กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 912.3 ผู้ที่มาคือใคร
หลัวเจินอี้ที่หลายปีมานี้พักอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนมาโดยตลอด เวลานี้นั่งอยู่ข้างโต๊ะ เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ข้างมือยังมีแท่นฝนหมึกอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็เป็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งด้วย
บนแท่นฝนหมึกที่มีลายมังกรขุยหลงนี้แกะสลักเป็นคำว่า เมฆคล้อยน้ำตระหง่าน วาสนาอักษรลึกล้ำ
สวีหนิงกับฉางไท่ชิงดื่มเหล้าอยู่ในเรือนอีกแห่งหนึ่งของคฤหาสน์หลบร้อน
สหายรักทั้งสองไม่ว่าเรื่องอะไรก็คุยกันได้หมด แต่กลับจงใจเว้นเรื่องของอิ่นกวานหนุ่มไปคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
ปีนั้นคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่ไม่ใช่แม้กระทั่งผู้ฝึกกระบี่ ทำไมถึงสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งได้อย่างมั่นคง?
พูดถึงแค่เรื่องเดียวก็ทำให้สวีหนิงในทุกวันนี้อารมณ์ซับซ้อนทุกครั้งที่คิดถึง
ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต หรือแม้กระทั่งคนทุกคนในตรอกเล็กซอยใหญ่ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ขอแค่มีบันทึกอยู่ในเอกสารของคฤหาสน์หลบร้อน อิ่นกวานผู้นั้นก็ล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน
หากว่าจำแค่ชื่อ ประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ก็ยังไม่เท่าไร ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นเอาทุกคนมาร้อยเรียงต่อกันเป็นเส้นก็เพียงแค่เพื่อตามหาบุคคลที่อาจจะเป็นหมากลับที่เปลี่ยวร้างทิ้งไว้
เวลานี้ฉีโซ่วไม่ได้อยู่ที่นครบินทะยาน แต่ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของนครทัวเยว่ สองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไกลไปยังม่านฟ้า ดวงดาวดารดาษเต็มท้องนภา
ในสายตาของเขา เซียนซือทำเนียบบางคนที่ไม่มีความกังวลใดๆ บนเส้นทางการฝึกตน หากจำนวนครั้งในการลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์มีไม่มากพอ บางทีก็อาจมีอายุร้อยปีอย่างเสียเปล่า เป็นได้แค่ตัวอ่อนการฝึกตนเท่านั้น หากจะพูดถึงสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่ร่วมกับสังคม คาดว่าคงมิอาจเทียบบุรุษอายุยี่สิบหลายคนของล่างภูเขาได้ด้วยซ้ำ
โชคดีที่พวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของนครบินทะยานกำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างก็แสวงหาความก้าวหน้ามีปณิธานแน่วแน่ พยายามบุกเบิกที่ดินอย่างเต็มกำลัง
พวกผู้ฝึกกระบี่ฉายประกายคมกริบ ขณะเดียวกันก็ทำความผิดและแก้ไขความผิดอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่ที่นี่คือใต้หล้าใหม่เอี่ยม ไม่ว่าจะสถานที่หรือเวลาก็ล้วนอนุญาตให้ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานทำความผิดได้
บวกกับที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครบินทะยานที่มาจากใต้หล้าไพศาลอย่างเติ้งเหลียงมีประโยชน์ในการเป็นสะพานสานสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม
ทุกวันนี้ได้บุกเบิกภูเขาแล้วแปดลูก ทั้งยังสร้างนครอีกสี่แห่ง โดยมีนครบินทะยานเป็นจุดศูนย์กลาง วาดวงกลมออกไปเป็นอาณาเขตในรัศมีพันลี้
นอกจากนี้ยังมีแดนบินสี่แห่งที่อยู่ห่างจากนครบินทะยานไปไกลมากซึ่งต่างก็หยัดยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นั่นไม่ได้ปล่อยกระบี่ใส่คนต่างถิ่นมานานถึงสองปีเต็มแล้ว
ฉีโซ่วพลันตบหัวกำแพงใหม่เอี่ยม ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ในที่สุดทุกอย่างก็ล้วนใหม่ทั้งหมด”
จวนตระกูลเฉินบนถนนไท่เซี่ยง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเฉินจีอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงอ่านบันทึกส่วนตัวของปัญญาชนเล่มหนึ่ง เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางไกลคนหนึ่งซื้อมาจากผู้ลี้ภัยของใบถงทวีปในราคาต่ำ
ในห้องมีสาวใช้ประจำตัวคนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ นางได้เลื่อนจากขอบเขตก่อกำเนิดของเมื่อปีนั้นมาเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไม่นานมานี้
ดังนั้นเฉินจีที่หยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดมาโดยตลอดจึงรับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่ของตนในชาตินี้
แซ่ที่ยกให้คือแซ่เฉิน นามฮุ่ย
ฮุ่ย วันสุดท้ายของทุกเดือน
ความหมายแฝงคือนางสามารถเดินได้สูงได้ไกลบนมหามรรคา ได้มีชีวิตเป็นอมตะคอยมองเรื่องทุกอย่างไปอีกยาวนานอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงสามารถอยู่ต่อที่นครบินทะยาน กลายมาเป็นทางหนีทีไล่ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญ
เฉินจี หรือควรจะพูดว่าเฉินซีในชาติก่อน หลังจากที่สละร่างใต้คมอาวุธก็อาศัยเวทลับเสริมหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ ทั้งมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ นิสัยใจคอจึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อนอยากจะเป็นเจ้าเมืองคนแรกของนครบินทะยาน หวังเพียงว่าฉีโซ่วหรือใครบางคนจะสามารถแบกรับหน้าที่นี้ได้
ส่วนหนิงเหยานั้นช่างเถิด นางต้องไม่ยอมเป็นเจ้าเมืองอะไรแน่
อันที่จริงนครบินทะยานในทุกวันนี้มีผู้ฝึกกระบี่ไม่น้อยที่พากันเอ่ยทวงความเป็นธรรมแทนเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินซี หากไม่เป็นเพราะสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งแล้วเฉินซีตกอยู่ในวงล้อมหนาหนัก ถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ราชาเก่าสองตนนำพาผู้ฝึกตนเปลี่ยวร้างกลุ่มใหญ่มาดักทางเอาไว้ สุดท้ายเมื่อสังหารผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบไปได้อีกตนก็จำต้องสละร่างใต้คมอาวุธ ถ้าอย่างนั้นเฉินซีก็จะสามารถเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ได้แกะสลักตัวอักษรสองตัวเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
แน่นอนว่าเฉินจีไม่สนใจเรื่องพวกนี้
หนึ่งในแปดภูเขาใต้อาณัตินอกนครบินทะยาน ภูเขาจื่อฝู่
เติ้งเหลียงยืนอยู่หน้าป้ายศิลาเก่าแก่ มองตัวอักษรเก่าแก่สองบรรทัด ‘หกถ้ำแสงแดงตำราดำ ซานชิงจื่อฝู่คำเขียว’
หยิบเอากล่องหยกใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ไม่นานก็หลอมมันได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะคลำเจอธรณีประตูคอขวดขอบเขตหยกดิบแล้ว
นี่ก็คือโชควาสนาบนมหามรรคาที่ลี้ลับมหัศจรรย์
ราวกับว่าภูเขาลูกนี้ได้รอคอยเติ้งเหลียงเงียบๆ มานานหมื่นปีแล้ว
เป็นเหตุให้หลายปีมานี้เติ้งเหลียงมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่
สตรีที่รักบางคนที่มีชื่อว่า ‘ปู้เต๋อ’ (ไม่ได้รับมา) ในเมื่อปรารถนาแล้วไม่ได้มาครองก็ไม่หวังอีกต่อไปแล้ว
เติ้งเหลียงจึงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครบินทะยานในรัชศกเจียชุนที่เจ็ดของใต้หล้าห้าสี
เวลานั้นฉีโซ่วเพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบพอดี แต่เกาเหย่โหวยังเป็นขอบเขตก่อกำเนิด
เติ้งเหลียงหมุนตัวจากไป ไปเดินเล่นอยู่ในภูเขาจื่อฝู่
ใต้หล้าแห่งที่ห้ากว้างใหญ่เกินไปจริงๆ คนที่เข้ามาในใต้หล้าใหม่เอี่ยมก็มีน้อยเกินไป ก็เหมือนกับโยนปลาสองสามข้องลงไปในทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
เดินไปถึงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งก็ทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบใบไม้ร่วงใบหนึ่งขึ้นมา
ใบไม้ร่วงของต้นไม้ต่างบ้านต่างเมือง
ความคิดถึงเหมือนใบไม้ร่วงที่เกลื่อนเต็มพื้น มองไปแล้วก็เหมือนกันทุกใบ แต่อันที่จริงกลับไม่เหมือนกัน
ตัวแทนเถ้าแก่ผู้นั้นพูดได้ดี ความคิดถึงเพียงฝ่ายเดียวก็เหมือนการแขวนคอตาย เชือกที่รัดคอก็คือความคิดถึง คานขื่อเหนือศีรษะก็คือคนในใจที่ปรารถนาแต่ไม่ได้มาครอบครอง
คนที่รักเขาข้างเดียวซึ่งไม่สมหวังทุกคนล้วนคือผีที่ผูกคอตายซึ่งดวงวิญญาณไม่ยอมไปไหน
ไม่ทำให้คนตกใจ ไม่ทำร้ายคน แค่ทำให้คนหงุดหงิด ทำให้คนกลุ้มใจ
ทุกวันนี้เกาเหย่โหวคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว ควบดูแลหอกระบี่ หอภูษาและหอโอสถของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต เกาเหย่โหวจึงกลายเป็นท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างสมชื่อของนครบินทะยาน
แต่เกาเหย่โหวจะไม่สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับกิจธุระมากเกินไป ผู้ฝึกตนสายเฉวียนฝู่ ทุกวันนี้คนที่ดูแลเงินอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นเยาว์ที่คัดเลือกมาจากตระกูลเยี่ยนกับตระกูลน่าหลันมากกว่า จำนวนผู้ฝึกกระบี่ในบรรดาคนกลุ่มนี้มีไม่มาก คุณสมบัติธรรมดา ไม่อย่างนั้นก็ไม่ถึงขั้นมาดีดลูกคิดอยู่ในจวนเฉวียนฝู่ คงเป็นเพราะเปลี่ยนความโศกเศร้าและความโกรธให้เป็นพลัง เมื่อเทียบกับสมาชิกทั่วไปของจวนเฉวียนฝู่แล้วจึงทุ่มเทความคิดจิตใจไว้ที่สมุดบัญชีมากกว่า
ในจวนเฉวียนฟู่ แสงไฟสว่างไสว เกาเหย่โหวนั่งอยู่ในห้องบัญชีของตัวเอง เริ่มคิดถึงน้องสาวของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่ที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงอุตรกุรุทวีป การฝึกตนของนางราบรื่นหรือไม่ หาบุรุษที่ตรงใจเจอแล้วหรือยัง
เพียงแต่พอคิดถึงเรื่องที่นครบินทะยานจะสร้างสำนักศึกษาขึ้นมา เกาเหย่โหวก็เริ่มหงุดหงิดใจ ไม่ใช่เรื่องของเงินเลยสักนิด นี่แหละถึงเป็นปัญหา
ท่ามกลางม่านราตรี ในนครใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้สุดมีผู้ฝึกตนต่างถิ่นสองคน ผู้หนึ่งคือบุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดกว้าตัวยาวสวมรองเท้าผ้า อีกคนหนึ่งคือคนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ถือไม้เท้าเดินป่า
หน้าประตูเมืองมีแผงลอยอยู่แผงหนึ่ง ใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้ไม่มีเอกสารผ่านด่านอะไรให้เอ่ยถึง แต่อิงตามกฎที่นครบินทะยานกำหนดไว้ แขกที่มาเยือนจากทุกฝ่ายล้วนต้องเข้าพักที่นี่แต่โดยดี เขียนประวัติความเป็นมา ชื่อและฉายา บ้านเกิดสำมะโนครัว สำนักภูเขาของตัวเองให้ชัดเจน ยิ่งละเอียดยิ่งดี สรุปก็คือห้ามน้อยกว่าสามร้อยตัวอักษร ยิ่งมากก็ยิ่งดี ต่อให้เขียนนานเป็นชั่วยามก็ถือว่าเป็นความสามารถ เมื่อตัวอักษรมากยังจะได้ดื่มเหล้าที่เตรียมไว้ให้ก่อนแล้วกาหนึ่งด้วย เหมือนอย่างที่นครปี้สู่ทางเหนือก็มีเหล้าทะเลสาบคนใบ้หนึ่งกา ที่นี่ก็มีเหล้าที่ตระกูลเยี่ยนหมักขึ้นเองเหมือนกัน
ด้านหลังแผงลอยมีม้านั่งยาวหนึ่งตัว มีผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสองคนนั่งอยู่ หนึ่งชายหนึ่งหญิง ขอบเขตล้วนไม่สูง คนหนึ่งในนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางด้วยซ้ำ
“ผู้ที่มาคือใคร?”
“ฟังไม่เข้าใจ”
บุรุษจึงทำท่าชี้ไปทางเหนือและทางใต้ ความหมายคร่าวๆ ก็คือถามว่ามาจากที่ไหน
หากมาจากทางเหนือ บ้านเกิดก็คือฝูเหยาทวีป ไม่อย่างนั้นก็คือใบถงทวีปที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วหัวถนน
บุรุษชุดเขียวตอบด้วยภาษากลางของทวีปหนึ่ง “ผู้ฝึกตนของใบถงทวีป โต้วอี้ ผู้ติดตามคือโม่เซิง”
บุรุษข่มกลั้นความไม่พอใจในใจเอาไว้ ถามด้วยภาษากลางของใบถงทวีปที่สำเนียงไม่ชัดเจนนัก “รู้กฎของที่นี่หรือไม่?”
“เพิ่งมา ไม่รู้”
บุรุษหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งพลิกมาให้ดู ชี้ไปที่โต๊ะด้านหน้า “เขียนตามหัวข้อด้านบนนี้ให้ชัดเจนก็พอ”
พอได้ยินว่าอีกฝ่ายคือผู้ฝึกตนจากใบถงทวีป สีหน้าก็ไม่ค่อยดี แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้พูดจาร้ายกาจใส่ หากไม่เป็นเพราะมีหน้าที่ติดตัว เปลี่ยนไปเป็นสถานที่อื่น แม้แต่จะมองให้เต็มตาเขาก็คงไม่มอง
ดังนั้นบุรุษที่บอกว่าตัวเองชื่อโต้วอี้จึงนั่งลงบนม้านั่งยาว ตรงข้ามกับผู้ฝึกกระบี่ทั้งสอง เริ่มยกพู่กันเขียนตัวอักษร
บุรุษหนุ่มสีหน้าไม่กระโตกกระตาก แต่ใช้เสียงในใจถามหญิงสาวข้างกาย “ตัวอักษรนี้อ่านว่าอี้หรือ?”
หญิงสาวเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่รู้เหมือนกัน ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก”
บุรุษทนไม่ไหวใช้เสียงในใจด่าไปหนึ่งคำ “บัณฑิตชาติสุนัข ไม่เสียแรงที่เป็นตะพาบที่มาจากใบถงทวีป”
สตรีพยักหน้ารับเบาๆ เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
คิดไม่ถึงว่าคนชุดเขียวยิ่งเขียนจะยิ่งฮึกเหิม ขอกระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าก็ยังเขียนไม่เสร็จ
ทุกครั้งที่อีกฝ่ายเขียนเสร็จหนึ่งแผ่น ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็จะยื่นมือมารับ มารดามันเถอะ ตัวอักษรอ่านยากพวกนี้รู้จักข้าผู้อาวุโส แต่ข้าผู้อาวุโสไม่รู้จักพวกมัน ลายมือสุภาพเรียบร้อยแบบนี้ เจ้าเห็นตัวเองเป็นเถ้าแก่รองของพวกเราหรือไร
ผู้ฝึกกระบี่หญิงกลับอ่านอย่างเพลิดเพลิน อืม เขียนได้มีสีสันน่าสนใจไม่น้อยเลยนะ
พอมองประเมินบุรุษชุดเขียวอีกที ไม่ถือว่าหล่อเหลา นับว่ารูปโฉมได้สัดส่วนมากกว่ากระมัง แต่พอมองอีกหลายๆ ทีกลับรู้สึกสบายตาขึ้นกว่าเดิม
เป็นเพราะคนชุดเขียวเคารพกฎระเบียบอย่างมาก ดูจากท่าทางแล้วน่าจะยังเขียนได้อีกหลายแผ่น เพราะเมื่อครู่กระดาษสุดท้ายเพิ่งจะเขียนไปถึงว่าเจ้าหมอนี่รบหลายครั้งพ่ายแพ้หลายครั้งบนสนามสอบเคอจวี่ ในที่สุดก็ติดกระดานทองคำ อันที่จริงตัวอักษรเกินสามร้อยตัวนานแล้ว บุรุษจึงอดไม่ไหวถามว่า “ดื่มเหล้าหรือไม่? หากว่าดื่มได้ก็พักสักหน่อย ค่อยๆ เขียนก็ได้ เหล้านี้ไม่คิดเงิน”
คนผู้นั้นเขียนตัวอักษรไปเงยหน้ายิ้มเอ่ยไป “ข้าดื่มเหล้าไม่เก่ง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดื่ม?”
“ดื่มสิ ทำไมจะไม่ดื่มล่ะ ถึงอย่างไรก็ไม่เก็บเงินนี่นา”
สตรีได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้มหวาน ช่วยรินเหล้าให้หนึ่งชาม
บุรุษชุดเขียววางพู่กันในมือลง บิดหมุนข้อมือช้าๆ หันหน้ามาเอ่ยเชื้อเชิญ “เสี่ยวโม่ นั่งลงดื่มด้วยกัน ประวัติของเจ้ายังต้องรออีกสักเดี๋ยว คืนนี้ความคิดพรั่งพรูดุจน้ำพุ อยากห้ามก็ห้ามไม่อยู่”
ผู้ติดตามหนุ่มที่ชื่อประหลาดจึงนั่งลงอีกด้านของม้านั่งยาว นั่งตัวตรงอย่างสำรวม รับชามเหล้ามา ผงกศีรษะยิ้มบางๆ ขอบคุณผู้ฝึกกระบี่หญิง
ยกชามเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งอึก บุรุษชุดเขียวก็พลันยิ้มตาหยีถามว่า “ไม่แปลกใจหรือว่าทำไมจู่ๆ ข้าถึงฟังภาษาทางการของนครบินทะยานพวกเจ้าเข้าใจ?”
สตรียิ้มเอ่ย “ไม่แปลกใจ ถึงอย่างไรก็มีกระบี่บินแจ้งเข้าไปในเมืองแล้ว”
ที่แท้ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มถามอีกฝ่ายว่าจะดื่มเหล้าหรือไม่ได้จงใจเปลี่ยนมาใช้ภาษาทางการของนครบินทะยาน คนชุดเขียวก็ติดกับอย่างโง่งมจริงเสียด้วย
เฉินผิงอันพยักหน้า ผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานไม่เลวเลยนี่นา
พี่ฉีโซ่วใช้ได้เลย
ล้วนเป็นพี่น้องคนดีที่เคยทำการค้าต่อชีวิตกันมาก่อน คิดดูแล้วเขาก็น่าจะคิดถึงตนมากเหมือนกันกระมัง
เฉินผิงอันพลันได้ยินเสียงใสเย็นดังขึ้นด้านหลัง “เหล้าอร่อยไหม?”
ความหมายคร่าวๆ ก็คืออยากถามเขาว่าเล่นก่อกวนเช่นนี้ สนุกมากไหม?
เจ้าคิดจะเดินเที่ยวให้ทั่วนครใต้อาณัติสี่แห่งและภูเขาทั้งแปดลูกก่อนแล้วค่อยไปนครบินทะยานใช่หรือไม่?
ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปนั่งที่อารามเสวียนตูกับตำหนักสุ้ยฉูเสียเลยเล่า? ถึงอย่างไรเจ้าก็มีเพื่อนเยอะอยู่แล้ว
จากนั้นพอไปถึงนครบินทะยานก็ไปนั่งที่ร้านเหล้าบ้านตัวเองก่อน เดินเล่นในคฤหาสน์หลบร้อนช้าๆ สักหนึ่งรอบ แล้วค่อยแวะไปดูที่คฤหาสน์หลบหนาวอีกทีดีไหมล่ะ?
เสี่ยวโม่ลุกขึ้นยืนแล้ว ขยับหลบไปด้านข้างสองสามก้าว
ผู้ฝึกกระบี่สองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหันมามองหน้ากันเอง จากนั้นรีบลุกขึ้นยืน
หนิงเหยามาได้อย่างไร?!
ต่อมาผู้ฝึกกระบี่สองคนก็เห็นว่าคนชุดเขียวยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นหมุนตัวก่อนค่อยลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางยื่นมือไปหาหนิงเหยา
หนิงเหยาเลิกคิ้ว หมายความว่าไง?
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เอาใจไป”
หนิงเหยาถลึงตาใส่ “โรคจิต!”
ผู้ฝึกกระบี่สองคนและยังมีผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งที่ขี่กระบี่มายังนครแห่งนี้ต่างก็อึ้งงันไปตามๆ กัน เจ้าหมอนี่ดื่มเหล้าของบางร้านมากเกินไปจนโง่ไปแล้วหรือไม่ ถึงได้กล้าพูดกับหนิงเหยาเช่นนี้? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้หนิงเหยาไม่ฟันเจ้าตาย หากเถ้าแก่รองผู้นั้นรู้เข้าล่ะก็ จุ๊ๆ
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ ถอนเวทอำพรางตาออก กลับคืนมามีรูปโฉมของตัวจริง กุมหมัดยิ้มเอ่ย “ทุกท่าน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ผู้ฝึกกระบี่ที่ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่ห่างไปไกลพลิ้วกายลงบนพื้นทันที แต่ละคนกุมหมัดเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “คารวะอิ่นกวาน!”
ไม่สนแล้วว่าหนิงเหยาใช่อิ่นกวานชั่วคราวหรือไม่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว
อีกอย่างไม่ว่าจะมีความรู้สึกอย่างไรต่ออิ่นกวานหนุ่ม จะดีหรือร้าย แต่ในเรื่องของการรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับ
นครแห่งหนึ่ง แสงกระบี่พลันผุดขึ้นมาจากทั่วสารทิศในชั่วพริบตา ขณะเดียวกันแสงไฟก็ค่อยๆ สว่างจ้า เสียงดังจอแจเกินจะกล่าว มีแต่เสียงเอะอะฟังแล้ววุ่นวายโกลาหลดังขึ้นๆ ลงๆ
“อิ่นกวานกลับมาแล้ว!” “จริงหรือหลอก?” “หลอกเจ้าข้าก็คือหน้าม้าร้านเหล้า” “เถ้าแก่รองชาติสุนัข ถ้าจะเป็นเจ้ามืออย่าลืมพาข้าไปด้วยนะ” “เถ้าแก่รอง ในนครบินทะยานมีคนขายเหล้าปลอม เรื่องนี้ท่านไม่คิดจะดูแลหน่อยหรือ? ข้าสามารถนำทางให้ได้นะ” “ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้วไงว่าอิ่นกวานตัดใจจากเหล้าของพวกเราไม่ได้ ใต้หล้าไพศาลมีอะไรดี มาแล้วก็อย่าจากไปอีกเลยนะ”
บางทีในใจของผู้ฝึกกระบี่นครบินทะยาน อิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่เซียวสวิ้นนานแล้ว ถึงขั้นที่ว่าไม่ใช่หนิงเหยา บางทีแต่ไหนแต่ไรมาก็มีเพียงคนหนุ่มที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองเพียงลำพัง คนที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิงซึ่งยืนโบกมืออำลานครบินทะยานผู้นั้น
คนผู้นั้นที่ชื่อเฉินผิงอัน เป็นทั้งคนต่างถิ่น แล้วก็เป็นทั้งคนบ้านเดียวกัน