กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 545 หยาบคายเอาแต่ใจ
จงจิ่งห้าวไม่ได้ขัดขวาง ยืนอยู่ในบ้านมองดูหลินซินเหยียนเดินตามจงฉีเฟิงออกไปจากห้องโถง
ในใจเขาอาจรู้อยู่แล้วว่าจงฉีเฟิงจะพูดอะไรกับหลินซินเหยียน
จงเหยียนซีขืนหน้าเขาหันกลับมาให้มองตัวเอง “แด๊ดดี้บอกสิคะว่าได้ไหม หนูอยากเลี้ยงสุนัขตัวนี้ค่ะ”
“เดี๋ยวจะซื้อตัวเล็กๆ ให้นะ” ตัวนี้มันใหญ่เกินไป เขาคิดว่ามันไม่ปลอดภัย กลัวว่าจะทำร้ายเธอเข้า
แม้ว่าสุนัขจะเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ แต่ถ้าหากไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ
“หนูไม่เอา หนูชอบมัน” จงเหยียนซีออดอ้อน เอาศีรษะถูไถซอกคอของเขา
“สุนัขตัวนี้เป็นของฉันเอง ผ่านการฝึกมาแล้ว จะไม่กัดใคร ถ้าเสี่ยวลุ่ยชอบก็ให้เธอพากลับไปเล่น” เฉิงยู่เวินบอกอีกครั้งว่าสุนัขตัวนี้ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว
เขารู้ว่าจงจิ่งห้าวต้องกลัวว่าสุนัขตัวนี้จะทำร้ายเด็ก
สุนัขพันธุ์นี้เชื่อง ถึงแม้จะตัวใหญ่ แต่มันไม่ดุ
หากเคยผ่านการฝึกฝนมาจะรู้จักสุขอนามัย จะไม่ปัสสาวะไปทั่ว ตราบใดที่ให้คอกมัน วางอาหารและน้ำไว้ให้ ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างคนดูแลให้มากมาย
ในบ้านมีคนรับใช้อยู่ทั่ว ก็ไม่ต้องห่วงเกินไป
“ได้ไหมคะ แด๊ดดี้ดูสิคะคุณปู่เล็กตกลงให้สุนัขกับหนูแล้วนะ” จงเหยียนซีมุ่ยปากเล็กอ้อนวอนไม่หยุด เกือบจะร้องไห้ให้จงจิ่งห้าวดูแล้ว
เขามักจะใจอ่อนกับลูกสาวเสมอ ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากตกลง
จงเหยียนซียิ้มกว้างดีใจทันที และจุ๊บแก้มของเขา “ขอบคุณค่ะแด๊ดดี้”
เธอทำท่าลงจากอ้อมแขนของเขาอย่างตื่นเต้น วิ่งไปหาซามอยด์และลูบหัวมัน สุนัขเอาหัวถูไถฝ่ามือของเธออย่างเชื่องๆ นั่นทำให้ปากเล็กๆ ของจงเหยียนซียิ้มกว้าง
เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉิงยู่เวิน “คุณปู่เล็กให้มันกับหนูแล้ว ก็เป็นของหนู หนูจะตั้งชื่อใหม่ให้มันนะคะ”
ตอนที่เฉิงยู่เวินเลี้ยงได้ตั้งชื่อมันว่าตุนตุน แม้ว่ามันจะกลมขาวราวหิมะแสนน่ารัก แต่มันก็ตัวใหญ่ ขนยาว และเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง จึงให้ชื่อนี้กับมัน
เฉิงยู่เวินย่อตัวลงข้างสาวน้อย และลูบหัวของตุนตุนด้วย พร้อมกับพูดกับจงเหยียนซีว่า “แน่นอนจ้ะ เมื่อให้เสี่ยวลุ่ยแล้วก็เป็นของเสี่ยวลุ่ย”
ถึงแม้ว่าเด็กสองคนจะเปลี่ยนชื่อ แต่ทุกคนชอบเรียกชื่อเดิมของพวกเขา เพราะรู้สึกถึงความสนิทสนม
เรียกชื่อเก่าเป็นชื่อเล่น
จงเหยียนซีชอบจับหัวของตุนตุน จนขนของมันเรียบ “หนูจะเรียกมันว่าเจ้าขาวค่ะ ก้อนกลมขาวๆ แถมยังตัวใหญ่มาก”
เฉิงยู่เวินยิ้ม พูดอย่างตามใจว่า “เสี่ยวลุ่ยเป็นคนฉลาด ชื่อนี้ฟังดูดีกว่าที่ฉันตั้งอีกนะ”
จงเหยียนซีลูบหัวของเจ้าสุนัข พลางเรียกว่าเจ้าขาวไม่หยุด เจ้าขาว ภูมิใจในตัวเองมากที่ตั้งชื่อนี้ให้มัน
ทางจงเหยียนเฉินก็ไม่พูดอะไรเลย นั่งอยู่ตรงนั้นเอาแต่ศึกษาเกมที่เพิ่งแพ้ไป
ซูจ้านเดินเข้ามาพร้อมด้วยถุงใบใหญ่ ไม่เพียงซื้อผลไม้และไอศกรีม ยังซื้อพวกขนมต่างๆ ให้เด็กทั้งสองด้วย
เขาวางของไว้บนโต๊ะ แล้วตะโกนเรียกเด็กๆ “มานี่เร็ว เดี๋ยวไอศกรีมละลายหมดนะ”
จงเหยียนซีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว วิ่งว่องไวไปหาซูจ้าน “ไอศกรีมของหนูล่ะคะ หนูจะทาน”
ซูจ้านเอาให้เธอ และยื่นอีกกล่องให้จงเหยียนเฉินที่เงียบไม่พูดจา “นี่ ดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะ ไม่ทานไอศกรีมด้วยเหรอ”
จงเหยียนเฉินไม่เงยหน้าและพูดว่า “ไม่ทานครับ”
ท่าทางบ่งบอกว่าหากไม่ศึกษาจนเข้าใจก็จะไม่ล้มเลิก
ซูจ้านหัวเราะหึ “เด็กคนนี้นี่จริงๆ เลย ดูท่าจะแพ้อีกแล้วล่ะสิ”
จงจิ่งห้าวนั่งลงตรงข้ามลูกชาย “เรามาเล่นกันสักตา”
ซูจ้านมองไปทั่วบ้านก็ไม่เห็นหลินซินเหยียนจึงถามว่า “พี่สะใภ้ล่ะ เธอจะทานเค้กที่ฉันซื้อกลับมาเลยไหม”
จงจิ่งห้าววางเค้กไว้ข้างๆ บนโต๊ะ ไม่ได้สนใจคำพูดของซูจ้าน เริ่มวางหมากลงบนกระดานหมากรุก และพูดกับลูกชายว่า “ลูกเดินก่อน”
จงเหยียนเฉินเงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณเดินก่อน”
จงจิ่งห้าวเลิกคิ้ว “นิสัยแข็งกร้าวเกินไปมันไม่ดีหรอกนะ” แม้จะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็เดินก่อน
“ผมไม่ได้แข็งกร้าว ผมแค่อยากเห็นพลังของตัวเอง ไม่อยากให้ใครยอมให้ผมครับ” จงเหยียนเฉินมองดูเกมหมากรุกอย่างจริงจัง เดินทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบระมัดระวัง
ซูจ้านทานไอศกรีมที่จงเหยียนเฉินไม่ทาน ดึงเก้าอี้มานั่งข้างๆ มองดูสองพ่อลูกเล่นแข่งกันด้วยความสนใจ
เกมหมากรุกผ่านไปครึ่งทาง หมากรุกของจงเหยียนเฉินถูกกินไปครึ่งหนึ่ง แค่ดูด้วยตาก็รู้ว่ากำลังจะแพ้ ครั้งนี้จงเหยียนเฉินไม่ได้ยืดเยื้อ เขาถูกโจมตีอย่างแท้จริง จึงไม่ยอมรอจนกระทั่งเกมจบ
ลุกขึ้นและจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เหมือนจะอารมณ์เสีย
ซูจ้านจุ๊ปาก “จุ๊ๆ สนุกกับลูกชายหน่อยสิ จริงจังอะไรขนาดนั้น นายให้เขาชนะให้มีความสุขหน่อยไม่ได้เหรอ แพ้ตลอดมานานแล้วนะ”
จงจิ่งห้าวคิดว่าเด็กแข็งกร้าวคนนั้น มีความทระนงตนมาก ถ้ายอมให้ชนะง่ายๆ เขาก็จะไม่ดีใจ
“บนเส้นทางแห่งการเติบโต มันยังอีกยาวไกล ฉันสามารถยอมให้เขาได้ แล้วคนอื่นล่ะจะยอมให้เขาได้เหมือนกันหรือเปล่า” จงจิ่งห้าวลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับเค้ก
ซูจ้านเบะปากพึมพำ “ไร้มนุษยธรรม”
ไร้มนุษยธรรมต่อพี่น้อง ไร้มนุษยธรรมกับลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง สรุปคือเป็นคนไร้มนุษยธรรม
ข้างนอกบ้าน ที่จงฉีเฟิงเรียกหลินซินเหยียนออกไป ไม่ได้เรียกเธอเข้าไปคุยในห้อง แต่ไปในสวนด้านนอกซึ่งเป็นสถานที่เงียบสงบ ต้นไม้ใหญ่เต็มไปด้วยใบเขียวชอุ่ม ใบไม้หนาทึบบดบังแสงแดด ร่มรื่นไปทั่วพื้นที่กว้างใหญ่ สายลมพัดมาบางครั้งคราว ให้ความเย็นสดชื่น ไม่ร้อนอบอ้าวแม้แต่น้อย
“ฉันได้ยินเรื่องของพวกเธอแล้ว” จงฉีเฟิงเอ่ยปากพูดก่อน เขายืนใต้ต้นไม้หันหลังให้หลินซินเหยียน
หลินซินเหยียนมองด้านหลังของเขา เวลาสองเดือนกว่า เขาผอมไปมาก แววตาไม่กระฉับกระเฉงอย่างที่เคยเป็น
ไม่มีเด็กสองคนอยู่ แม้กระทั่งพลังกายพลังใจอย่างในตอนนี้ก็ไม่มี
เมื่อเด็กสองคนอยู่ที่นี่ เขาถึงได้มีพลังใจแบบนี้
“เธอรู้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว คงจะกระจ่างแจ้งกับความรู้สึกนึกคิดของหล่อน รู้ว่าจงจิ่งห้าวสำคัญต่อหล่อนมาก หล่อนต้องการให้ลูกชายของตัวเองมีชีวิตที่มีความสุข แทนที่จะเป็นเพราะการตายของหล่อนทำให้ลูกตัวเองแยกทางกับภรรยา” จงฉีเฟิงกดเสียงต่ำ ที่เขาเรียกหลินซินเหยียนออกมา คืออยากชี้แนะเธอ เพื่อให้เธอไม่ต้องสนใจอดีต เพราะถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่ความผิดของเธอ
เธอมีความผิดอะไรล่ะ
เธอไม่สามารถเลือกเกิดได้ ไม่สามารถเลือกญาติได้ พูดมาพูดไปทั้งหมดก็เป็นเพราะคนรุ่นก่อนทำให้มันเกี่ยวเนื่องกันมา
“ฉันคิดว่าหล่อนอยากให้เธอดูแลลูกชายของหล่อนให้ดี ไม่ใช่เพราะการตายของหล่อน เลยจากไป ถ้ารู้สึกผิด แค่อยู่ข้างเขาและดูแลเขาให้ดีๆ ดูแลเด็กสองคน เด็กทั้งสองคนช่างน่าเวทนานัก ช่วงหลายวันนี้ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย”
ถ้าทั้งสองคนเลิกกันจริงๆ เด็กจะน่าสงสารแค่ไหน
จงฉีเฟิงหันหลังกลับมามองหลินซินเหยียน “คนเราน่ะ จะไม่รู้สึกหวงแหนสิ่งใดจนกว่าจะสูญเสียสิ่งนั้นไป แต่ไม่รู้ว่าหลังจากสูญเสียไปแล้ว มันก็สายเกินจะเอากลับคืนมา สัญญากับฉันนะว่าครั้งนี้จะตามเขากลับไป”
หลินซินเหยียนลดสายตาลงต่ำ “ฉันสัญญากับคุณค่ะ ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณพูดค่ะ”
จงฉีเฟิงพยักหน้าอย่างพอใจ “ฉันจะอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือน และจะกลับไปเยี่ยมเด็กๆ เป็นครั้งคราว”
คำพูดของเขาเหมือนกับจะบอกว่า จะกลับไปดูเป็นระยะว่าพวกเธออยู่กันดีหรือไม่
หลินซินเหยียนเข้าใจความคิดของเขา รู้สึกตื้นตันใจมาก “คุณพ่อคะ ขอบคุณมากค่ะ”
เพราะการตายของเฉิงยู่ซิ่วเกี่ยวพันกับเธอไม่มากก็น้อย แต่เขายังใจกว้างให้
จงฉีเฟิงถอนหายใจ “เด็กโง่ เธอเรียกฉันว่าพ่อ และเรียกหล่อนว่าแม่ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องพูดขอบคุณอะไรล่ะ”
เขาโบกมือ “เข้าไปในบ้านเถอะ ข้างนอกมันร้อน”
หลินซินเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไร ทว่าจิตใจไม่สงบ ฟังคำพูดของจงฉีเฟิงแล้วในใจเกิดคลื่นปั่นป่วน ที่เขาบอกว่าจะไม่รู้สึกหวงแหนสิ่งใดจนกว่าจะสูญเสียสิ่งนั้นไป เหมือนเขาบอกตัวเอง
เธอคิดว่าจงฉีเฟิงคงจะพูดถึงเขากับเฉิงยู่ซิ่ว
เขาเกิดความเสียใจต่อเฉิงยู่ซิ่ว
เธอเข้าใจทุกอย่าง และจะหวงแหนสิ่งที่มีในตอนนี้ คนรักก็ดี ครอบครัวก็ดี
หลังจากเหตุการณ์นี้ เธอเพิ่งรู้อย่างชัดเจนถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อจงจิ่งห้าว
ที่แท้แล้วลึกซึ้งอย่างมาก!
เมื่อเธอก้าวเข้าประตู ก็พลันถูกคนคว้าจับเข้าที่ข้อมือ เมื่อเห็นว่าเป็นจงจิ่งห้างจึงไม่ได้ว่าอะไร แล้วเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน
ห้องทางปีกฝั่งตะวันออก ห้องที่เขานอนเมื่อคืนนี้ ในห้องสะอาดและกว้างขวาง ถึงแม้จะเป็นบ้านไม้ แต่ภายในล้วนตกแต่งทันสมัย การใช้ชีวิตจึงสะดวกสบาย
จงจิ่งห้าวดึงเธอไปนั่งตรงขอบเตียง ไม่ได้ถามอะไรก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขน จูบที่ริมฝีปากของเธอ จูบของเขาโดยปกติมักหยาบคายเอาแต่ใจเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่ กลับบางเบานุ่มนวลดั่งแมลงปอสัมผัสผิวน้ำ กดย้ำซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
หลินซินเหยียนมองเข้าไปในดวงตาดำมืดและลึกล้ำของเขา รู้ดีว่าเขากำลังทดสอบ…