กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 544 คืนนี้เราค่อยประลองกันอีกครั้ง
หลินซินเหยียนงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาก็จริงจังขึ้นมา
“คุณเป็นอะไร คุณลืมเรื่องที่พวกเขาเปลี่ยนชื่อแล้วเหรอ” เธอถาม
จงจิ่งห้าวบอกว่าไม่ได้ลืม “เรียกจนชินแล้ว ไม่อยากเปลี่ยน” ขณะที่พูดสายตาของเขาก็จับจ้องที่ท้องของเธอ “รอลูกคนนี้คลอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ผมจะให้เขาใช้แซ่ของคุณ”
เขาเลื่อนสายตาขึ้นมองหลินซินเหยียนและพูดว่า “คุณพ่อคุณมีคุณเป็นลูกคนเดียว จึงควรเหลือไว้ให้เขาคนหนึ่งต่อไป”
เขาเป็นคนจริงจัง เธอคิดเพื่อเขา เขาก็คิดเพื่อเธอมากกว่า
ถ้าบอกว่าไม่หวั่นไหวคงเป็นเรื่องโกหก หลินซินเหยียนจ้องมองเขา “จริงๆ เลย ทำไมถึงมาทำซึ้งแบบนี้ อยากให้ฉันร้องไห้เหรอ”
จงจิ่งห้าวยิ้ม โอบกอดและจูบหน้าผากเธอ “ผมไม่ได้อยากให้คุณร้องไห้สักหน่อย”
“ถุยๆ ฉันไปทำผิดต่อใครไปยั่วโมโหใครเข้าหรือไงนะ ทันทีที่ออกมาข้างนอกก็เจอคนรักกันหวานใส่เฉยเลย จะให้มีชีวิตอยู่ไม่ได้เลยเหรอ”
ซูจ้านหยียบบนกรอบประตูและยืนกอดอกเอนพิงประตู มองดูเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยความสนอกสนใจ
ชายหนุ่มที่แต่เดิมสายตาอ่อนโยน เวลานี้เหลือเพียงความเย็นชา
จงจิ่งห้าวเลื่อนสายตาขึ้นช้าๆ แล้วพูดเสียงนิ่งว่า “ความขี้อิจฉาทำให้คนน่าเกลียด”
จากนั้นก็ทำเมินเดินโอบหลินซินเหยียนเข้าไป ทำว่าซูจ้านเป็นอากาศธาตุโดยสมบูรณ์
ซูจ้าน “……..”
เขาขี้อิจฉาเหรอ
อืม เขาคงจะขี้อิจฉาจริงๆ
เขายังน่าสงสารไม่พอเหรอ ทำไมต้องกระตุ้นความรู้สึกเขาด้วย
เห็นเขาน่ารังแกใช่ไหม
เขาโวยวายในใจ ไร้จิตสำนึก มีภรรยาแล้วลืมพี่น้อง เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้ช่างน่าสมเพช เป็นคนน่าสมเพชที่ถูกทอดทิ้ง
ฉินยาไม่ให้อภัยเขา แม้แต่พี่น้องก็ต้องการแค่ภรรยา
ตอนที่เขาบอกว่าไร้จิตสำนึก จงจิ่งห้าวที่ยังไปไม่ไกลได้ยินเสียงเขา จึงหันหน้ามาถามว่า “เมื่อครู่นายพูดว่าอะไรนะ”
“………” ซูจ้านประมวลคำพูดในสมองรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที “เอ่อ…เอ่อลูกสองคนของนายอยากทานไอศกรีม ฉันกำลังจะออกไปตอนนี้ ฉันเลยอยากถามพวกนายว่าอยากได้อะไรไหม ฉันจะซื้อกลับมาให้”
จงจิ่งห้าวถามหลินซินเหยียน “คุณอยากทานอะไรไหม”
“เค้ก เค้กครีม”
เธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า และจู่ๆ ก็คิดถึงรสชาติของครีมขึ้นมา
“รสอะไร” จงจิ่งห้าวถามอีก
หลินซินเหยียนคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “มะม่วง”
ซูจ้านพูดว่ารู้แล้ว “ฉันจะซื้อผลไม้มาเพิ่มด้วย”
จงจิ่งห้าวส่งเสียงอืม เกรงว่าวันนี้คงจะไม่ได้ออกไป ต้องรอจนถึงพรุ่งนี้ ซื้อของที่นี่ไม่ค่อยสะดวก ต้องขับรถออกไปซื้อข้างนอก
สถานที่ที่ดีที่สุดที่นี่เป็นที่ที่เงียบสงบ
ในสวนตอนนี้มีแดดจัด พวกเขาเข้าไปในห้องโถง บ้านที่สร้างด้วยไม้แบบนี้ ในฤดูร้อนจะร่มรื่นมาก เข้ามาภายในตัวเรือนกับข้างนอกเป็นสองที่ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง มันเหมือนกับเข้ามาในห้องปรับอากาศ ตรงกลางห้องโถงมีโต๊ะสี่เหลี่ยม จงฉีเฟิงนั่งอยู่ตรงข้ามจงเหยียนเฉิน บนโต๊ะมีกระดานหมากรุก ทั้งคู่กำลังเล่นหมากรุกกัน จงเหยียนเฉินประสบเข้ากับปัญหายาก มองดูที่กระดานว่าจะเดินไปตรงไหนได้บ้าง ถึงจะสามารถพลิกกลับมาชนะได้
แม้แต่มีคนเข้ามาในห้องก็ไม่ได้สังเกต
จงฉีเฟิงตั้งใจฝึกความอดทนและความระมัดระวังให้จงเหยียนเฉิน จึงไม่รีบร้อน รอเขาค้นหาจุดบกพร่องในเกมหมากรุกเงียบๆ
จงจิ่งห้าวกับหลินซินเหยียนทำให้การก้าวเดินของตัวเองเบาลง เพื่อไม่ให้รบกวนพวกเขา และเดินจากประตูไปตามริมผนัง ตรงมุมริมหน้าต่าง จงเหยียนซีนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น บนพื้นมีสุนัขพันธุ์ซามอยด์ตัวใหญ่นอนหมอบอยู่ ขนบนตัวของมันขาวราวหิมะ ขนไม่มียุ่งเหยิง ดูเหมือนหิมะก้อนกลมขาวนวล
จงเหยียนซีใช้มือลูบหัวของมัน เหมือนว่าจะชอบมันมาก ส่วนปากก็ยังพึมพำไปด้วยว่า “ทำไมแกน่ารักจัง”
หลินซินเหยียนย่อตัวลงลูบผมของจงเหยียนซี “ชอบสุนัขตัวนี้มากเหรอ”
จงเหยียนซีเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นหลินซินเหยียนก็พู่งเข้าหาอ้อมกอดของเธอด้วยความดีใจ “หม่ามี๊”
กอดรอบคอเธอแนบแน่นด้วยความรักใคร่ “คุณมาได้ยังไงคะ”
หลินซินเหยียนลูบผมของลูกสาวไปมา “คิดถึงหนูก็เลยมาไงจ๊ะ”
จงเหยียนเฉินวางคางบนไหล่ของเธอ และเอียงศีรษะมองจงจิ่งห้าว “แด๊ดดี้คืนดีกับหม่ามี๊แล้วเหรอคะ”
“พวกเราไม่ดีต่อกันเมื่อไร” เขาอุ้มเอาลูกสาวออกมาจากอ้อมแขนของหลินซินเหยียน แล้วหยิกแก้มเธอ “แด๊ดดี้กับหม่ามี๊ก็แค่ห่างกันชั่วคราว ไม่ได้ทะเลาะและโกรธแล้วแยกทางกัน เข้าใจไหม”
จงเหยียนเฉินมุ่ยปาก เธอไม่สนใจว่าพวกเขาจะแยกทางกันเพราะอะไร คิดแค่อยากให้พวกเขาอยู่ด้วยกันไม่พรากจาก แบบนี้พวกเขาทุกคนก็จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
“แด๊ดดี้ หนูเลี้ยงสุนัขได้ไหมคะ หนูชอบมันมากเลยค่ะ” เธอชี้ไปยังซามอยด์ที่อยู่บนพื้น
จงจิ่งห้าวไม่ได้ตอบตกลงในทันที สุนัขตัวนี้ดูน่ารักมาก แต่มันตัวใหญ่เกินไป กลัวว่าจะทำร้ายเธอ
“แด๊ดดี้ ได้ไหมคะ” เธอกำคอเสื้อจงจิ่งห้าวออดอ้อน
“สุนัขตัวนี้เชื่อง ไม่ทำร้ายคน และเคยถูกฝึกมา” เฉิงยู่เวินเดินเข้ามา และเห็นว่าหลินซินเหยียนก็อยู่ด้วย “เธอก็มาด้วยเหรอ”
แต่ในใจรู้อยู่แล้วว่าทำไมจงจิ่งห้าวไปแล้ววกกลับมา น่าจะเป็นเพราะเธอ เขาได้ยินจากปากจงฉีเฟิงเรื่องที่หลินซินเหยียนจากไป ปรากฏว่าอยู่ไป๋เฉิงซึ่งคงจะไปเข้าร่วมงานแต่งของไป๋ยิ่นหนิง
หลินซินเหยียนพยักหน้า
รอบนี้จงเหยียนเฉินแพ้อีกแล้ว เขาไม่ยอม “เรามาลองอีกรอบครับ”
จงฉีเฟิงลูบศีรษะหลานชาย “มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้แบบนี้ก็ดี แต่ว่า คืนนี้เราค่อยประลองกันอีกครั้งนะ”
เขาลุกขึ้นยืน สายตามองมาทางฝั่งนี้ จงเหยียนเฉินยังคงไม่รู้ตัว เขาไม่ชนะเกมสักรอบ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว
จงฉีเฟิงจงใจไม่ยอมให้เขา เด็กคนนี้เฉลียวฉลาด ถ้าไม่เคยทุกข์ทนกับความพ่ายแพ้ จะไม่เป็นการดี
ดั่งคำโบราณว่าไว้ หากไม่ผจญลมหนาว ไฉนดอกเหมยจะผลิบาน
เขาคาดหวังในตัวหลานชายคนนี้
สูงกว่าที่เคยคาดหวังในตัวจงจิ่งห้าว
ตั้งใจลับคมให้เขา ถึงอายุยังน้อย แต่กลับมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และค่อนข้างอวดดีหยิ่งยโสนิดหน่อยด้วย
การโจมตีนิดหน่อยเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
เมื่อเห็นหลินซินเหยียนเขาก็รู้ทันทีว่าทำไมจงจิ่งห้าวถึงยังไม่กลับไป
“เธอมากับฉันสักครู่” เขาพูดกับหลินซินเหยียน
หลินซินเหยียนบอกว่าได้ค่ะ รู้ว่าเขามีเรื่องจะพูดกับตนแน่นอน จึงเดินตามเขาออกจากห้องโถงไป