กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 911.4 หวนกลับมาที่เดิมเหมือนได้เปิดอ่านตำรา
ผู้ฝึกตนตำหนักจินอูยิ้มเอ่ย “ต่อให้พ่อแม่เจ้ามาเองก็ไม่มีทางได้พบบรรพจารย์อาหลิ่วของพวกเราหรอก”
บรรพจารย์อาบ้านตนท่านนั้น ไม่ใช่ว่าใครอยากจะพบก็พบได้เสียเมื่อไหร่
ใต้หล้าล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า เซียนกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดของอุตรกุรุทวีป น้ำหนักเป็นรองแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น เป็นน้ำหนักเน้นๆ แบบไม่ผสมน้ำ
ผู้ฝึกตนที่เฝ้าประตูโบกมือเอ่ย “ตู้อวี๋ ไปเสียเถอะ อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย แล้วก็อย่าหาเรื่องให้ข้าด่าเจ้าด้วย”
บรรพจารย์อาหลิ่วขึ้นชื่อว่ามีนิสัยเฉยชา อยู่ห่างไกลจากฝุ่นแดงในโลกโลกีย์ นอกจากในอดีตที่ได้รู้จักเซียนกระบี่หนุ่มต่างถิ่นคนหนึ่งที่หน้าผาอวี้อิ๋งสวนน้ำค้างวสันต์ สองฝ่ายมีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมแล้ว นอกจากนี้ก็แทบจะไม่มีสหายบนภูเขาอะไรอีก บางทีเจ้าสำนักหลิวของสำนักกระบี่ไท่ฮุยอาจถือเป็นสหายคนหนึ่งได้ บรรพจารย์อาเคยไปเยือนยอดเขาเพียนหราน เล่าลือกันว่าทั้งสองฝ่ายดื่มเหล้ากัน แน่นอนว่าแพ้แล้ว เจ้าสำนักหลิวคอแข็งไร้ศัตรูเทียมทาน เป็นเรื่องที่รู้กันทั้งทวีป
ดังนั้นอย่าว่าแต่ตู้อวี๋เลย ต่อให้เป็นความสัมพันธ์บนภูเขากับเจ้าตำหนักขวานผีก็ยังไม่มากพอจะทำให้ได้พบบรรพจารย์อาหลิ่วของตน
ตู้อวี๋ร้อนใจจนเกาหัว “เซียนซือท่านนี้ ช่วยหน่อยเถิด ข้ามีสหายคนหนึ่งคือสหายของเซียนกระบี่หลิ่ว เขาบอกข้าว่าหากมีเรื่องให้มาหาเซียนกระบี่หลิ่ว…”
คนเฝ้าประตูเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ข้ามีเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขารู้จักลูกศิษย์สายของยอดเขาจื่อเสวียน อีกทั้งนักพรตผู้นี้ยังเป็นศิษย์หลานของหยวนเจินจวินด้วย ถ้าอย่างนั้นข้าก็คือสหายของหยวนเจินจวินแล้วสินะ?”
ตู้อวี๋จนปัญญาจริงๆ กำลังจะตะโกนเรียกชื่อหลิ่วจื้อชิง ผู้ฝึกตนคนเฝ้าประตูกลับยกมือขึ้น ปลายนิ้วมีเมฆสายฟ้าส่องประกายแสงแปลบปลาบปรากฎขึ้นมา ยิ้มบางๆ เอ่ยเตือนว่า “ตู้อวี๋ แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ทำเรื่องโง่ กฎของตำหนักจินอูพวกเราล้วนวางอยู่ตรงนั้น”
ตู้อวี๋เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันหน้ากลับไปมอง ถึงขั้นไม่รู้ว่าเซียนกระบี่หลิ่วฝึกตนอยู่บนภูเขาลูกไหนของตำหนักจินอู แต่ก็ไม่ยินดีจะไปจากที่นี่ จึงไปนั่งยองอยู่ข้างทางห่างๆ ตบบ้องหูตัวเองแรงๆ หนึ่งที ใครใช้ให้เจ้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่ว ไม่มีความสามารถเหมือนผู้อาวุโสเฉิน แต่ดันชอบอวดเก่งทำเรื่องดี
หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่ไปเยือนทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแล้ว กลัวก็แต่ว่าจะซ้ำรอยเดิม ต้องกินน้ำแกงประตูปิดอีกครั้ง
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากยอดเขาแห่งหนึ่งของตำหนักจินอูอย่างเงียบเชียบ มาหยุดอยู่ที่ข้างกายตู้อวี๋ ถามว่า “เจ้าก็คือตู้อวี๋?”
ตู้อวี๋เงยหน้าขึ้น สีหน้าเลื่อนลอย ผู้ที่มามีรูปโฉมของเด็กหนุ่ม ปักปิ่นทอง สวมชุดคลุมตัวยาวสีหยกขาว
ตู้อวี๋ถามอย่างกังขา “เจ้าคือ?”
คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนใดของตำหนักจินอูที่ผ่านประตูภูเขามาพอดีหรือ?
คนผู้นั้นพูดเข้าประเด็นโดยตรง “ข้าชื่อหลิ่วจื้อชิง คือคนที่เจ้ากำลังตามหา”
ตู้อวี๋รีบลุกขึ้นยืน เตรียมจะพูดจาตามมารยาทสองสามคำ หลิ่วจื้อชิงกลับชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “พูดมาเถอะ อยากให้ข้าไปหาเรื่องใคร หรือหาเรื่องภูเขาลูกไหน”
ตู้อวี๋อึ้งค้างอยู่กับที่ เซียนกระบี่หลิ่วท่านนี้จะไม่ถามสักหน่อยหรือว่าเรื่องเป็นมายังไง?
“ในเมื่อเจ้าคือสหายของเฉินผิงอัน ข้าก็เชื่อใจเจ้า”
คงเป็นเพราะมองความคิดของตู้อวี๋ออก หลิ่วจื้อชิงจึงกระตุกมุมปาก นั่นน่าจะเรียกว่าเป็นรอยยิ้มได้แล้ว “ในเมื่อเจ้ายินดีมาหาข้า ก็แสดงว่าเชื่อในเวทกระบี่ของข้า ดังนั้นเจ้าแค่นำทางไปก็พอ”
หลายปีที่ผ่านมานี้ ตู้อวี๋ยังคงเตร็ดเตร่อยู่ในยุทธภพตลอด ระหว่างนั้นกลับไปที่ตำหนักขวานผีแค่สองครั้ง ครั้งหนึ่งคือตอนไปร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองของสำนัก ครั้งหนึ่งคืองานฉลองวันเกิดของมารดา
เรื่องราววีรกรรมทั้งหลายบนภูเขา ลมพัดใบไม้ไหวใดๆ ตู้อวี๋ไม่เคยสนใจ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องห่างไกลสุดขอบฟ้าที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าอยู่แล้ว แค่ใช้ชีวิตคลุกคลีตีโมงอยู่ในยุทธภพของข้าไปให้ดีก็พอแล้ว
หรือว่าชื่อจริงของผู้อาวุโสเซียนกระบี่เฉินคนดี ก็คือเฉินผิงอัน?
ชื่อนี้…ไม่ค่อยมีกลิ่นอายเซียนสักเท่าไร แต่ว่า…ดีมากเลย
เพียงแต่เหตุใดดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในอุตรกุรุทวีปมาก่อนเลยนะ?
ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปจะมีมากเหมือนก้อนเมฆขนาดไหน ด้วยขอบเขตและเวทกระบี่ของผู้อาวุโสเฉิน ต่อให้ตู้อวี๋จะคร้านจ่ายเงินซื้อหารายงานภูเขาสายน้ำมาอ่าน ต่อให้จะไม่ชอบไปเดินเล่นแถวท่าเรือตระกูลเซียนมากเท่าไร แต่ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะต้องเคยได้ยินมาบ้าง
ถึงอย่างไรชั่วชีวิตนี้ตู้อวี๋ก็ไม่คิดจะตีสนิทพวกเทพเซียนบนภูเขาอยู่แล้ว ข้าผู้อาวุโสจะต้องจ่ายเงินส่วนนั้นให้สิ้นเปลืองไปทำไม เอาไปดื่มเหล้าเคล้านารีไม่ดีกว่าหรือ? แม้จะบอกว่ามีบางครั้งที่ตู้อวี๋นั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียน แต่ก็มักจะเช่าห้องที่ราคาถูกที่สุด นอกจากค่าใช้จ่ายบนเรือข้ามฟากแล้ว จะไม่ยอมจ่ายเงินอย่างอื่นเพิ่มเติมเด็ดขาด คิดอยากจะได้เงินเทพเซียนของข้า ฝันไปเถอะ เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญก็คือเงินขาวหนึ่งพันตำลึง เงินจำนวนเท่านี้ข้าผู้อาวุโสอยู่ในยุทธภพแคว้นใดก็ตามล่างภูเขา แล้วเป็นนายท่านใหญ่ที่มีเงินหมื่นก้วนร้อยเอวไม่ได้บ้าง?
ตู้อวี๋ถามอย่างระมัดระวัง “เซียนกระบี่หลิ่ว ผู้อาวุโสเฉินเคยพูดถึงข้าหรือ?”
หลิ่วจื้อชิงพยักหน้า “แน่นอน บอกว่าเจ้าคือสหายของเขา อีกทั้งยังเคยช่วยเขาไว้ด้วย”
พูดมาถึงตรงนี้ หลิ่วจื้อชิงก็อดไม่ไหวมองประเมินตู้อวี๋อย่างละเอียดหนึ่งที คนคนหนึ่งที่เคยช่วยเฉินผิงอัน?
หากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไป พูดถึงแค่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารตำหนักขวานผีผู้นี้ก็จะได้มียันต์คุ้มกันกาย ยันต์ปกป้องชีวิตเพิ่มมากขึ้นเลยทีเดียว
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมเชื่อว่าผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตใต้เท้าอิ่นกวาน
ต่อให้ตู้อวี๋จะหนังหน้าหนาแค่ไหนก็ยังรับไม่ไหว ผู้อาวุโสเฉินหรือจะต้องให้เขาช่วย
ปีนั้นเขาก็แค่หัวร้อนจึงไปพบผู้อาวุโสเฉินที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่พอดี
เซียนกระบี่เฉินก็จริงๆ เลย อยู่กับสหายของเขายังยินดีพูดเรื่องไม่สำคัญพวกนี้ ไม่กลัวว่าจะถูกสหายหัวเราะเยาะบ้างหรือไร?
แต่ก็ถูกนะ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสคนดีทำได้จริงๆ เกรงว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมตนถึงได้พบเจอเซียนกระบี่เฉินขณะที่ท่องอยู่ในยุทธภพล่างภูเขากระมัง
หลิ่วจื้อชิงถาม “เป็นหายนะที่ได้มาจากการไปยุ่งเรื่องของคนอื่นหรือ?”
ตู้อวี๋อับอายเล็กน้อย ร้องอืมรับเบาๆ
หลิ่วจื้อชิงยิ้มตาหยี ตบไหล่ตู้อวี๋ “ดีมาก นับแต่วันนี้ไป ยินดีต้อนรับเจ้ามาเป็นแขกที่นี่”
ตู้อวี๋ทั้งกระวนกระวาย ทั้งรู้สึกเป็นเกียรติ ได้แต่เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “มิกล้า”
หลิ่วจื้อชิง “หืม?”
ตู้อวี๋รีบขับเรือตามกระแสลมทันใด “กล้าสิ ทำไมจะไม่กล้าล่ะ ขนาดเซียนกระบี่หลิ่วยังยอมรับข้าเป็นสหาย แล้วทำไมข้าจะไม่กล้าปีนที่สูงตีสนิทเซียนกระบี่หลิ่ว?”
หลิ่วจื้อชิงข่มกลั้นแล้วข่มกลั้นอีก
ดีมาก แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสหายในยุทธภพของเฉินผิงอัน
หลังจากนั้นตู้อวี๋ก็อธิบายต้นสายปลายเหตุของปัญหาครั้งนี้ให้หลิ่วจื้อชิงฟัง ที่แท้ก็เกี่ยวข้องกับสำนักฉงหลินที่มือเติบใจใหญ่แห่งนั้น
เงินซื้อได้แม้กระทั่งเทพเซียน หลายปีมานี้สำนักฉงหลินใช้ข้ออ้างว่าไล่ฆ่ากากเดนเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างที่หลงเหลืออยู่ ทำการค้นหาภูตตามป่าเขาและเผ่าน้ำจากที่ต่างๆ อย่างกำเริบเสิบสานแล้วเอาไปขายเก็งกำไร ได้กำไรกลับมาเป็นกอบเป็นกำ เหมือนอย่างสวนป่าที่เสี่ยวหลงชิวของใบถงทวีปสร้างขึ้น เมื่อเทียบกับสำนักฉงหลินแล้วก็ต้องเรียกว่าพ่อมดเล็กเจอพ่อมดใหญ่ วิธีการที่ใช้ไร้คุณภาพ อีกทั้งยังแทบจะไม่ได้กำไรอะไร ทว่าพันธมิตรคู่ค้าบนภูเขาของสำนักฉงหลินมีอยู่ทั่วทุกมุมในทวีป อีกทั้งภูเขาต่างๆ ที่ยิ่งรากฐานตื้นเขินเท่าไร วิธีการที่ใช้ก็ยิ่งป่าเถื่อน หาเงินอย่างโหดร้ายอำมหิตมากเท่านั้น นอกจากนี้ของประเภทเดียวกันอยู่รวมกัน คนแบบเดียวกันอยู่ด้วยกัน จวนเซียนบนภูเขาและพรรคในยุทธภพที่ยอมเห็นสำนักฉงหลินเป็นผู้นำ จะมีสภาพแบบไหนแค่คิดก็พอรู้ได้ ล้วนมีแต่พวกจมอยู่ในกองเงินปีนออกมาไม่ได้ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจในท้องถิ่นจำนวนมากที่ไม่เคยแก่งแย่งกับผู้อื่นต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย แต่วิธีการที่ผู้ฝึกตนสำนักฉงหลินใช้กลับเร้นลับ ทั้งยังลงมืออย่างรวดเร็ว ยากที่คนนอกจะคว้าจับจุดอ่อนได้
บังเอิญตู้อวี๋ที่พเนจรอยู่ในยุทธภพได้รู้จักกับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งพอดี อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มที่มีความคิดจิตใจบริสุทธิ์ มักจะอยู่ติดบ้านเป็นประจำ มีบ้างบางครั้งที่จะไปฟังนักเล่านิทานใต้สะพานหรือไม่ก็ไปเดินเล่นงานวัด อันที่จริงภูตน้อยตนนั้นเพิ่งจะหลอมร่างได้สำเร็จแค่ไม่กี่ปี ตู้อวี๋เคยช่วยเด็กหนุ่มไว้สองครั้ง อาศัยเสื้อเกราะจินอูบนร่างสกัดขวางการไล่ล่าของผู้ฝึกตนสองกลุ่มมาได้ แต่สุดท้ายกลับช่วยเด็กหนุ่มไว้ไม่สำเร็จ
เพราะว่าครั้งสุดท้ายทำให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของสำนักฉงหลินคนหนึ่งออกหน้าด้วยตัวเอง คือเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งที่อายุน้อยมาก ได้ยินว่าเป็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของบรรพจารย์ผู้คุมกฎสำนักฉงหลิน หากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายกริ่งเกรงแกนไม้ท้อที่อยู่ในมือของตู้อวี๋ ตู้อวี๋ที่ถูกสาดน้ำสกปรกใส่ทั้งตัวก็คงหนีไม่พ้น โอสถทองหนุ่มผู้นั้นมีความคิดจิตใจละเอียดรอบคอบ แต่ทำอะไรกลับเด็ดขาดเหี้ยมอำมหิต เขาได้สร้างหลักฐานแต่งเรื่อง ‘รากฐาน’ ของภูตน้อยกับเผ่าปีศาจเปลี่ยวร้างตนหนึ่งที่ให้การปกป้องมาไว้ก่อนแล้ว ภูตน้อยไม่มีประสบการณ์ในยุทธภพ ไม่ยินดีจะทำให้ตู้อวี๋ต้องเดือดร้อน จึงเป็นฝ่ายยอมรับโทษโดนจับตัวไปอย่างโง่งม ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ตู้อวี๋รู้แค่ว่าเด็กหนุ่มถูกพาไปอยู่ที่ภูเขาใต้อาณัติลูกหนึ่งของสำนักฉงหลิน
ตู้อวี๋รู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ใต้หล้าไม่มีหลักการเหตุผลเช่นนนี้
สงครามใหญ่ครั้งนั้น ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังทำสงครามมาไม่ถึงอุตรุกรุทวีป ถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีสกัดขวางไว้ที่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร้างบางส่วนที่หนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วก็จริง ทว่าผู้ฝึกตนของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและสำนักชิงเหลียง ปีนั้นได้จัดวางการป้องกันเลียบแนวเส้นมหาสมุทรของทั้งทวีปอย่างแน่นหนาแล้ว
พอตู้อวี๋คิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ตาแดงก่ำ ไม่เพียงแต่ตนเท่านั้นที่ต้องประสบเคราะห์ ยังเดือดร้อนไปถึงบิดามารดาและตำหนักขวานผีด้วย
ไอ้หมอนั่นป่าวประกาศว่าจะไปเยือนตำหนักขวานผีด้วยตัวเองรอบหนึ่ง
ระหว่างที่หลบหนีมา บางครั้งตู้อวี๋ก็รู้สึกเสียใจภายหลัง หากรู้แต่แรกคงไม่ไปอยู่ในยุทธภพ ทำตัวเป็นคนดีอะไรแล้ว
ดังนั้นวันนี้ถูกเซียนกระบี่หลิ่วเรียกว่าเป็นสหาย อันที่จริงในใจของตู้อวี๋กลับย่ำแย่อย่างมาก
ขอบเขตต่ำขนาดนี้ นิสัยก็ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ สหายแบบนี้ เซียนกระบี่ยินดีคบหา แต่ข้าตู้อวี๋กลับไม่มีหน้ารับไว้
“สำนักฉงหลินเองหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าต้องเรียกผู้ฝึกกระบี่สักคนสองคนให้ไปด้วยกัน”
หลิ่วจื้อชิงหรี่ตากล่าว “ลำพังแค่ขอบเขตของข้าในเวลานี้ ถามกระบี่อย่างเปิดเผยไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลับยากที่จะฟันไปถึงศาลบรรพจารย์ของอีกฝ่าย”
ตู้อวี๋ฟังด้วยความอกสั่นขวัญผวา อันที่จริงตนก็แค่ต้องการทวงความเป็นธรรม ให้สำนักฉงหลินปล่อยตัวภูตตนนั้นก็ได้แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือเซียนดินหนุ่มคนนั้นอย่ามายุ่งวุ่นวายอะไรกับตนอีก และหลังจากนี้สำนักฉงหลินก็อย่าอาฆาตแค้นตำหนักขวานผี
ไม่อย่างนั้นด้วยความกว้างขวางของสำนักฉงหลินแล้ว แค่ปัดแข้งปัดขาอยู่ในมุมมืด ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ตำหนักขวานผีก็ต้องเข้าสู่สภาวะอับจนเหมือนถูกปิดภูเขาได้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าหลิ่วจื้อชิงรู้ความคิดของตู้อวี๋ จึงเอ่ยว่า “ตู้อวี๋ เรื่องถามกระบี่ เจ้าไม่ต้องออกหน้า ข้าจะต้องช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้แน่นอน ขอแค่ภูตน้อยตนนั้นยังไม่ตายก็ต้องช่วยออกมาให้ได้ แต่หากว่าตายไปแล้วก็จะช่วยทวงความเป็นธรรมให้เจ้า ข้อนี้เจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้พร้อม นอกจากนี้หากมีภัยแฝงอะไรทิ้งไว้ภายหลังก็มอบให้เฉินผิงอันจัดการไปแล้วกัน เขาเชี่ยวชาญการเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่สุด ข้าสามารถรับรองแทนเขาได้ว่าจะไม่เดือดร้อนไปถึงตำหนักขวานผีเด็ดขาด”
ตู้อวี๋ส่ายหน้า ถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ต้องถามกระบี่จริงๆ ขอแค่เซียนกระบี่หลิ่วช่วยเปิดปากขอร้องให้ก็พอ คิดดูแล้วสำนักฉงหลินคงไม่ถึงขั้นบังคับรั้งตัวภูตห้าขอบเขตล่างตนหนึ่งเอาไว้ ถึงเวลานั้นข้ายินดีจ่ายเงิน”
“ข้าอุตส่าห์ได้ออกจากสำนักทั้งที ไม่ยินดีจะไปขอร้องอะไรสำนักฉงหลินหรอกนะ”
หลิ่วจื้อชิงเอ่ย “ตู้อวี๋ คนขอบเขตต่ำก็ต้องฟังคนขอบเขตสูง”
ตู้อวี๋รู้สึกจนใจเป็นเท่าทวี เซียนกระบี่ก็คือเซียนกระบี่ พูดจาเผด็จการเสียจริง
หลิ่วจื้อชิงเห็นว่าตู้อวี๋คิดเป็นจริงเป็นจังก็ได้แต่อธิบายว่า “แค่ล้อเล่นเท่านั้น”
ตู้อวี๋จึงได้แต่ฝืนใจตอบว่า “ผู้เยาว์ฟังออกแล้ว”
หลิ่วจื้อชิงกล่าว “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก”
หลังจากนั้นหลิ่วจื้อชิงก็พาตู้อวี๋กลับไปที่ภูเขาบ้านตน ให้ตู้อวี๋รอสักครู่ หลิ่วจื้อชิงส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปสองฉบับ แยกกันส่งไปให้ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและสำนักกระบี่ไท่ฮุย
จากนั้นเรียกเรือยันต์ลำหนึ่งออกมา พอขึ้นมาบนเรือแล้ว หลิ่วจื้อชิงก็เอ่ยเตือนว่า “ตู้อวี๋ ต่อจากนี้พวกเราต้องไปสองสถานที่ ระหว่างนี้เจ้าหลอมลมปราณรักษาบาดแผลไปก่อน ห้ามวอกแวกให้เสียสมาธิ ช่วงเวลานี้ต้องหนีเอาชีวิตรอดหัวซุกหัวซุน จิตใจของเจ้าจึงได้รับความเสียหายไปมาก หากว่าไม่ระวังอาจกลายเป็นจุดด่างพร้อยบนจิตแห่งมรรคา ในอนาคตไม่ว่าจะสร้างโอสถหรือฟูมฟักก่อกำเนิดก็จะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก หากจิตแห่งมรรคาไม่สมบูรณ์แบบมากพอ คิดจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก็ยากเหมือนขึ้นสวรรค์แล้ว เล่าลือกันว่าจิตมารเหมือนต้นหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ก่อกำเนิดขึ้นตามร่องของจิตแห่งมรรคา สามารถเชื่อมโยงเข้ากับภูผาแห่งจิตใจ โดยไม่ทันรู้ตัวก็กลายเป็นนกพิราบยึดรังนกกางเขน หากว่าจิตมารได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็จะกลายเป็นเทวบุตรมารนอกโลกที่ธรรมมะสูงหนึ่งฉื่ออธรรมสูงหนึ่งจั้ง ดังนั้นยิ่งเป็นก่อกำเนิดเฒ่าก็ยิ่งต้องปิดด่าน ยิ่งนั่งยิ่งตาย ยิ่งง่ายที่ร่างกายและจิตวิญญาณจะเสื่อมโทรม ต้นกำเนิดของมันก็มาจากสิ่งนี้นี่แหละ”
หลิ่วจื้อชิงส่งขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้ตู้อวี๋ ด้านในบรรจุยาตระกูลเซียนที่มีไว้สงบจิตรวบรวมลมปราณอยู่หลายเม็ด ไม่ถือว่าเป็นยาวิเศษระดับขั้นดีเยี่ยมอะไร แต่เป็นยาที่เตรียมไว้ให้สำหรับลูกศิษย์ศาลบรรพจารย์ตำหนักจินอูโดยเฉพาะ หลิ่วจื้อชิงกล่าว “หลังจากกินเข้าไปหนึ่งเม็ดก็เก็บสมาธิจิตใจเข้าฌานอย่างสงบ พยายามดูดซับปราณวิญญาณในยาให้หมดภายในการโคจรมหาจักรวาลหนึ่งรอบ แล้วเอาไปสะสมอยู่ในน้ำพุวิญญาณตามช่องโพรงลมปราณต่างๆ ของเจ้า”
นั่งเข้าฌานอยู่บนเรือข้ามฟาก ตู้อวี๋สะลึมสะลืออยู่ตลอด จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหลิ่วจื้อชิงเอ่ยว่า “ถึงแล้ว”
ตู้อวี๋ลืมตาขึ้น ก้มหน้ามองลงไป เห็นเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งที่มีเกาะมากมาย ประหนึ่งหอยขมที่อยู่บนถาดกระเบื้องเขียว