กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 913.3 ถามกระบี่เช่นนี้
เพราะว่าบุคคลนี้ อายุที่แท้จริงมีแต่จะเป็น ‘วัยเดียวกัน’ กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างพอดี อีกทั้งยังจะต้อง ‘เกิดวันเดียวกัน’ กับใต้หล้าพอดีด้วย
ผู้ฝึกบำเพ็ญตนที่ถือว่า ‘ฟ้าดินเลี้ยงดู’ อย่างแท้จริงผู้นี้มีอายุเท่ากับฟ้าดิน เกิดวันเดือนปีเดียวกันกับฟ้าดิน แล้วก็จะต้องตายวันเดือนปีเดียวกันกับฟ้าดิน
‘นักพรต’ ที่แทบจะมองเป็นต้นกำเนิดของโชคชะตาแห่งฟ้าดินได้ผู้นี้ จะมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับบุคคลอันดับหนึ่งด้านการฝึกตนของฟ้าดิน เป็นความสัมพันธ์ที่ลุ่มลึกอย่างยิ่ง
หากมหามรรคาของทั้งสองเดินไปคนละทาง ก็จะเป็นการช่วงชิงบนมหามรรคาที่อันตรายอย่างถึงที่สุดครั้งหนึ่งแล้ว
แต่หากมหามรรคาของทั้งสองสอดคล้องต้องกันก็จะกลายเป็นสหายบนมหามรรคาอย่างสมชื่อได้อย่างแท้จริง
เสี่ยวโม่เอ่ย “หากว่าเอาไปวางไว้ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ว่าจะสามารถยืนยันสถานะของแม่นางน้อยคนนี้ได้หรือไม่ เวลานี้นางต้องตายแน่นอนแล้ว พูดให้ถูกก็คือ อยู่ไม่สู้ตาย จะต้องถูกเวทลับบางอย่างพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา ถูกดึงสามจิตเจ็ดวิญญาณออกมา อย่างมากสุดก็เหลือแค่หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณเท่านั้น ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ไปจุติเกิดใหม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นดั่งคำว่าอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี จะถูกมหามรรคาของใต้หล้าแห่งหนึ่งแว้งกลับมาโจมตีมากเกินไป ส่วนอื่นๆ ที่เหลือจะต้องแยกเอาไปกักขังอยู่ทั่วสี่ทิศของฟ้าดิน จุดจบก็จะเหมือนบรรพจารย์คนแรกของสำนักการทหารที่ถูก ‘ร่วมสังหาร’ ผู้นั้น”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต่างคนต่างฝึกตนแล้วไปเจอกันบนยอดเขา”
เสี่ยวโม่ยิ้มกล่าว “ได้เจอกับคุณชายและฮูหยิน เด็กหญิงคนนั้นก็ช่างโชคดีจริงๆ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินออกมาจากเรือนเพียงลำพัง สาวเท้าเดินเนิบช้า มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เฉินผิงอันเดินมาถึงหน้าประตูจวนโดยไม่รู้ตัว นั่งลงในห้องเล็กๆ หน้าประตู
ชีวิตมนุษย์แปรปรวนไม่แน่นอน พเนจรร่อนเร่มีพบมีพราก
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปโดยไร้เรื่องราวใด
ยามฟ้าสาง บนถนนใหญ่นอกประตูมีโอสถทองเฒ่าคนหนึ่งเดินผ่านมา เห็นเถ้าแก่รองอยู่ในห้องหน้าประตูก็รู้สึกยินดีอย่างที่ไม่คาดฝัน ไม่ต้องเคาะประตูก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน
“เถ้าแก่รอง ไม่เป็นนักบัญชีมาเป็นคนเฝ้าประตูแล้วหรือ? ถูกลงโทษให้ยืนหรือไร? เกิดอะไรขึ้น พอกลับมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย จะให้ข้าไปคุยกับหนิงเหยาสักหน่อยไหม แบบนี้ไม่เข้าท่าเลยนะ หากแพร่ออกไปย่อมไม่น่าฟัง จะทำลายชื่อเสียงบารมีของใต้เท้าอิ่นกวานเอาได้”
เวลาเถ้าแก่รองไปดื่มเหล้าที่ร้านบ้านตัวเองก็มักจะถูกปิดประตูใส่หน้าไม่ได้เข้าบ้านเป็นประจำ เคยมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งพูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่าเถ้าแก่รองของพวกเราช่างน่าสงสารนัก ดึกดื่นกลับไปถึงบ้าน เคาะประตูไม่มีคนตอบรับ แล้วดันไม่กล้าบุกเข้าไป แม้แต่ความกล้าที่จะปีนกำแพงก็ยังไม่มี เลยได้แต่ไปนอนอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูให้ผ่านพ้นไปหนึ่งคืน
เถ้าแก่รองเดินออกมาจากห้องหน้าประตู เอนกายพิงกรอบประตู มือสองข้างสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ
ผู้ฝึกตนเฒ่าเห็นท่าไม่ดี ตอนที่วิ่งเหยาะๆ ขึ้นบันไดมาก็โยนเหล้ามาให้กาหนึ่งด้วย ผลคือถูกเถ้าแก่รองใช้มือตบกลับไป “เหล่าซ่ง เช้าตรู่แบบนี้ดื่มเหล้าคืนวิญญาณอะไรกัน เมื่อคืนวานกอดจู๋ฮูหยินไม่พอหรือ?”
อืม เป็นเถ้าแก่รองตัวจริงเสียด้วย ไม่ใช่ตัวปลอมแน่นอน
คนปกติไม่มีทางพูดจาทำนองนี้ออกมาได้
ตัวแทนเถ้าแก่ก็พูดจาตลกขบขันเช่นกัน แต่ก็ยังไม่เหมือนกับเถ้าแก่รอง
นั่งลงบนขั้นบันไดนอกประตูด้วยกัน เหล่าซ่งผู้นี้ แน่นอนว่าเคยเป็นหนึ่งในหน้าม้าร้านเหล้าในอดีต
คือโอสถทองเฒ่าคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็เคยเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในหอโอสถ เคยช่วยบันทึกคุณความชอบในการสู้รบ ดื่มเหล้าเก่ง แล้วก็เล่นพนันเก่ง แต่พฤติกรรมยามดื่มเหล้าไม่ไหวจริงๆ เวลาดื่มจนเมามายแล้วน้ำมูกน้ำตามักจะไหลเต็มใบหน้า พฤติกรรมยามเดิมพันก็ยิ่งแย่ เดิมพันเมื่อไหร่แพ้เมื่อนั้น เรียกว่าโอสถทองเฒ่า แต่อันที่จริงไม่ได้บอกว่าอายุของเขามาก ก่อนที่จะสร้างโอสถก็เป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่คุณสมบัติไม่เลว ตอนที่เหล่าซ่งอายุยังน้อย ต่อให้ไม่อาจเรียกได้ว่าผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่ง แต่ก็ถือเป็นบุรุษมากความสามารถในบรรดาคนรุ่นเขา ยามอยู่บนโต๊ะเหล้ามักจะบอกว่าตอนหนุ่มตัวเองมีเนื้อหนังมังสาที่ดี ขนาดอู๋เฉิงเพ่ย หมี่อวี้ก็ยังเป็นรองเขา
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดหลายคนที่อายุมากแล้ว เวลาไปดื่มเหล้าที่ร้านก็มักจะชอบเรียกเขาว่าเหล่าซ่ง
“ใต้เท้าอิ่นกวาน กะว่าจะอยู่นานแค่ไหน?”
“ขาดเงินใช้อีกแล้วรึ?”
“กำลังพูดถึงมิตรภาพนะ จะพูดถึงเงินทำไมกัน”
“เหล่าซ่ง จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็นโอสถทองคนหนึ่ง ไม่เคยคิดจะไปทำงานอยู่กับสายสิงกวานบ้างเลยหรือ?”
“ไม่ได้ไป ศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานไม่ต้องการ ข้าเองก็ไม่มีหน้าไปนั่งอยู่ที่นั่น คฤหาสน์หลบร้อนของพวกเจ้าก็ไม่รับอีก ข้าก็อยากไปอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ไม่มีหนทาง สูงไม่ได้ต่ำก็ไม่ได้ ก็เลยอยู่ไปวันๆ แบบนี้ เจ้าเองก็รู้ว่าข้าไม่ค่อยถูกชะตากับคุณชายที่เดินออกมาจากบ้านตระกูลใหญ่อย่างฉีโซ่วสักเท่าไร ปีนั้นเฉินซานชิวถูกข้ากรอกเหล้าไปไม่น้อย ข้าก็เลยได้งานที่พอจะมีค่าน้ำร้อนน้ำชาที่นครเหล่าหลินมา อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยมองสีหน้าคนอื่น น่าเสียดายที่พอในมือมีเงินเหลือก็เอาไปให้ที่ร้านเหล้าของเจ้าหมดแล้ว ทุกๆ ต้นเดือนสั่งเหล้าภูเขาชิงเสินสองกา พอถึงกลางเดือนก็ดื่มเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ปลายเดือนค่อยดื่มเหล้าทะเลสาบคนใบ้ เดือนหนึ่งก็ผ่านไปอย่างนี้ ตอนนี้เจ้าพวกลูกกระต่ายน้อยกลุ่มนั้น ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าใช่ตัวอ่อนเซียนกระบี่หรือไม่แล้ว แต่ละคนขอบเขตไม่สูง ทว่าดวงตาล้วนไปงอกอยู่บนหน้าผาก เจอข้าเหล่าซ่งก็ไม่รู้จักชวนข้าไปดื่มเหล้าเสียบ้าง”
“เด็กที่เมื่อก่อนสวมกางเกงเปิดก้น เวลาเจอเจ้าบนถนนก็ยังเรียกเจ้าคำแล้วคำเล่าว่าเหล่าซ่งไม่ใช่หรือ”
“ไม่เหมือนกันหรอก แต่ไม่เหมือนกันอย่างไร ข้าก็พูดไม่ถูก มันเป็นเรื่องของความรู้สึกน่ะ”
เหล่าซ่งพูดมาถึงตรงนี้ก็อดกระดกเหล้าดื่มอย่างอัดอั้นไม่ได้
“เถ้าแก่รอง แบบนี้ไม่ค่อยดีหรือไม่?”
“ตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หลังจากนี้จะดีหรือไม่ดี ยังบอกได้ยาก”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควบคุมเสียบ้างสิ”
“เรื่องบางอย่างก็ได้แต่เดินก้าวหนึ่งดูไปก้าวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นถึงเวลาก็จะกลายเป็นว่า ‘หากเป็นอย่างนั้น’ บัญชีเลอะเลือนบัญชีหนึ่ง เต็มไปด้วยความอาฆาตไม่พอใจ”
“เถ้าแก่รอง เจ้าก็อย่ามัวมาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับข้าอยู่เลย อุตส่าห์ได้กลับมาทั้งที เจ้าไม่อาจ…ประโยคนั้นพูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”
“นิ่งดูดาย?”
“ไม่ใช่ ไม่ได้เป็นการเป็นงานขนาดนี้”
“หรือจะเป็นประโยคบ้านๆ ของบ้านเกิดข้า ยืนอยู่บนฝั่งมองสายน้ำใหญ่?”
“ใช่เลย ประโยคนี้แหละ แต่ภาษาถิ่นของบ้านเจ้าพูดแล้วฟังรื่นหูกว่า”
“เช้าตรู่ก็วิ่งมาดักหน้าประตู คงไม่ใช่มาเพื่อโอ้อวดกับข้าว่าตัวเองยังเป็นโสดอยู่กระมัง?”
“ก็เพราะว่าข้าคิดถึงเถ้าแก่รองไม่ใช่หรือ”
“เหล่าซ่ง วันหน้าเวลาไปดื่มเหล้าที่ร้านกับพวกเฝิงฉี สามารถแหกกฎเชื่อเงินไว้ก่อนได้ ข้าจะบอกกล่าวกับเจิ้งต้าเฟิงเอาไว้ แต่พวกเจ้าต้องจำไว้ว่าอย่าเอาไปโอ้อวดให้คนอื่นรู้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าร้านข้าก็อย่าหวังว่าจะเปิดประตูทำกิจการได้อีกเลย”
“แบบนี้จะดีหรือ”
“คิดอะไรน่ะ แค่เชื่อเงิน ใช่ว่าจะไม่จ่ายเงินเสียหน่อย!”
“ข้าเข้าใจ เข้าใจ”
“เจ้าเข้าใจกะผายลมอะไร เชื่อเงินกลางเดือน ต้นเดือนต้องใช้คืน”
“ขอแค่เชื่อเงินได้ อย่าว่าแต่เข้าใจกะผายลมเลย ไม่เข้าใจผายลมก็ยังได้ นี่เป็นเรื่องเงินหรือ เป็นเรื่องของหน้าตา มีแค่เฉพาะข้าเท่านั้น! เถ้าแก่รอง ไม่สู้มาปรึกษากันดู สหายทั้งหลายของข้าก็อย่าให้เชื่อเงินเลย ทุกวันนี้พวกเขามีเงิน มีแค่ข้าคนเดียวที่เชื่อเงินได้ เป็นอย่างไร? ฝีมือการแสดงของพวกเขาก็แย่มากด้วย มีหลายครั้งที่เกือบจะเผยพิรุธ ถูกด่าว่าเป็นหน้าม้าไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ไม่เหมือนข้า จนถึงตอนนี้ก็ยังมีแค่ไม่กี่คนที่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสอง”
“เหล่าซ่ง หลายปีมานี้เจ้าเป็นโสดมาตลอด ยังถูกสหายด่าจนเทียบหมาสักตัวก็ไม่ได้ นี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลนะ”
“สู้เถ้าแก่รองไม่ได้ ก็ไม่แปลก ข้ายอมรับ”
“…”
“เถ้าแก่รอง ทำไมถูกด่าแล้วไม่ตอบโต้คืนเล่า อย่าเป็นแบบนี้สิ ข้าขนลุกนะ”
ชื่อจริงของเหล่าซ่ง บางทีนอกจากสหายเก่าแก่ของเขาแล้ว คนรุ่นเยาว์หลายคนของนครบินทะยานในทุกวันนี้ก็อาจจะไม่รู้ ได้ยินว่าเขาชื่อเหล่าซ่งมาจนชินแล้วก็เลยเรียกว่าเหล่าซ่งตามไปด้วย
อันที่จริงชื่อของเขานั้นดีมาก ซ่งโยวเวย
ใต้หล้าไพศาลในอดีตไม่เคยสนใจความเป็นความตายของผู้ฝึกกระบี่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้กลับรู้สึกอีกว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ละคนล้วนมีพลังพิฆาตเลิศล้ำ คุณูปการในการสู้รบนับไม่ถ้วน
ไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย
ในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีผู้ฝึกกระบี่มากมายเหลือเกินที่เป็นเหมือนซ่งโยวเวย ดื่มเหล้าแล้วก็ยากจะรู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง ชนะได้เงินเดิมพันก็ไม่รู้สึกสาสมใจ
ปัญหานั้นอยู่ที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเขา
ยกตัวอย่างเช่นแท้จริงแล้วซ่งโยวเวยได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง ตามหลักแล้วอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถือว่าแย่ เล่มหนึ่งมีชื่อว่า ‘หลงม่าย’ เล่มหนึ่งมีชื่อว่า ‘ตู้จิน’ อย่างหลังหากอยู่ในสนามรบ สามารถช่วยให้ผู้ฝึกกระบี่บางส่วนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อับจนคล้ายกับว่ามีชุดคลุมอาคมช่วยชีวิตระดับขั้นสมบัติอาคมเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง
ดังนั้นหลังจากที่ซ่งโยวเวยเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว ก่อนจะกลายเป็นโอสถทอง เพียงแค่เพราะกระบี่บิน ‘ตู้จิน’ ขอบเขตถดถอยสองครั้ง ชีวิตนี้จึงหมดหวังที่จะเลื่อนเป็นก่อกำเนิดแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นอย่างซ่งโยวเวยยังนับว่าดี จะดีจะชั่วก็เคยลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูนอกหัวกำแพงเมืองมาก่อน มีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมีชื่อว่า ‘จือหนวี่’ (สาวทอผ้า) ชั่วชีวิตนี้ก็แทบได้แต่อยู่ในหอภูษาเท่านั้น มีเพียงตอนเป็นเด็กหนุ่มเท่านั้นถึงจะเคยไปที่หัวกำแพงเมือง มีคนที่วิชาอภินิหารของกระบี่บินเกี่ยวข้องกับการหล่อหลอม จึงได้แต่อุดอู้อยู่แต่ในหอกระบี่ เก็บตัวเงียบแทบไม่ได้ออกไหน แทบไม่มีสหาย
และยิ่งมีผู้ฝึกกระบี่บางส่วนที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหมือนกับเรื่องตลก ทำให้คนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ต่อให้พวกเขาไปที่สนามรบก็เหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่มีกระบี่บิน มีแต่ขอบเขตอย่างเดียว ได้แต่ใช้กระบี่ยาวของหอกระบี่มาต้านรับศัตรูสังหารปีศาจเท่านั้น
พูดถึงแค่เด็กๆ เก้าคนที่เฉินผิงอันพากลับบ้านเกิด หากว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ทำสงครามต่ออีกสักยี่สิบสามสิบปี ป๋ายเสวียนก็จะเป็นเหมือนผู้อาวุโสผู้ฝึกกระบี่หลายคนในประวัติศาสตร์ หากเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ ‘ได้แค่ต่อสู้ครั้งเดียว’ เหยาเสี่ยวเหยียนที่ต่อให้ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากอาจารย์กระบี่ผู้ถวายงานของตระกูลแล้ว ก็แทบจะไม่มีทางเตรียมผู้ปกป้องมรรคาคนอื่นให้กับนาง เนื่องจากไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย
ส่วนก่อกำเนิดเฒ่าที่ปีนั้นอยู่ดีๆ ก็สามารถแต่งบทกลอนเป็น กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งมีชื่อว่า ‘เหมินเสิน’ (เทพทวารบาล) ไม่มีประกายเฉียบคมใดๆ ให้กล่าวถึง หากเรียกมันออกมาบนสนามรบ แสงกระบี่จะช้ามาก ถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นมดย้ายรัง ดังนั้นจึงได้แต่เอามาใช้หล่อเลี้ยงบำรุงจิตต้นกำเนิดของโอสถทอง จึงมักจะเอามาคอยช่วยปกป้องมรรคายามที่ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นปิดด่านเท่านั้น
พวกเขาใช่ผู้ฝึกกระบี่ไหม?
แน่นอนว่าใช่ ล้วนใช่
แต่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยอมรับหรือไม่? บางทีอาจยอมรับ และบางทีอาจไม่ยอมรับ
หากว่าทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี แค่พูดมาง่ายๆ ประโยคเดียวว่า เจ้าเคยไปเยือนสนามรบไหม คุณความชอบทางการสู้รบมีกี่มากน้อย?
จะให้คนตอบอย่างไร?
พวกผีขี้เหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่แน่เสมอไปว่าจะชอบดื่มเหล้ากันสักเท่าไร เพียงแต่ว่าหากไม่ดื่มเหล้าแล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก
คงเป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสัมผัสได้ว่าเถ้าแก่รองคล้ายจะอารมณ์ไม่ดี จึงตบไหล่ของเฉินผิงอัน พูดปลอบใจว่า “เถ้าแก่รอง อย่าโมโหไปเลย เรื่องที่เจ้าไม่ใช่คนโสดแต่ยิ่งกว่าคนโสดนี้ ชินไปแล้วก็ดีเอง ข้าเหล่าซ่งมีนิสัยอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ขึ้นชื่อว่าปิดปากแน่นสนิท ไม่มีทางพูดส่งเดชไปทั่วอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันสบถด่า “มารดามันเถอะ ข้าผู้อาวุโสกำลังเสียใจให้กับกระบี่บินเละเทะสองเล่มนั้นของเจ้า”
เฮ้อ ทำไมถึงเป็นคนใจร้อนนักนะ
บัณฑิตนี่ชอบเปลี่ยนสีหน้าไม่จำคนจริงๆ เสียด้วย
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน
ดื่มเหล้าของเถ้าแก่รอง โดนเถ้าแก่รองด่า มองหมัดของเถ้าแก่รอง ล้วนดีเยี่ยมทั้งหมด
หลายปีมานี้ที่อิ่นกวานหนุ่มไม่อยู่ในนครบินทะยาน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชอบหรือไม่ชอบเถ้าแก่รอง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เงียบเหงากันไปมาก
……
กระบี่บินส่งข่าวที่ได้รับช่วงหิมะน้อยหลังฤดูหนาวของปีนี้ หลิ่วจื้อชิงเชื้อเชิญให้หลิวจิ่งหลงไปถามกระบี่ที่สำนักฉงหลินด้วยกัน
ทั้งสองฝ่ายนัดหมายกันว่าจะไปเจอกันที่อาณาเขตของพรรคใต้อาณัติของสำนักฉงหลิน
แต่หลังจากที่หลิวจิ่งหลงออกไปจากยอดเขาเพียนหรานก็ทิ้งลูกศิษย์อย่างป๋ายโส่วเอาไว้ ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปเพียงลำพัง บอกให้ป๋ายโส่วไปถึงท่าเรือตามเวลาที่นัดหมายกันก็พอ
ดังนั้นหลิวจิ่งหลงจึงไปถึงท่าเรือใต้อาณัติของพรรคโม่หลงล่วงหน้าก่อนป๋ายโส่วและหลิ่วจื้อชิงสามวัน เขาเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋า เข้าพักที่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเรือนลั่วฮวา
ท่ามกลางม่านราตรีหนาหนัก สายฝนเทกระหน่ำลงมา หลิวจิ่งหลงเดินกางร่มพาเด็กหนุ่มเรือนกายผ่ายผอมมาด้วยคนหนึ่ง ช่วยร่ายเวทอำพรางให้กับเขา มือหนึ่งถือร่ม มือหนึ่งจับแขนของเด็กหนุ่มไว้เบาๆ เดินเท้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมด้วยกัน
ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมตรวจสอบสถานะทำเนียบภูเขาสายน้ำของเด็กหนุ่มและจดลงบันทึกเรียบร้อยแล้วก็เปิดห้องใหม่ให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนักพรตอวิ๋นโหยวผู้นี้
หลิวจิ่งหลงมอบยาทาและยากินให้เด็กหนุ่มสองขวด หนึ่งทาภายนอกหนึ่งกินภายใน อธิบายให้ฟังอย่างละเอียดสองรอบว่าควรใช้ยาอย่างไร รอกระทั่งเด็กหนุ่มบอกว่าตัวเองจำได้แล้ว หลิวจิ่งหลงก็บอกให้เด็กหนุ่มรักษาบาดแผลให้ดี ตนพักอยู่ห้องข้างๆ เขานี่เอง
เด็กหนุ่มที่รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลกถามเสียงสั่น “ไม่ทราบว่าเซียนซือมีนามว่าอะไร?”
หลิวจิ่งหลงยิ้มบางๆ “หลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย”
นอกหน้าต่างมีเสียงฟ้าผ่าดังครืนครั่นพอดี เด็กหนุ่มที่เจอการทรมานในคุกภูเขาของภูเขาพรรคโม่หลงมาจนเต็มกลืนสะดุ้งโหยง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ พึมพำกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าสำนักกระบี่ไท่ฮุย เจ้าสำนักหลิว เซียนกระบี่หลิว…
หลิวจิ่งหลงค้อมเอวหยิบร่มกระดาษน้ำมันที่วางพิงไว้ในมุมขึ้นมา ก่อนจะออกจากห้องได้ถามว่า “ซ่านเถิง เจ้าเกลียดแค้นเซียนซือทำเนียบพวกนั้นไหม?”
เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมอง เม้มปากเน้น อยากพยักหน้าแต่ก็ไม่กล้า อยากส่ายหน้า แต่ก็ไม่ยินดี
หลิวจิ่งหลงเอ่ย “ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น แล้วจะใช้อะไรตอบแทนความดี ไม่เกลียดสิถึงจะแปลก เพียงแต่ว่าเรื่องการแก้แค้นจะรีบร้อนไม่ได้”
ในสายตาที่หมดอาลัยตายอยากของเด็กหนุ่มซ่านเถิง ในที่สุดก็มีชีวิตชีวากลับคืนมาได้หลายส่วน เขาเงยหน้าขึ้นมองเซียนกระบี่ใหญ่ที่ไม่ค่อยเหมือนกับที่คิดไว้สักเท่าไร ปลุกความกล้าถามว่า “สามารถแก้แค้นได้จริงหรือ?”
หลิวจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ต้องแก้แค้นสิ”
ก่อนที่หลิวจิ่งหลงจะปิดประตูห้องลงเบาๆ ก็ได้ยิ้มอธิบายว่า “ซ่านเถิง อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้พบตู้อวี๋แล้ว”
ซ่านเถิงกระจ่างแจ้งในฉับพลัน แต่ไม่นานก็รู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมาอีก จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าสำนักหลิว พี่ใหญ่ตู้คือ…สหายของท่านหรือ?”
หลิวจิ่งหลงส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักตู้อวี๋ แต่ตู้อวี๋มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของข้า เชื่อว่าข้ากับตู้อวี๋ก็ต้องกลายเป็นเพื่อนกันได้แน่นอน”