กระบี่สะบั้นเก้าสวรรค์ - ตอนที่ 61 หลงปิง
ตอนที่ 61 หลงปิง
การปรากฏตัวของมังกรในตำนานทำให้จี้เทียนซิงตกตะลึงและรู้สึกเหลือเชื่อ ในใจของเขายิ่งรู้สึกมึนงงมากขึ้น
ในขณะที่กำลังขมวดคิ้วแน่นอย่างครุ่นคิด มังกรก็เคลื่อนกายมาอย่างเงียบงันและอยู่ห่างจากชายหนุ่มเพียง 20 เมตร
นัยตาสีทองเข้มอันเยือกเย็นจ้องมาที่เขา จากนั้นมังกรก็ขยับปากเปล่งเสียงต่ำออกมา
“สมาชิกตระกูลจี้สารเลว !”
คำพูดของมังกรฟังดูแปลกๆและน้ำเสียงของมันก็แฝงไว้ด้วยความอึดอัดคับข้อง
ดวงตาของจี้เทียนซิงเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ “มันเป็นสัตว์อสูรงั้นหรือ ?”
ในความทรงจำของเขา หากไม่ใช่สัตว์อสูรชั้นสูงอย่างเฉียนเยวี่ย เป็นไปไม่ได้ที่จะสื่อสารภาษามนุษย์
สัตว์อสูรที่สามารถพูดได้ แน่นอนว่าต้องเป็นสัตว์อสูรในขีดขั้นราชาขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม แม้มังกรตัวนี้จะแผ่ซ่านไปด้วยรัศมีอันทรงพลัง แต่มันดูไม่เหมือนราชาอสูรในตำนานเลย
ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเรื่องยากที่จะเอาตระกูลขุนนางอย่างตระกูลจี้ไปเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับราชาอสูรที่เป็นยอดฝีมือ
ราชาอสูรในตำนานนั้นมีพลังที่สามารถทำลายล้างดินแดนและทวีปได้ เช่นนั้นแล้ว ตระกูลขุนนางอย่างตระกูลจี้จะสามารถควบคุมยอดฝีมือที่มีพลังระดับนั้นได้อย่างไร ?
จี้เทียนซิงเงยหน้าขึ้นมองมังกรและถามว่า “เจ้ามังกร เจ้ามิใช่สัตว์อสูรผู้พิทักษ์ของตระกูลจี้หรอกหรือ ? เหตุใดถึงได้แสดงอาการเกลียดชังคนของตระกูลจี้เล่า ?”
ดวงตาของมังกรแสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังและเหยียดหยาม มันคำรามว่า
“ผู้พิทักษ์ ? ปกป้องตระกูลจี้ ? ฮ่าๆๆๆ ! …… ข้ากระสันจะล้างสังหารตระกูลจี้ให้พินาศด้วยซ้ำไป !”
“เจ้าหนู ! เจ้าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังจะสืบทอดตำแหน่งประมุขใช่หรือไม่ ? เจ้ามาที่ทะเลสาบหยานชิงแห่งนี้ก็เพื่อผลึกฟ้า ?”
“ด้วยพลังอันอ่อนด้อยของเจ้า มังกรตนนี้จะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ !”
เมื่อเสียงเงียบลงก็มีเสียงก้องของกรงเล็บมังกรที่แหวกอากาศออกมาคว้าขย้ำไปที่จี้เทียนซิง
ทันใดนั้น สายลมอันเย็นเยือกก็หอบพัดมาจนทำให้ร่างกายของชายหนุ่มแทบจะแข็งตัว แม้กระทั่งโลหิตในกายก็ราวกับจะจับตัวเป็นก้อน
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันควันและกระโดดถอยหลังห่างจากทะเลสาบไป 8 เมตร
แผ่นหินสีฟ้าหลายชิ้นถูกบดขยี้ด้วยกรงเล็บมังกรจนกลายเป็นก้อนหินเล็กๆนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่รอบๆ
เมื่อเห็นฉากนี้รูม่านตาของจี้เทียนซิงก็หดวูบ ในใจเต็มไปด้วยความสยอง
พลังของมังกรตัวนี้ทรงพลังมากจนยากที่เขาจะปลุกปลอบจิตวิญญาณต่อสู้ได้แม้แต่น้อย
ระดับพลังของเขากับมันต่างกันโดยสิ้นเชิง !
“ระยำ ! คิดจะหนีรึ !”
มังกรคำรามด้วยความโกรธ ทันใดนั้นร่างของมันก็พวยพุ่งออกจากทะเลสาบและตรงไปหาจี้เทียนซิง
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ร่างของมันที่ยาวกว่า 30 เมตรกำลังจะทะยานขึ้นไปบนอากาศ แต่ปลายหางของมันที่ยังสัมผัสอยู่กับทะเลสาบกลับชะงักค้างกระทันหัน
ในเวลานี้เองจี้เทียนซิงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหางของมันถูกโซ่เหล็กสีดำสนิทอันเทอะทะถ่วงรั้งไว้อยู่
ปลายโซ่คล้องหางของมังกรตนนี้ไว้ ส่วนปลายโซ่อีกด้านผูกกับบางสิ่งใต้ก้นทะเลสาบ มันทำให้มังกรไม่สามารถออกไปจากทะเลสาบหยานชิงได้นั่นเอง
ในเวลาเดียวกันท้องฟ้าก็ปรากฏข่ายอาคมสีเหลืองเข้มขึ้น
ข่ายอาคมสีเหลืองเข้มขนาดใหญ่นั้นเปรียบเสมือนท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยถ้วยใบใหญ่และปกคลุมทะเลสาบหยานชิงเอาไว้ทั้งหมด
ข่ายอาคมสีเหลืองเข้มส่องแสงระยิบระยับเปล่งประกายด้วยพลังอันไร้เทียมทาน และฉุดร่างของมังกรให้พุ่งกลับเข้าไปในทะเลสาบ
“เปรี้ยง !”
เสียงดังขึ้นและทะเลสาบน้ำแข็งถูกกระแทกแตกเป็นคลื่นสูงหลายเมตร ก้อนน้ำแข็งแตกกระจายนับหมื่นๆชิ้น
จี้เทียนซิงซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ห่างจากทะเลสาบนับสิบเมตรแต่เขาก็ยังถูกน้ำอันเย็นเยือกในทะเลสาบที่ซัดกระเซ็นเข้าใส่ อีกทั้งยังโดนกระแทกด้วยก้อนน้ำแข็งจำนวนมาก
เขามองไปที่ม่านแสงสีเหลืองเข้มบนท้องฟ้าและอดอุทานออกมาไม่ได้ว่า
“ที่แท้ก็มีข่ายอาคมอีกชั้น !“
“คิดไม่ถึงเลยว่าบรรพบุรุษของเราได้จัดวางข่ายอาคมขนาดใหญ่เช่นนี้เอาไว้ มันล้อมรอบทะเลสาบหยานชิงทั้งหมด…. ไม่แปลกใจที่มังกรตัวนี้ถูกจองจำเอาไว้ที่นี่นับร้อยปี !”
ทะเลสาบหยานชิงเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากบรรพบุรุษตระกูลจี้ก่อตั้งรกรากขึ้น แน่นอนว่าข่ายอาคมนี้ย่อมเป็นบรรพบุรุษวางเอาไว้
ด้วยข่ายอาคมขนาดใหญ่เช่นนี้ มันสามารถคุมขังมังกรตนนี้เอาไว้ และยังสามารถปกปิดความลับในพื้นที่ต้องห้ามไว้ได้อีกด้วย
ข่ายอาคมนี้บดบังทุกสิ่งภายในทะเลสาบหยานชิง ต่อให้มียอดฝีมือบินผ่านบนฟ้าพวกเขาก็มองไม่เห็นและมีโอกาสน้อยมากที่จะพบมังกรตนนี้
จี้เทียนชิงเต็มไปด้วยความตกใจและขบคิดในใจอย่างลับๆว่า “ข้าคาดไม่ถึงว่าบรรพบุรุษตระกูลจี้ของเราจะมีวิธีการอันทรงพลังเช่นนี้!”
“ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลจี้เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางระดับสูงของรัฐนภากระจ่างที่ยังคงเจริญรุ่งเรืองมานานกว่าร้อยปี เพียงไม่รู้ว่าบรรพบุรุษตระกูลจี้ที่สร้างรากฐานเช่นนี้เอาไว้ ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ ?”
ในเวลานี้เองมังกรก็ร่วงลงไปในทะเลสาบหยานชิง หลังจากกลิ้งไปในทะเลสาบหลายตลบจนเกิดคลื่นน้ำสูงหลายชั้นมันก็สงบลง
มันโผล่ขึ้นมาเหนือทะเลสาบอีกครั้งและคำรามเสียงสูงใส่จี้เทียนซิง
“ไอ้เจ้าคนขี้ขลาดตาขาว !”
“เจ้าไม่ต้องการสืบทอดตำแหน่งประมุขแล้วหรือ ? ไม่มาเอาผลึกมังกรฟ้าแล้วหรือไง ?!”
“มาเซ่ ! อย่ามัวหดหัวอยู่ในกระดอง จงมาสู้กับข้าหลงปิงผู้นี้ !”
มังกรคำรามอย่างเกรี้ยวกราดด้วยรังสีสังหารและดวงตาของมันทอประกายดุร้าย
หากเป็นก่อนหน้านี้ จี้เทียนซิงคงถูกสังหารด้วยกรงเล็บเดียวของมังกรตนนี้ไปแล้ว
แต่ตอนนี้สถานการณ์มันต่างออกไป
ทะเลสาบหยานชิงแห่งนี้มีข่ายอาคมที่บรรพบุรุษตระกูลจี้วางเอาไว้ ซึ่งสามารถสะกดพลังและทำให้มันไม่สามารถหนีไปได้
นอกจากนี้ยังมีโซ่น้ำแข็งสีดำที่ก้นทะเลสาบซึ่งถ่วงรั้งมันเอาไว้ แค่จะออกจากทะเลสาบยังมิอาจทำได้
จี้เทียนซิงสงบใจลงได้และกลับมาหนักแน่นอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองมังกรพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าดุร้ายนัก ข้าก็ยินดีสนอง !”
จี้เทียนซิงกางแขนแบฝ่ามือออกมาสองข้างและใช้เคล็ดวิชาลับของวิถีดวงใจกระบี่ กระตุ้นตัวอ่อนกระบี่ในร่างกายให้ชักนำปราณกระบี่ทองคำสี่เล่มออกมา
นับตั้งแต่ที่ได้สนทนากับวิญญาณกระบี่จางเทียนในสุสานเทพกระบี่ เขาได้เรียนรู้ความลึกลับของวิถีใจกระบี่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ลำแสงกระบี่เป็นเพียงหนึ่งในปริศนาที่เขาได้รับรู้
ความลึกลับอีกอย่างที่เขารับรู้ได้ก็คือวิธีการควบคุมบังคับปราณกระบี่ซึ่งเป็นขั้นที่สองของวิถีใจกระบี่
ขั้นที่สองของเคล็ดวิชานี้ไม่เพียงแค่เป็นการฝึกฝนบ่มเพาะพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงวิชาที่ใช้ควบคุมปราณกระบี่อีกด้วย
ด้วยมือของเขาที่ควบคุมบังคับวิชากระบี่ วิชากระบี่ก็สามารถใช้ความคิดและจิตวิญญาณของตัวมันเองราวกับเป็นแขนขาที่มีความคิดอย่างอิสระ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาสามารถควบคุมระยะการโจมตีของกระบี่ได้กว้างขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งก็คือสิบเมตร !
“เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง !”
ปราณกระบี่ทองคำสี่เล่มพุ่งบินออกมาจากร่าง มันลากเส้นสายเป็นลำธารแสงสีทองสี่เส้นตรงไปหามังกรที่อยู่เบื้องหน้า
เห็นได้ชัด มันคาดไม่ถึงว่าจี้เทียนซิงจะเริ่มการโจมตีในลักษณะนี้ มันตกตะลึงทันที
มันไม่หลบการโจมตีของปราณกระบี่จึงทำให้กระบี่ทั้งสี่เล่มแทงเข้าที่ช่องท้องพร้อมกันโดยไม่พลาดเป้า
อย่างไรก็ตาม ปราณกระบี่อันคมกล้ากลับถูกปิดกั้นไว้ด้วยเกล็ดมังกรสีดำตรงช่องทางของมัน
มังกรไม่ได้รับอันตรายใดๆ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามพลางกล่าวอย่างเหนื่อยหน่ายว่า
“เจ้าหนุ่ม เจ้าทำได้เท่านี้หรือ ? นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือคิดจะเกาให้ข้าหายคัน ?!”