝ่ายมอบรางวัลและลงโทษนำไปมอบให้ เงินก้อนนี้คิดให้ชัดเจนได้ง่ายมาก แม่น้ำอวี้เจียงขาดทุนไม่มากหรอก”
จูเหลี่ยนเอ่ยสัพยอก “อย่างอื่นไม่พูดถึง พูดถึงแค่เรื่องที่ทำให้ใต้เท้าซานจวินของพวกเราออกหน้าไปขวางทางด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการโน้มน้าวด้วยคำพูดดี หรือการพูดกระทบกระเทียบ ก็กลายเป็นเรื่องเล่างดงามบนโต๊ะสุราที่จ่ายเงินกี่มากน้อยก็ซื้อหามาไม่ได้”
เว่ยป้อมองไปทางประตูภูเขาแวบหนึ่ง อดไม่ไหวถามว่า “เจ้าว่านายท่านใหญ่เฉินของพวกเราจะคาดเดาถึงความวกวนอ้อมค้อมในเรื่องนี้ออกหรือไม่?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เขาน่ะมันคนโง่ของแท้ เดาไม่ออกหรอก ไม่มีทางคิดไปถึงทางนี้เลย”
เว่ยป้อพยักหน้ายิ้มรับ “หากมีมันสมองเช่นนั้นจริงๆ ป่านนี้ก็คงเป็นขอบเขตหยกดิบไปนานแล้ว หางจะไม่ชี้ขึ้นฟ้าเลยหรือ”
ถึงอย่างไรจูเหลี่ยนก็ยังเข้าข้างคนกันเอง “นับว่ายังดี”
เว่ยป้ออดไม่ไหวถามอีก “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ สรุปแล้วเฉินหลิงจวินคิดอย่างไรกันแน่ ต่อให้จะโง่แค่ไหนก็น่าจะพอรู้ได้บ้าง สรุปว่าเขาโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่?”
จูเหลี่ยนยิ้มไม่ตอบ
พ่อครัวเฒ่าเพียงแค่นั่งอยู่บนขั้นบันได สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
เมฆก่อเกิดร่องลึกใหญ่ดินแดนไร้คน ค้นหาพิศมองเรื่องราวมากมายจึงร่ายออกมาได้เป็นผลงาน
เว่ยป้อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “กลอนคู่ที่ภูเขาลั่วพั่วมอบไปให้ ทางฝั่งของวัดกว่างฝูชื่นชอบมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเอาไปแขวนคู่ไว้กับกลอนคู่ที่วัดเสวียนคงของแผ่นดินกลางมอบให้หรอก”
จูเหลี่ยนหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
วัดพุทธที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นอักษรจงของแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้นมีมังกรคชสารลัทธิพุทธที่ชื่อเสียงคุณธรรมสูงส่งอยู่คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะจัดงานฉลองการเลื่อนขั้นไป
ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไหว้วานคนให้มาหาเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น จากนั้นจึงมาหาภูเขาลั่วพั่วอีกที ด้วยค่อนข้างจะฉุกละหุก ไม่อาจรั้งรอได้นาน เว่ยป้อจึงให้จูเหลี่ยนทำหน้าที่แทน มอบกลอนคู่บทหนึ่งไปให้
เดิมทีจูเหลี่ยนอยากจะส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังภูเขาเซียนตู ตามเหตุตามผลแล้วเรื่องนี้ควรต้องให้เจ้าขุนเขาเป็นคนเขียนด้วยตัวเอง เพียงแต่เวลากระชั้นชิดไม่ทันกาลจริงๆ จึงได้แต่เลียนแบบลายมือของคุณชายตัวเอง อีกทั้งคุณชายยังตั้งใจทิ้งตราประทับส่วนตัวคำว่า ‘เฉินผิงอัน’ ไว้ที่เรือนไม้ไผ่ เดิมก็ให้จูเหลี่ยนเอามาใช้ได้ตามสบายอยู่แล้ว เมื่อเขียนกลอนคู่บทนั้นเสร็จ เขาจึงประทับตราส่วนตัวลงไป แล้วให้เว่ยป้อนำไปส่งที่วัดพุทธ ส่วนภิกษุเฒ่าที่เพิ่งจะมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสก็มีพระธรรมที่ลึกซึ้ง ทั้งยังมีพจนะพุทธสองคำว่าเก็บเมฆและปล่อยพยัคฆ์อยู่ด้วย
เก็บเมฆเติมเสื้อคลุม ปล่อยพยัคฆ์กลับภูเขา ขนบธรรมเนียมสำนักดุจมังกร เห็นจิตดั้งเดิมบรรลุธรรม
ขึ้นนั่งบัลลังธรรม ดุจสิงโตคำราม ห้องมืดพันปี ตะเกียงหนึ่งดวงก็สว่างไสว
เว่ยป้อเตรียมจะกลับไปยังภูเขาพีอวิ๋น หากจะบอกว่าหนังสือราชการกองเป็นภูเขามากดุจน้ำในมหาสมุทรก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
คิดไม่ถึงว่าคำพูดบางคำของจูเหลี่ยนจะไม่เพียงแต่ทำให้เว่ยป้อหยุดเท้า ยังนั่งลงบนบันไดด้วย
“คนบางคนอ่านหนังสือ ชอบอ่านย้อนหลังกลับ”
จูเหลี่ยนเท้าคางด้วยสองมือ ยิ้มตาหยี เอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินหลิงจวินเป็นเช่นนั้น เจ้าเว่ยป้อก็ใช่ เพียงแต่ว่าเนื้อหาที่พวกเจ้าเปิดอ่านไม่เหมือนกันก็เท่านั้น”
“อีกทั้งตอนที่เลือกอ่านหนังสือหน้าเก่า พวกเราต่างก็ชอบบทที่ตัวอักษรไพเราะงดงามที่สุด”
“ดังนั้นต่อให้วันเวลาแปรเปลี่ยน วัตถุคงเดิมแต่คนเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ แต่จะเป็นอะไรไปเล่า”
……
แสงสนธยาทอดทับขุนเขาตระหง่านยาวไกล สายฝนพร่างพรมสายลมอ่อนบางเมฆเจือจาง
ยอดเขาเขียวหลายยอดบ้านตนตระหง่านพ้นเมฆออกมา
สำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ย้ายออกมาจากอาณาเขตฉู่โจวอย่างสมบูรณ์แล้ว สวี่เสี่ยวเฉียวพาลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่รับมาใหม่อีกสองคนออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกด้วยกัน เซี่ยหลิงอยู่ในช่วงปิดด่าน
เป็นเหตุให้เจ้าสำนักคนปัจจุบันอย่างหลิวเสี้ยนหยางอุตส่าห์พาแม่นางอวี๋กลับมาเยือนสำนักอย่างที่หาได้ยาก ผลกลับได้เจอแค่ศิษย์พี่ใหญ่ต่งกู่เพียงคนเดียว เขากำลังถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับลูกศิษย์ของลูกศิษย์กลุ่มหนึ่ง
ปีนั้นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อกลุ่มที่ขึ้นเขามาช้ากว่าพวกต่งกู่ สวีเสี่ยวเฉียวเล็กน้อย เจ้าสำนักคนก่อนมิอาจรั้งตัวอ่อนเซียนกระบี่เหล่านั้นไว้ได้ คนที่กลายเป็นลูกศิษย์เข้าสำนักของหร่วนฉงอย่างแท้จริงกลับกลายเป็นคนที่คุณสมบัติค่อนข้างแย่ ในบรรดานั้นก็มีสองคนที่เป็นนักโทษอาญาชาวบ้านพลัดถิ่นของสกุลหลู เพียงแต่ว่าเด็กน้อยในปีนั้น ทุกวันนี้ได้กลายเป็นอาจารย์ของคนอื่นแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางถาม “ช่างตีเหล็กหร่วนล่ะ? วันนี้ทำไมถึงไม่ได้ตีเหล็กอยู่บนภูเขา? ก่อนข้าจะขึ้นเขามาก็ส่งกระบี่บินมาบอกแล้วไม่ใช่หรือ?”
ต่งกู่ไม่ได้สนใจ
ตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีป คนที่กล้าเรียกอาจารย์ว่าช่างตีเหล็กหร่วน เกรงว่าคงมีแค่ศิษย์น้องผู้นี้คนเดียวแล้ว
ฮ่องเต้สองพระองค์ก่อนหลังต่างก็เคารพยำเกรงอาจารย์อย่างมาก เซียนซือทั้งทวีป ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น พูดถึงแค่เจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วที่เคยเป็นเพื่อนบ้านในอดีต กล้าหรือ?
ดังนั้นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดสำนักกระบี่หลงเฉวียนในทุกวันนี้ แต่ละคนต่างก็เคารพนับถือหร่วนฉงบรรพจารย์ที่ชอบเก็บตัวเงียบตลอดทั้งปีแทบไม่เห็นเงาอย่างสุดจิตสุดใจ เพียงแค่เพราะพวกเขาต่างก็เคยได้ยินผู้อาวุโสสวีเสี่ยวเฉียวในสำนักเล่า ‘เรื่องในอดีต’ แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น นางบอกว่าปีนั้นตอนที่เซียนกระบี่เฉินยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ในเมืองเล็กเคยมาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ร้านตีเหล็กของสำนักซึ่งสร้างติดลำคลองหลงซวี ถือเป็นการทำงานระยะสั้นของชาวบ้านล่างภูเขา อีกทั้งในอดีตยามอยู่กับอาจารย์ เซียนกระบี่เฉินก็เคารพนอบน้อม มีมารยาทต่อเขามาก
หลิวเสี้ยนหยางกระแอมหนึ่งที เอ่ยเตือนว่า “ศิษย์พี่ต่ง เจ้าสำนักถามท่านอยู่นะ”
ต่งกู่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอบเจ้าสำนัก ข้าไม่รู้”
แม่นางหน้ากลมบ่น “อยู่กับศิษย์พี่ต่ง เจ้าจะวางมาดเจ้าสำนักทำไมหา? ห่างเหินเกินไปหน่อยไหม ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อหรือไง?”
เซอเยว่ไม่ได้ใช้เสียงในใจ จงใจพูดให้ต่งกู่ได้ยิน
จุ๊ๆ ทุกวันนี้การวางตัวอยู่ร่วมสังคมกับคนอื่นของตน ไม่พูดว่าสุดยอดล้ำเลิศ แต่ก็ถือว่าชำนาญเข้าขั้นแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางก็บ่นว่า “ทั่วทั้งสำนักของพวกเรามีคนอยู่กี่คนกันเชียว รวมกันแล้วถึงห้าสิบคนไหม? นี่ออกจะแร้นแค้นเกินไปหน่อยแล้ว หวนนึกถึงตอนที่ข้าไปขอศึกษาต่ออยู่ที่อื่น จะนั่งส้วมยังต้องเข้าแถวเลยนะ”
ต่งกู่หัวเราะร่า
ตามคำสัญญาที่ให้ไว้ในปีนั้น หร่วนฉงลงจากตำแหน่งเจ้าสำนัก มอบตำแหน่งผู้นำให้หลิวเสี้ยนหยางที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบคนแรกของสำนักกระบี่หลงเฉวียนมารับช่วงต่อ แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับตัดสินใจกันบนโต๊ะอาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็ไม่มีการจัดงานพิธีอะไร เป็นเหตุให้ทุกวันนี้คนของแจกันสมบัติทวีปที่รู้เรื่องนี้มีแค่ภูเขาตระกูลเซียนไม่กี่แห่งเท่านั้น มีแค่เจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งจากราชสำนักต้าหลีที่นำคนมาแสดงความยินดีชดเชยกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนด้วยตัวเอง จำนวนคนไม่มาก แต่น้ำหนักไม่น้อย
และเรื่องแรกที่หลิวเสี้ยนหยางทำหลังจากรับตำแหน่งเจ้าสำนักก็คือ ‘ตัดสินใจเองโดยพลการ’ ไปหาเว่ยซานจวินที่ภูเขาพีอวิ๋น ให้เขาร่ายวิชาอภินิหารช่วยย้ายภูเขาทั้งหลายซึ่งรวมถึงภูเขาเสินซิ่วเป็นหนึ่งในนั้นให้มาอยู่ที่นี่
ตบไหล่ต่งกู่แล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดี “ศิษย์พี่ต่ง ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดีนะ เป็นถึงผู้คุมกฎของสำนักกระบี่หลงเฉวียนผู้ยิ่งใหญ่ กลับยังเป็นแค่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ไม่เข้าท่าเลย”
หลังจากนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็พาแม่นางหน้ากลมไปเดินเล่นที่ภูเขาลูกอื่นด้วยกัน คนทั้งสองเดินอยู่บนเส้นทางกึ่งกลางภูเขา หลิวเสี้ยนหยางสวมเสื้อบุนวมเช่นเดียวกับนาง ก้มหน้าสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่อย่างนั้นหน้าหนาวจะเรียกว่าฤดูแมวหนาว (เปรียบเปรยว่าหลบอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน) ได้อย่างไร
แม่นางหน้ากลมที่ตั้งชื่อให้ตัวเองว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ถามว่า “สร้างสำนักเบื้องล่าง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่เชิญเจ้าไป?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “กลัวว่าข้าจะไปแย่งความมีหน้ามีตาน่ะสิ หากข้าปรากฏตัว ใครจะยังสนใจเขาเฉินผิงอันกัน”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าเฉินผิงอันได้อธิบายให้หลิวเสี้ยนหยางฟังนานแล้ว
เซอเยว่กลอกตามองบน
อยู่ดีๆ หลิวเสี้ยนหยางก็หัวเราะออกมา “คนคนเดียวกัน เผชิญความทุกข์กับเสวยสุข คือความรู้สองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
เซอเยว่พยักหน้า “พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย เขาหยุดเดินมองไปยังทิศไกล “สร้างเรือนแห่งใจ เหตุผลหลักการ ความโลภแย่งชิงกันเป็นนาย”
อยู่ด้วยกันนานวันเข้า เซอเยว่เกือบจะลืมไปแล้วว่าเจ้าหมอนี่เคยไปขอศึกษาต่ออยู่กับสกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปนานหลายปี
เซอเยว่ถาม “นับตั้งแต่เด็กเจ้าก็สนิทกับเฉินผิงอันมากเลยหรือ?”
“แน่นอน!”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะเสียงดัง “ว่าไม่ใช่!”
เซอเยว่จึงประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ใช่?
หลิวเสี้ยนหยางทรุดตัวลงนั่งยอง หาอยู่นานก็ยังหาหญ้าหวานๆ สักต้นไม่เจอ เลยได้แต่ล้มเลิกความคิด เอ่ยเนิบช้าว่า “ต่างก็พูดกันว่านิสัยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของสหายสองคนถึงจะยาวนาน นิสัยของข้ากับเฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าเหมือนกันหรือ?”