กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 911.5 หวนกลับมาที่เดิมเหมือนได้เปิดอ่านตำรา
หลิ่วจื้อชิงไปหาหรงช่างลูกศิษย์ใหญ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดผู้นี้บอกกล่าวจุดประสงค์ที่มาเยือนให้ฟังคร่าวๆ
เพียงไม่นานหรงช่างก็ไปแจ้งให้ทางอาจารย์ของตนทราบ หลังย้อนกลับมาก็ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ตอบรับอย่างฉับไว บอกว่าขอบเขตของนางทุกวันนี้หละหลวม ไม่มีหน้าจะออกจากบ้าน ได้แต่ให้ข้าเดินทางไปพร้อมกับเจ้า แต่อาจารย์บอกว่าเจ้าทำอะไรไร้คุณธรรม มีผู้ฝึกกระบี่ที่ไหนเขาถามกระบี่กับศาลบรรพจารย์บ้านอื่นอย่างชัดเจนเช่นนี้บ้าง ทำแบบนี้ไม่พิถีพิถันเกินไปแล้ว ตีคนไม่ตบหน้า นี่เป็นการตบหน้ายิ่งกว่าไปฟันศาลบรรพจารย์เสียอีก ไปแย่งตัวภูตน้อยที่ภูเขาใต้อาณัติของสำนักฉงหลินมาก่อน มีชีวิตก็ช่วยชีวิต หากไม่มีชีวิตแล้วก็ค่อยให้สำนักฉงหลินใช้หนี้ ร่ายเวทอำพรางตาแอบไปที่ศาลบรรพจารย์สำนักฉงหลิน หลีกเลี่ยงปัญหาที่จะต้องใช้หลายกระบี่ฟันเปิดพันธนาการขุนเขาสายน้ำไปได้ พอขยับเข้าใกล้ศาลบรรพจารย์ ก่อนพวกเราจะปล่อยกระบี่ก็ให้ปิดหน้าปิดตา แล้วพูดประโยคห้าวหาญอย่างเช่นว่า ‘ข้าคือนายท่านใหญ่ป๋ายฉางบุคคลอันดับหนึ่งเซียนแห่งกระบี่แห่งแดนเหนือ’ ออกไป ฟันจบก็เผ่นหนี”
อันที่จริงคำพูดเดิมของอาจารย์ไม่ใช่หละหลวม แต่เป็นเละเทะ… (เละเทะในที่นี้คือเละเหมือนอุจจาระท้องเสีย ท้องร่วง)
เพียงแต่คำพูดทำนองนี้ อาจารย์พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ลูกศิษย์ใหญ่อย่างหรงช่างกลับต้องพูดให้ฟังคลุมเครือสักหน่อย
หลิ่วจื้อชิงพยักหน้า “ได้รับการสั่งสอนแล้ว สำหรับในเรื่องนี้ ประสบการณ์ของตำหนักจินอูสู้พวกเจ้าไม่ได้จริงๆ”
หรงช่างยิ้มอย่างรู้กัน
อยู่ที่อุตรกุรุทวีป แน่นอนว่านี่ถือเป็นคำพูดที่ดีเยี่ยมอย่างยิ่ง
ตู้อวี๋ไม่รู้เลยว่าบุรุษสูงใหญ่ที่มีสีหน้าเป็นมิตรตรงหน้าผู้นี้คือเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่
แต่ฟังจากน้ำเสียงของทั้งสองฝ่าย ต้องเป็นผู้อาวุโสบนภูเขาท่านหนึ่งที่ขอบเขตไม่แพ้เซียนกระบี่หลิ่วแน่นอน
ไม่อย่างนั้นใครเล่าจะกินอิ่มว่างงานชอบไปถามกระบี่กับสำนักแห่งอื่นบ่อยๆ?
หรงช่างหันหน้ามากุมหมัดยิ้มเอ่ยกับตู้อวี๋ “เป็นเกียรติที่ได้พบ”
ตู้อวี๋รีบกุมหมัดคารวะกลับคืนอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เพียงไม่นานก็มีคนสามคนมาเยือน
ในนั้นมีสตรีคนหนึ่งที่รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุด บอกว่าตัวเองแซ่สุย
และยังมีเด็กหนุ่มเด็กสาวอีกหนึ่งคู่ ประดุจคนในภาพวาดบนฝาผนังอย่างไรอย่างนั้น
คนทั้งกลุ่มพากันหันมามองตู้อวี๋
ทำเอาตู้อวี๋ที่ถูกมองรู้สึกขนลุกขนชัน
เฉินหลี่ถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราไปด้วยได้ไหม?”
หรงช่างเอ่ยอย่างระอาใจ “เรื่องนี้ต้องถามอาจารย์ก่อนถึงจะได้”
แต่ละคนต่างก็เป็นลูกรักของอาจารย์กันทั้งนั้น หากเกิดเรื่องอะไรนอกสำนัก เขาที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่แบกรับไว้ไม่ไหวหรอกนะ ด้วยนิสัยของอาจารย์แล้ว สามารถซ้อมเขาจนฉี่ราดได้เลยทีเดียว
แล้วนับประสาอะไรกับที่หลายปีมานี้นิสัยของอาจารย์ก็ไม่ใคร่จะดีสักเท่าไรจริงๆ
เด็กหนุ่มยกสองแขนกอดอก “ท่าทีของอาจารย์ก็ชัดเจนแล้วว่ารู้ว่าพวกเราต้องตามไปด้วย ในเมื่อไม่ได้เตือนศิษย์พี่ใหญ่เป็นพิเศษก็แสดงว่าต้องตอบตกลงแน่นอน”
ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของในทวีปที่ลี่ไฉ่รับมา คนที่คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ดีเยี่ยมที่สุดของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ก็คือลูกศิษย์คนที่ลี่ไฉ่รักและเอ็นดูที่สุด ทุกวันนี้มีชื่อว่า ‘สุยจิ่งเฉิง’
แต่ในทำเนียบภูเขาสายน้ำของศาลบรรพจารย์กลับใช้เป็นชื่อเก่าอีกชื่อหนึ่ง
เฉินหลี่อิ่นกวานน้อย
น้องสาวของเกาเหย่โหว เกาโย่วชิง
ทุกวันนี้เฉินหลี่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองแล้ว
ไม่เหมือน ‘อิ่นกวานน้อยน้อย’ ที่ตั้งขึ้นมาเองอย่างป๋ายเสวียน ฉายานี้ของเฉินหลี่เป็นเหล่าผู้อาวุโสผู้ฝึกกระบี่ที่บ้านเกิดตั้งให้
ในป้ายสงบสุขปลอดภัยบางแผ่นของร้านเหล้า
‘เฉินหลี่ พกกระบี่ฮุ่ยหมิง กระบี่อู้เม่ย เซียนกระบี่ร้อยปี แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มา’
ส่วนเกาโย่วชิง อันที่จริงก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าข้างกายมีเฉินหลี่อยู่ นางถึงได้ดูห่างชั้นเมื่อเปรียบเทียบกัน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าอยู่ในสำนักวิถีกระบี่แห่งใดในใต้หล้าไพศาล เกาโย่วชิงก็สามารถเป็นผู้มีพรสวรรค์บนวิถีกระบี่ที่สมศักดิ์ศรีได้อย่างแน่นอน
หากใช้คำกล่าวของลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็คือ หรงช่างเจ้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ก็ช่างเป็นได้อย่างจริงจังนัก มองตาปริบๆ รอคอยให้พวกศิษย์น้องชายหญิงแต่ละคนไล่ตามมามีขอบเขตเท่าเทียมจนได้
สุดท้ายหรงช่างก็ยังต้องไปถามความต้องการของอาจารย์ก่อน ไม่กล้าพาศิษย์น้องชายหญิงทั้งสามไปถามกระบี่ที่สำนักอื่นโดยพลการ
ลี่ไฉ่คร้านจะพูด เพียงแค่ตวัดสายตาหนึ่งให้หรงช่าง
หรงช่างพยักหน้า ไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระเช่นกัน
คนทั้งกลุ่มนั่งโดยสารเรือยันต์ของหลิ่วจื้อชิง นัดหมายกับหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยเรียบร้อยแล้วว่าจะไปเจอกันที่ภูเขาใต้อาณัติของสำนักฉงหลินลูกนั้นเลย
หลิ่วจื้อชิงคุยเล่นกับหรงช่าง “ข้าคิดว่าถามกระบี่เสร็จแล้วจะไปหาโอกาสฝ่าทะลุขอบเขตที่สนามรบของเปลี่ยวร้างสักหน่อย”
ผู้ฝึกตนแต่ละรุ่นของตำหนักจินอูยังไม่เคยมีใครได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่
หนึ่งเพราะจำนวนผู้ฝึกกระบี่มีน้อย สองเพราะหลิ่วจื้อชิงเพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขตโอสถทองได้แค่ไม่กี่ปี ไม่ยินดีให้ตนไปถึงสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วยังต้องให้ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นคอยให้การปกป้อง กลายเป็นว่าช่วยให้เสียเรื่อง
หรงช่างยิ้มกล่าว “เป็นเรื่องดี”
เกาโย่วชิงมองประเมินผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนั้นอยู่ตลอด ไม่ค่อยกล้าเชื่อในคำกล่าวนั้นของหลิ่วจื้อชิงสักเท่าไร จึงใช้เสียงในใจถามว่า “ศิษย์พี่ ท่านรู้สึกว่าคนผู้นี้เคยช่วยใต้เท้าอิ่นกวานมาก่อนจริงๆ ไหม?”
บนสนามรบที่รายล้อมไปด้วยอันตรายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีแต่อิ่นกวานหนุ่มเท่านั้นที่คอยช่วยเหลือคนอื่น
เฉินหลี่ใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยว่า “วิเคราะห์จากช่วงเวลา ตอนที่ใต้เท้าอิ่นกวานเจอกับตู๋อวี๋คืออยู่ระหว่างครั้งแรกที่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับคืนบ้านเกิดกับครั้งที่สองที่เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วได้รับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน ตอนนั้นใต้เท้าอิ่นกวานยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้”
“อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปได้อะไร แต่ต้องใช่แน่นอน เรื่องแบบนี้ใต้เท้าอิ่นกวานไม่มีทางล้อเล่นแน่”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มถาม “ตู้เซียนซือ ท่านคิดว่าในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใครร้ายกาจที่สุด ใครชื่อเสียงโด่งดังที่สุดหรือ?”
ตู้อวี๋รีบตอบ “ยังจะเป็นใครไปได้อีก ก็ต้องเป็นอิ่นกวานที่ว่ากันว่ามีชาติกำเนิดมาจากแจกันสมบัติทวีปน่ะสิ”
มีครั้งหนึ่งเดินทางผ่านท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ แล้วได้ค้นพบตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มหนึ่ง เนื้อหาตราประทับชิ้นหนึ่งในนั้นทำให้ตู้อวี๋ตบโต๊ะร้องว่าดี มองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ
ยอมให้สามกระบวนท่า!
ฮ่าๆ ใต้หล้าถึงกับมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ ทำเอาตู้อวี๋เกือบจะหัวเราะท้องแข็ง
บุรพแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางทิศใต้ สถานที่เล็กๆ แห่งนั้นมีอาณาเขตเล็กที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของไพศาล แต่กลับเป็นสถานที่ที่มีแต่เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าที่ทำให้แปดทวีปของไพศาลต้องหันมามองพวกเขาเสียใหม่มากที่สุด
ในยุทธภพยังมีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่มา แรกเริ่มสุดนั้นแพร่มาจากผู้ดูแลเรือข้ามทวีปลำหนึ่งของอุตรกุรุทวีป ผู้ดูแลเฒ่าพูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่าอิ่นกวานที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนั้นสง่างามดุจต้นไม้หยกรับลม อำมหิตโหดร้าย ฆ่าคนตาไม่กะพริบ
ปีนั้นในการประชุมที่เรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว คนหนุ่มที่แขวนป้ายห้อยเอวคำว่า ‘อิ่นกวาน’ ปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย
เซียนกระบี่กับเหล่าผู้ดูแลนั่งตรงข้ามกัน ผลคือคนสองกลุ่มยังคุยกันได้แค่ไม่กี่คำ พูดไม่เข้าหูคำเดียว อิ่นกวานก็ออกคำสั่งในห้องโถง สุดท้ายคือผู้ดูแลเรือข้ามทวีปยี่สิบกว่าคนถูกจัดการหายไปครึ่งหนึ่ง เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้แม้แต่น้อย…
เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ
ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ แล้วยังเคยทุ่มชีวิตแก่ๆ เพื่อช่วยเหลือสหายสองคนด้วย
อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นคงจะเห็นว่าข้ามีไมตรีมีน้ำใจที่สุดจึงรู้สึกนับถือข้าอยู่บ้าง รู้สึกเสียดายวีรบุรุษ ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน สุดท้ายจึงกอดคอคุยกันอย่างถูกคอ อิ่นกวานมานั่งอยู่ข้างกายข้า ในสถานที่ที่ศีรษะเกลื่อนเต็มพื้นเลือดเจิ่งนองแห่งนั้น ต่างคนต่างดื่มสุรา
ในใต้หล้าไพศาลทุกวันนี้ สถานที่ที่คุยโวโอ้อวดถึงอิ่นกวานหนุ่มมากที่สุด บางทีอาจไม่ใช่แจกันสมบัติทวีปด้วยซ้ำ แต่เป็นอุตรกุรุทวีปที่แบ่งแยกความรักความแค้นอย่างชัดเจน
ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่วางท่าเหมือนคนแก่ยิ้มตาหยี พยักหน้าเบาๆ
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ
ตู้เซียนซือตรงหน้าผู้นี้โง่หรือไร?
แม้ว่าตู้อวี๋จะสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามมาก
เฉินหลี่ยิ้มเอ่ย “หากมีโอกาสก็ไปรู้จักเขาสักหน่อยไหม?”
ตู้อวี๋รีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไหนเลยจะมีวาสนาเช่นนั้น”
……
ฝูเหยาทวีป
ผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งที่บ้านเกิดแตกต่างกันทยอยมารวมตัวกันที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับทางเข้าสายแร่เส้นหนึ่ง
เซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีป เซี่ยซงฮวากับลูกศิษย์อีกสองคน ชื่อเฉามู่กับจวี่สิง เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้ คนหนึ่งสะพายหีบไม้ไผ่ อีกคนหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว
ซ่งพิ่นแห่งเกราะทองทวีปที่เป็นเซียนกระบี่หญิงเหมือนกันก็รับเด็กสองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้เป็นลูกศิษย์เช่นเดียวกัน แต่ทั้งคู่ล้วนเป็นเด็กสาว ชื่อว่าซุนจ่าว จินหลวน
และยังมีอวี๋เยว่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอีกคนหนึ่งที่พาลูกศิษย์สองคนซึ่งเพิ่งรับตัวมาใหม่อย่างอวี๋ชิงจาง เฮ้อเซียงถิงมาด้วย
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าแห่งธวัลทวีปที่ขอบเขตถดถอยอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างผูเหอ ทุกวันนี้มีขอบเขตก่อกำเนิด ปีนั้นผู้เฒ่าก็พาเด็กสองคนออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นกัน เด็กหนุ่มเหย่ตู้ เด็กสาวเซวี่ยโจว
เวลานี้ผูเหอกำลังด่าผู้ฝึกกระบี่บ้านเดียวกันที่เพิ่งมาถึงโรงเตี๊ยม
“โอ้ นี่มันซือถูจีอวี้ เซียนกระบี่ใหญ่ซือถูที่ผลงานการสู้รบเกริกก้องไม่ใช่หรือ แขกที่หาได้ยาก แขกที่หาได้ยาก หากข้าจำไม่ผิด ครั้งนี้ใต้เท้าอิ่นกวานแค่เชิญข้ากับซ่งพิ่นออกจากภูเขานะ ไม่ได้เชิญให้เจ้ามาที่นี่ ทำไมถึงมาเองโดยไม่ได้รับเชิญเสียเล่า?”
“ในฐานะก่อกำเนิดเพียงหนึ่งเดียวก็จงหุบปากไปแต่โดยดี อย่าได้มาพูดคุยกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบเขา”
“ใต้เท้าอิ่นกวานโปรดปรานเจ้าที่สุดจริงๆ ก็หวังดีนี่นะ กลัวว่าคุณสมบัติของเจ้าจะดีเกินไป ถ่วงรั้งการเดินขึ้นเป็นขอบเขตบินทะยานด้วยก้าวเดียวของเซียนกระบี่ใหญ่ซือถู นี่ก็ยังไม่อาจตัดใจให้เจ้ารับลูกศิษย์เลยไม่ใช่หรือ มิน่าเล่าถึงได้พูดจาแข็งกระด้างถึงเพียงนี้ มา ข้าจะดื่มลงโทษตัวเองก่อนหนึ่งชาม ต้องขออภัยเจ้าก่อน หากว่าเซียนกระบี่ใหญ่ซือถูยังไม่พอใจ ข้าจะคุกเข่าแล้วดื่มสุราคารวะให้ท่านผู้อาวุโสเลยดีไหม?”
อันที่จริงในห้องยังมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจากทวีปต่างๆ อีกหลายคนที่ไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน ล้วนเป็นสหายรักบนภูเขาของพวกเซี่ยซงฮวา รู้ไส้รู้พุงกันดี นิสัยเข้ากันได้ดีมาก
เพียงแต่ว่าวันนี้มาเบียดรวมกันอยูในห้องนี้ก็ไม่มีที่ให้พวกเขาพูดแทรกเลยจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้วก่อนที่ซือถูจีอวี้จะเดินทางมา อวี๋เยว่ก็ถูกผูเหอด่าจนไม่เหลือชิ้นดีไปก่อนแล้ว เป็นการด่าแบบชี้หน้าด่าเสียด้วย
เซี่ยซงฮวาเองก็รู้สึกว่าอวี๋เยว่ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไร ถึงขนาดมีหน้าวิ่งไปขุดมุมกำแพงบ้านของภูเขาลั่วพั่ว ถึงขั้นยังฉวยโอกาสที่ไปถึงก่อนคว้าเอาสถานะผู้ถวายงานมาครอง ทำไมเซียนกระบี่ผู้เฒ่าอวี๋อย่างเจ้าถึงไม่ไปขอตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาจากใต้เท้าอิ่นกวานมาเป็นเลยเล่า?
นี่ทำให้ ‘เซียนกระบี่ผู้เฒ่าอวี๋’ ที่เดิมทีอยากจะโอ้อวดกับเจ้าเฒ่าผูเหอดีๆ สักคำรบรู้สึกอับอายจนแทบอยากจะขุดดินมุดหนีลงไป
ต้องรู้ว่าจะดีจะชั่วอวี๋เยว่ก็เคยไปเยือนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าของไพศาลที่เหลืออีกหกเจ็ดท่าน เรียกได้ว่าไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง แต่ละคนตามองจมูกจมูกมองใจ ต่างคนต่างดื่มเหล้าดื่มน้ำชากันไปเงียบๆ
ใช่ว่าจะไม่มีผู้เฒ่าคนใดอยากสนทนาพาทีด้วย เพราะถึงอย่างไรก็มีเซียนกระบี่บางคนที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แค่เคยได้ยินชื่อเสียงมานาน ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยซงฮวาแห่งธวัลทวีป
เพียงแต่ไม่นานพวกเขาก็ค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยซงฮวาที่เล่าลือกันว่าเคยฟันเผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือจะเป็นซ่งพิ่นเซียนกระบี่ที่รูปโฉมงามล้ำ สะพาย ‘ฝูเหยา’ ก็ล้วนคร้านจะพูดคุยกับใคร
นอกจากนี้ผู้เฒ่าที่แต่ละคนตอนอยู่บ้านเกิดถูกเรียกอย่างให้ความเคารพว่า ‘เซียนกระบี่’ ก็สงสัยใคร่รู้ในตัวของพวกตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่อายุพอๆ กันเหล่านั้นอยู่มากจริงๆ
น่าเสียดายที่ครั้งนี้เซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่แห่งอุตรกุรุทวีปไม่ได้มาด้วย ได้ยินว่านางรับลูกศิษย์มาสองคน คุณสมบัติก็ดีเยี่ยมเช่นกัน คนหนึ่งในนั้นถึงขั้นมีฉายาว่าอิ่นกวานน้อย
“คนน่าจะมากันครบแล้ว ข้าจะบอกความต้องการของใต้เท้าอิ่นกวานให้ฟัง”
ซ่งพิ่นพลันเปิดปาก “อันที่จริงก็มีแค่ความหมายเดียว ใครอยากหาเงิน จะหาเงินอย่างไร ล้วนไม่สนใจ แต่หากว่าใครมีความคิดและการกระทำที่ว่า ‘หากข้าไม่ได้ใครก็อย่าหวังว่าจะได้’ ก็จัดการคนผู้นั้นซะ”
ผูเหอลูบหนวดยิ้ม “ต้องเป็นคำพูดดั้งเดิมของใต้เท้าอิ่นกวานแน่นอน”
ซ่งพิ่นยิ้มกล่าว “อันที่จริงคำพูดเดิมของอิ่นกวานคือให้พวกเรา ‘ใช้เหตุผล’ ให้ดีๆ”
ผูเหอพลันตบมือส่งเสียงร้องทันที “คำพูดดั้งเดิมดียิ่งกว่าเสียอีก”
ซือถูจีอวี้อดไม่ไหวก่นด่า “มารดาเจ้าเถอะ ปีนั้นทำไมเจ้าไม่ไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูคฤหาสน์หลบร้อนเสียเลยเล่า?”
ผูเหอหัวเราะหยัน “ข้าผู้อาวุโสขอบเขตถดถอย ต้องรักษาบาดแผล ไม่อย่างนั้นคฤหาสน์หลบร้อนต้องมีพื้นที่สำหรับข้าแน่นอน ไม่เหมือนคนบางคนที่ไปจับปลาบนสนามรบ”
อวี๋เยว่รู้สึกทะแม่งๆ เหมือนตาเฒ่าอวี๋กำลังด่าตนอยู่
เซี่ยซงฮวายิ้มกล่าว “สามารถเก็บตกของดีบนสนามรบได้ก็ต้องมีฝีมือเหมือนกัน”
ซ่งพิ่นลุกขึ้นยืนก่อน พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “ลงมือเถอะ”
……
ตรงม่านฟ้า อริยะผู้มีเทวรูปท่านหนึ่งที่พิทักษ์ใบถงทวีปผงกศีรษะเอ่ยกับมือกระบี่ชุดเขียว “หลี่เซิ่งเคยสั่งความมาก่อน ภายในเวลาหกสิบปีอนุญาตให้อิ่นกวานเดินทางไปเยือนใต้หล้าห้าสีได้ครั้งหนึ่งโดยที่ไม่ต้องเสียคุณความชอบทางการสู้รบ แต่ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเตือนอิ่นกวาน หากเกินเวลาจะถือว่าเป็นโมฆะ”
เฉินผิงอันประสานมือคารวะขอบคุณ เตรียมจะถามเรื่องหนึ่ง อริยะปราชญ์ศาลบุ๋นท่านนั้นก็แย่งตอบด้วยรอยยิ้มก่อนแล้ว “มีใครเดินทางไปเป็นเพื่อนอิ่นกวานหรือไม่ ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเลย”
และเวลานี้ข้างกายของเฉินผิงอัน อันที่จริงก็มีผู้ติดตามคนหนึ่งที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวถือไม้เท้าเดินป่ายืนอยู่
เฉินผิงอันรับรู้ความนัยได้ทันที
เสี่ยวโม่พลันจำแลงร่างกลายเป็นแมงมุมสีขาวหิมะตัวหนึ่งที่มาฟุบอยู่บนไหล่ของคนชุดเขียว
อริยะปราชญ์ศาลบุ๋นท่านนั้นยิ้มเอ่ยเตือน “จำไว้ว่าห้ามอยู่นานเกินไป”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ผู้เยาว์จะรีบไปรีบกลับ”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองขุนเขาสายน้ำใต้ฝ่าเท้าแวบหนึ่ง เก็บความคิดทั้งหมดกลับคืน ชายแขนเสื้อชุดเขียวสะบัดไหวไปตามสายลม เดินก้าวเข้าไปในประตูใหญ่บานนั้น
ผู้เฒ่าแอบชื่นชมอยู่ในใจ เด็กรุ่นหลังช่างมีมาดสง่างามเหลือเกิน
ปลายแขนเสื้อสีขาวรู้สีน้ำทะเล ปลายขนคิ้วดำเข้มรู้รอยขอบฟ้า
ใต้หล้าห้าสี นครบินทะยาน
มีคนผู้หนึ่งในหวนกลับคืนมายังสถานที่เดิม คือต่างบ้านต่างเมือง แต่ก็ถือว่าเป็นมาตุภูมิเดิมด้วย