กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 914.3 กลอนคู่ประตูมังกร
“ใต้หล้าห้าสีในทุกวันนี้ ปลาและมังกรปะปนกัน ผู้ฝึกลมปราณที่ประหลาดแค่ไหนล้วนมีหมด พูดถึงแค่ใต้หล้าไพศาลก็มีตู้ฉีหลางแห่งทะเลทักษิณ กั้วเค่อ เทพแห่งโรคระบาด ศพงาม เพชฌฆาตและคนขายกระจก ฯลฯ ส่วนใต้หล้ามืดสลัวก็มีโจรขโมยข้าวสาร เซียนสละศพ มือสาวงามม้วนผ้าม่าน คนแบกหาม คนยกโลงศพ ทูตตระเวนภูเขา ขุนนางหญิงแต่งหน้า คนถือดาบ อาจารย์คำเดียว ทาเหลี่ยวฮั่น วิชาอภินิหารที่น่าเหลือเชื่อหลากหลายชนิด วิธีการแปลกประหลาดสารพัดรูปแบบ มีมากมายเกินกว่าจะป้องกันได้หวาดไหว ยกตัวอย่างเช่นโรคระบาดที่มองดูเหมือนปะทุออกมาอย่างไร้ลางบอกกล่าว ไม่แน่ว่าอาจเป็น ‘เทพแห่งโรคระบาด’ ตนใดที่แฝงตัวอยู่ในนครใต้อาณัติบางแห่งมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ภัยพิบัติจากฟ้าหายนะจากคน’ ที่แพร่ไปเป็นวงกว้างซึ่งไม่ได้เล่นงานผู้ฝึกลมปราณเป็นพิเศษ จะต้องมีการเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ เหตุผลเดียวกัน จวนและภูเขาทั้งหมดที่อยู่ในภูเขาจื่อฝู่ วันหน้าจะต้องรับตัวสาวใช้และนักการจำนวนไม่เท่ากันมา ภูเขาแปดลูกจะต้องป้องกันไม่ให้พวกทูตลาดตระเวนภูเขาแฝงตัวเข้าไปใช่หรือไม่? ต้นกำเนิดน้ำของสถานที่ต่างๆ ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานต้องคอยไปลาดตระเวนตามเวลาที่กำหนดไว้หรือไม่?”
“เรื่องนี้นอกจากคฤหาสน์หลบร้อนจะต้องทำการตรวจสอบอย่างลับๆ ไม่สามารถเพิกเฉยได้แม้แต่น้อย ในเรื่องของกิจธุระที่เป็นรูปธรรมจะต้องให้สิงกวานร่วมมือกับเฉวียนฟู่ ช่วยกันเตรียมการแต่เนิ่นๆ ป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน”
“อีกทั้งในเรื่องนี้จำเป็นต้องเป็นความสำคัญในสำคัญที่ศาลบรรพจารย์ยกมาประชุมร่วมกัน”
“นอกจากนี้พวกเจ้าทั้งหลายน่าจะรู้เรื่องหนึ่งชัดเจนดี ปีนั้นคฤหาสน์หลบร้อนของพวกเราอาจจะยังหาตัวหมากลับๆ ของเปลี่ยวร้างไม่เจอทั้งหมด”
เฉินผิงอันยกนิ้วชี้ไปที่ท้องฟ้า “สมมติว่ามีฝนกระหน่ำที่ผ่านการเล่นตุกติกตกลงมา มนุษย์ธรรมดาจะป้องกันอย่างไร? หากมีคนเล่นติกตุกท่ามกลางม่านฝน จะทำอย่างไร? สี่นครใต้อาณัติจะต้องมีคนคอยจับตามองโดยเฉพาะหรือไม่?”
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ “หากจะบอกว่าอยากเล่นตุกติกกับน้ำฝน ถ้าอย่างนั้นก่อนที่ฝนจะตกต้องมีเมฆดำทะมึนมารวมตัวกัน จะดีจะชั่วก็ยังมีลางบอกเหตุ แล้วลมล่ะ? หรือในอนาคตขยับขยายเมืองออกไป ปลูกพืชพรรณดอกไม้หลากหลายชนิดข้างทาง ถึงเวลานั้นหากเป็นดอกไม้บางอย่างล่ะ?”
เฉินผิงอันเปิดสมุดเล่มหนึ่ง ใช้นิ้วพลิกไปเรื่อยๆ เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “อย่าลืมล่ะว่ายังมีตำราชั้นประถมตามโรงเรียนต่างๆ ด้วย”
เฉินผิงอันคล้ายพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง “สายลับและนักรบพลีชีพที่พวกเราปลูกฝังขึ้นในอนาคต จู่ๆ หันไปทำการค้าที่เอนเอียงเข้าหาทั้งสองฝ่าย แล้วคฤหาสน์หลบร้อนควรจะป้องกันและแยกแยะอย่างไร”
พวกหลัวเจินอี้ฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังศีรษะ
เฉินผิงอันพลันคืนสติ เอ่ยว่า “คนที่มองอยู่นอกสถานการณ์เห็นได้ชัดเจน ดังนั้นจะต้องให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์บางคนของคฤหาสน์หลบร้อนพาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ สมมติว่าตัวเองคือศัตรูของนครบินทะยาน ทำการอนุมานการโจมตีและป้องกันบนสนามรบกับพวกเจ้า”
“ศัตรูของผู้ฝึกกระบี่นครบินทะยาน ไม่ใช่ว่าจะต้องเข่นฆ่ากันตัวต่อตัวแค่บนสนามรบเท่านั้น แผนการชั่วร้ายที่วกวนอ้อมค้อมพวกนี้ ยิ่งนานวันจะยิ่งมีมากขึ้น”
“สิ่งที่สามารถป้องกันลมฝนให้กับนครบินทะยานได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมืองที่ยืนนิ่งไม่ขยับ แต่เป็นในนี้ เป็นพวกเจ้า เป็นคฤหาสน์หลบร้อนและผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานอย่างพวกเรา”
“แต่สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว หากคิดจะแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ก็เป็นแค่เรื่องของการถามกระบี่เท่านั้น ในใต้หล้าห้าสี ไม่มีเรื่องใดที่การถามกระบี่ของนครบินทะยานแก้ไขไม่ได้ หากว่ามี ก็ถามสองครั้ง หากยังไม่พอก็สามครั้ง ถามจนกระทั่งคนทั้งใต้หล้าต่างอกสั่นขวัญผวา ไม่ว่าใครก็ไม่กล้ายื่นมือเข้ามาแตะนครบินทะยานง่ายๆ”
“ยกตัวอย่างเช่นกองกำลังเบื้องหลังบางอย่างที่ถูกพวกเจ้าสาวเบาะแสลากตัวออกมาในวันหน้า นครบินทะยานก็จำเป็นต้องเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลใจ การถามกระบี่ครั้งนั้นต้องเร็วแม่นยำและอำมหิตมากพอ จำเป็นต้องมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่มากพอ ผู้ที่เป็นศัตรูด้วย ไม่ว่าจะเป็นสำนักบนภูเขาหรือราชวงศ์ล่างภูเขา แค่ดึงรากถอนโคน สะบั้นควันธูป สะบั้นชะตาแคว้นของอีกฝ่ายให้พอ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อก็ทำการตัดรากถอนโคนให้ได้อย่างแท้จริง”
ในที่สุดฟ่านต้าเช่อก็มีโอกาสได้เปิดปากพูด ถามเสียงเบาว่า “จัดงานประชุมศาลบรรพจารย์ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วให้ใต้เท้าอิ่นกวานพูดเรื่องพวกนี้จะไม่ดีกว่าหรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ครั้งนี้ข้าอยู่ได้ไม่นาน อีกไม่กี่วันที่ใบถงทวีปจะต้องจัดงานฉลองก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไป ครั้งหน้าที่กลับมาที่นี่ก็อาจต้องรออีกยี่สิบสามสิบปี อีกทั้งบวกกับเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะที่ข้าจะปรากฎตัวในศาลบรรพจารย์”
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้ว “ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งท่านนั้นของพวกเรา ในอนาคตต้องก่อตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าห้าสีแน่นอน อีกทั้งเกินครึ่งเติ้งเหลียงจะต้องรับตำแหน่งเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาจิ่วตู”
หลัวเจินอี้ขมวดคิ้วน้อยๆ ถามว่า “กังวลว่าเติ้งเหลียงก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแล้วจะกลายเป็นสำนักวิถีกระบี่ที่มีแต่ผลงานไม่มีชื่อเสียงหรือ?”
ก็เหมือนอย่างอารามเสวียนตูใหญ่ของใต้หล้ามืดสลัว ในฐานะผู้นำสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋า แน่นอนว่าผู้ฝึกตนในอารามต่างก็มีสถานะในทำเนียบนักพรต แต่แท้จริงแล้วลูกศิษย์ผู้สืบทอดส่วนหนึ่งกลับเป็นผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวที่สวมยศนักพรต การฝึกตนทุกอย่างของนักพรตกลุ่มนี้ก็คือการศึกษามรรคกถาอาคมเซียนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของอารามเสวียนตูเพื่อช่วยเหลือเวทกระบี่ของตัวเอง
ฉางไท่ชิงเอ่ย “ด้วยนิสัยใจคอของเติ้งอันดับหนึ่ง ต่อให้ในอนาคตเขาจะหลุดพ้นไปจากนครบินทะยาน แต่ก็เชื่อว่าเขาต้องเป็นฝ่ายเลือกที่จะถอนตัวอย่างบริสุทธิ์ นอกจากลูกศิษย์ผู้สืบทอดกลุ่มน้อยแล้วย่อมไม่มีทางพาผู้ฝึกกระบี่ไปด้วยมากกว่านั้น”
ฉางไช่ชิงไม่กล้าพูดให้ตรงไปตรงมามากกว่านี้ ต่อให้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งอย่างเติ้งเหลียงกล้าคิดอย่างนี้ แต่เขาจะกล้าทำเช่นนี้หรือ?
จะว่าไปแล้ว สำหรับส่วนลึกในใจของฉางไท่ชิงแล้ว เติ้งเหลียงก็ยังถือว่าเป็นคนนอกครึ่งตัว อย่างมากสุดก็ได้แค่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ของบ้านเกิดครึ่งตัวเท่านั้น
ขนาดฉางไท่ชิงยังเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปในท้องถิ่นเลย
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต่อให้เติ้งเหลียงพาผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งไปสวามิภักดิ์กับภูเขาจื่อฝู่ แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ข้าไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้ ต่อให้สำนักแห่งนั้นจะมีผู้ฝึกกระบี่เยอะ ยึดครองเอาโชคชะตาวิถีกระบี่ส่วนหนึ่งของนครบินทะยานไป แต่ก็ยังไม่ใช่ปัญหาอะไร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เติ้งเหลียงและสำนักในอนาคตของเขาสมควรได้ อีกทั้งใต้หล้าห้าสีกว้างขวางถึงเพียงนี้ ต่อให้มีสำนักวิถีกระบี่เพิ่มมาแห่งหนึ่ง แล้วก็เป็นของเติ้งเหลียงและของภูเขาจิ่วตูพอดี สำหรับนครบินทะยานและเติ้งเหลียงแล้วกลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี”
“ข้าก็แค่กังวลถึงคนที่จะมารับตำแหน่งเจ้าสำนักต่อจากเติ้งเหลียง รวมไปถึงสมาชิกศาลบรรพจารย์ พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปอะไรกับนครบินทะยานแล้ว แต่คนผู้นี้กลับจะคิดว่านครบินทะยานสมควรที่จะต้องยอมถอยให้สำนักของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า”
นอกจากสถานะของผู้ฝึกกระบี่แล้ว เติ้งเหลียงยังเป็นเจ้าของยอดเขาซู่หรานแห่งภูเขาจิ่วตู และยิ่งมีสถานะที่ลึกลับอำพรางอย่างตำแหน่งเหวยเปียนหลางที่อยู่บนทำเนียบเขียว บนร่างแบกรับโชคชะตาส่วนหนึ่งของภูเขาจิ่วตู
นี่จึงเป็นเหตุให้ตัวของเติ้งเหลียงเองก็คือสะพานที่เชื่อมโยงระหว่างภูเขาจิ่วตูกับใต้หล้าห้าสีอย่างที่มองไม่เห็น
บนมือของเติ้งเหลียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดประตูของใต้หล้าห้าสีครั้งหน้า ผู้ฝึกลมปราณของภูเขาจิ่วตูกรูกันเข้ามา ผ่านไปอีกแค่ไม่กี่ปีก็จะสามารถบ่มเพาะผู้ฝึกตนผีวิญญาณหยินกลุ่มใหญ่ได้ ไม่แน่ว่าในเวลาสั้นๆ แค่สามปีห้าปี ภูเขาจิ่วตูของใต้หล้าไพศาลก็อาจจะอาศัยสิ่งนี้กระโดดเลื่อนขั้นมาเป็น ‘สำนักดั้งเดิม’ ที่ได้ครอบครองทั้งสำนักเบื้องบนและสำนักเบื้องล่าง
ด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนของเติ้งเหลียง รวมไปถึงความสัมพันธ์แนบชิดระหว่างเขากับพวกผู้ฝึกกระบี่สามท่านอย่างเซ่อโจว เขาก็จะต้องได้เรียนรู้วิชาอภินิหารที่สืบทอดมาของสายเรือนโป้จีแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันก็ได้แค่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ก็เหมือนอย่างที่ฉางไท่ชิงพูด เขาเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของเติ้งเหลียง
เฉินผิงอันแค่กังวลว่าอดีตสหายร่วมงานที่เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครบินทะยานในทุกวันนี้ และเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างภูเขาจิ่วตูในอนาคต เนื่องจากสถานะค่อยๆ เปลี่ยนไป วันใดวันหนึ่งจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มิอาจทำได้ถึงขั้นที่ว่าพบเจอด้วยดีจากลากันด้วยดี เริ่มต้นด้วยดีจบลงด้วยดีกับนครบินทะยานได้
หากอิงตามการแบ่งอำนาจหน้าที่ของที่ว่าการในราชวงศ์ล่างภูเขา สายสิงกวานก็น่าจะเท่ากับว่าได้ควบคุมกรมขุนนางและกรมกลาโหม
สายเฉวียนฝู่ควบคุมกรมคลังและกรมโยธา คฤหาสน์หลบร้อนเทียบเท่าได้กับกรมอาญา
ส่วนกรมพิธีการที่เหลืออยู่นั้น คาดว่าคงต้องดูที่สำนักศึกษาซึ่งกำลังจะถูกสร้างขึ้นแห่งนั้นแล้ว
หากไม่ผิดไปจากที่คาด เติ้งเหลียงกับ ‘ที่ว่าการหกกรม’ ของนครบินทะยานจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกันแน่นอน
สถานการณ์ที่ดีที่สุดคือสองฝ่ายเป็นพันธมิตรที่มั่นคงยาวนาน
สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือภายนอกปรองดองภายในแตกร้าว เปลี่ยนจากมิตรกลายมาเป็นศัตรู
แสวงหาอย่างแรก หลีกเลี่ยงอย่างหลัง
หากในอนาคตเติ้งเหลียงเลือกจะฝึกตนอย่างสงบ ยกตัวอย่างเช่นแสวงหาขอบเขตบินทะยาน ส่วนสำนักเบื้องล่างของภูเขาจิ่วตู เนื่องจากความขัดแย้งบางอย่างที่มีกับนครบินทะยาน ยิ่งนานก็ยิ่งรุนแรง ปะทุแล้วไม่อาจจัดการแก้ไขได้อีก สุดท้ายหันไปเข้าพวกกับกองกำลังอย่างพวกป๋ายอวี้จิง?
หวังซินสุ่ยรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เรื่องแบบนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในอีกหลายร้อยปีให้หลังแล้ว แม้จะบอกว่าคนเราหากไม่มีความกังวลห่างไกลก็ต้องมีความทุกข์ใจอันใกล้ เพียงแต่ในคำพูดที่ร้อยเรียงติดกันเป็นชุดของใต้เท้าอิ่นกวานในวันนี้ก็ยังกะทันหันเกินไปอยู่ดี
เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ให้เหตุผลออกมา
“นครบินทะยานไม่ต้องการบริวารหน้ารถม้าที่ได้แต่รับปากลูกเดียว แต่นครบินทะยานต้องการพันธมิตรกลุ่มใหญ่ที่แท้จริง”
“ตลอดทั้งใต้หล้าห้าสีต่างก็จับตามองทุกการกระทำของนครบินทะยานพวกเราอยู่”
“ยกตัวอย่างให้ฟัง นครบินทะยานก็เหมือนลำน้ำใหญ่สายหนึ่ง หากกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก กลายมาเป็นยากจะคาดเดา คนที่จะมาสร้างเมืองริมน้ำก็จะมีน้อย แต่หากกระแสน้ำนิ่งสงบ ไม่ว่าหน้าแล้งหรือหน้าฝนก็รับประกันผลเก็บเกี่ยว ผู้ที่มาสร้างเมืองริมน้ำก็จะมีมาก”
“ก่อนหน้านี้ข้าพูดถึงเรื่องแย่งตัวคน นอกจากจะเป็นการวางแผนหาผลประโยชน์ให้กับนครบินทะยานและคฤหาสน์หลบร้อน จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้แล้ว ก็ถือโอกาสทำให้ใต้หล้าห้าสีดูไปด้วย หลังจากเวลาหกสิบปีที่กำหนด พวกผู้ฝึกตนของสำนักกสิกรรมได้รับการสนับสนุนจากนครบินทะยาน กองกำลังของฝ่ายต่างๆ มีการพัฒนาไปอย่างแข็งแกร่ง ก็คือ…อยู่ในจุดต่ำ”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นยกขึ้นสูง “ถ้าอย่างนั้นการก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของเติ้งเหลียง ก็อยู่จุดสูง”
“มีทั้งจุดต่ำจุดสูงแล้ว อีกทั้งนครบินทะยานยังจัดการได้อย่างเหมาะสม ความสัมพันธ์กลมเกลียว ใจคนมั่นคง ใต้หล้าห้าสีในอนาคต ยามมองกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือสภาพจิตใจก็ล้วนจะต่างไปจากเดิม”
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือ วาดวงกลมวงใหญ่หนึ่งวง แล้วค่อยวาดวงกลมวงเล็กหนึ่งวง
“นี่คือผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อน”
จากนั้นประกบสองนิ้วจิ้มไปยังตรงกลางของวงกลม “ตัวพวกเราเอง ความเห็นแก่ตัวส่วนบุคคล”
สุดท้ายเฉินผิงอันวาดวงกลมที่ใหญ่ที่สุด “หากเป็นไปได้ล่ะก็ ปัญหาที่ต้องพิจารณาในอนาคตก็ยังต้องคิดถึงตลอดทั้งใต้หล้าห้าสีด้วย”
“หากว่าสี่อย่างน้อยใหญ่นี้ต่างก็ไม่ขัดแย้งกันเอง นี่ก็คือมหามรรคา”
“ดวงตะวันลอยขึ้น ดวงจันทราลดลงต่ำ ดวงดาวเคลื่อนย้าย ผู้ฝึกกระบี่ส่งกระบี่ เดินไปบนมหามรรคา”
ฉางไท่ชิงพยักหน้ารับเบาๆ
หลัวเจินอี้เหม่อลอยไป
หวังซินสุ่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตบโต๊ะร้องตะโกน “วิสัยทัศน์ดุจอิฐเทกระเบื้องสร้างเป็นบ้านสูง หน้าอกกว้างใจใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่กลับอธิบายหลักการเหตุผลที่ลึกล้ำให้ตื้นเขินฟังง่าย ก็มีเพียงใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราแล้ว ไม่มีใครทำได้อีกเป็นคนที่สอง!”
ใต้เท้าอิ่นกวานตีหน้าเคร่งไม่พูดไม่จา
ประมุขกวอแห่งภูเขาเล็กบางลูกไม่อยู่ ลูกสมุนอีกสามคนที่เหลือก็ขาดการประชุม หวังซินสุ่ยจึงรู้สึกพิพักพิพ่วนนิดๆ ฟ่านต้าเช่อเองก็จริงๆ เลย ไม่รู้จักให้การสนับสนุนกันเสียบ้าง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากว่าข้าไม่เปิดปากพูด อย่างน้อยบรรยากาศก็ต้องวังเวงไปอีกครึ่งชั่วยาม”
หวังซินสุ่ยหัวเราะหึหึ
หันหน้าไปมองแสงแดดนอกห้องโถงใหญ่ วันนี้ทำให้ใจคนอบอุ่นมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “บอกตามตรง ไม่เพียงแค่คฤหาสน์หลบร้อนของพวกเรา สองสายที่เหลืออย่างสายสิงกวานและเฉวียนฝู่ อันที่จริงต่างก็ทำได้ดีมาก”
“พูดถึงแค่สายสิงกวานของฉีโซ่ว หากข้าคิดจงใจอยากจะจับผิดเขาก็ยากมากเหมือนกัน”
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าหลังจากตนพูดประโยคนี้จบไปแล้ว สายตาของพวกฟ่านต้าเช่อก็เปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาดอยู่บ้าง
เฉินผิงอันจึงได้แต่พูดแก้ตัวว่า “ไม่ได้มีความนัยอะไรแฝงอยู่หรอกนะ”
หวังซินสุ่ยรีบพูดทันที “คำพูดของใต้เท้าอิ่นกวานใหญ่สุด!”
พูดถึงแค่สายผู้ฝึกยุทธของคฤหาสน์หลบหนาว ฉีโซ่วรู้ดีว่าเหนี่ยนซินสนิทกับสายอิ่นกวานมาก แต่กระนั้นก็ยังอบรมปลูกฝังผู้ฝึกยุทธกลุ่มนั้นอย่างเต็มกำลัง จัดหาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองสองคนและผู้ฝึกตนสำนักการทหารหลายคนที่มาเข้าร่วมกับสายสิงกวานมาให้โดยเฉพาะ เพื่อให้ไป ‘ป้อนกระบี่’ และ ‘ป้อนกระบวนท่า’ ให้ที่คฤหาสน์หลบหนาวตรงเวลา ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ที่ตอนนี้มีโอกาสลงมือไม่มากพยายามเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงให้ได้มากที่สุด