กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 622 เขาประสาทไปแล้ว
จงจิ่งห้าวพอเดาได้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง สายตาที่จ้องมองกู้เป่ยเต็มไปด้วยความเย็นชา “งั้นหรือ?”
“นี่ยังไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีหรือไง? ไหนจะพี่สี่? เสิ่นเผยชวน?” กู้เป่ยหัวเราะอย่างถากถาง “ตอนนี้คุณยังมีโอกาส คุณขอร้องฉัน ขอร้องฉัน ไม่แน่ฉันอาจจะใจกว้าง ปล่อยคุณไปก็ได้ เป็นไง?”
เขาเหิมเกริมหนักเข้ากว่าเดิม หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “คุณพูดว่า ประธานกู้ ผมผิดไปแล้ว เพราะผมมีตาหามีแววไม่ ท่านเมตตาด้วยเถอะ ไม่แน่ ฉันอาจจะปล่อยเสิ่นเผยชวนไปก็ได้?”
จงจิ่งห้าวจับจ้องเขาอย่างพิจารณา สายตาฉายแววความโกรธขีดสุด ชั่ววูบความโกรธนั้นจางหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเฉยชา “ผมคงต้องทำให้ประธานกู้ผิดหวังซะแล้ว”
กู้เป่ยยืดตัวขึ้นทันที “ป่านนี้แล้วคุณยังมองเกมไม่ออกอีกหรือ?”
“ประธานกู้ครูที่สอนดีมาก เพียงแต่ผมเรียนไม่เข้าหัวเท่านั้น ไม่อย่างนั้น นายลองสอนฉันอีกทีดูไหม?” จงจิ่งห้าวนิ่งเฉย ไม่แยแสคำขู่ของเขาแม้แต่น้อย
กูเป่ยคำรามด้วยความโกรธจัด “จงจิ่งห้าวนายมีอะไรให้อวดดีกัน? ก็แค่เงินเยอะกว่าฉันไม่ใช่หรือไง? แต่ถ้าเรื่องอำนาจ คุณสู้ฉันไม่ได้หรอก?”
รอยยิ้มของเขา ราวกับเขามีแผนการอะไรลับหลัง ทำให้กู้เป่ยขนลุกซู่
แต่เมื่อลองทบทวนให้ดี คนที่ช่วยเขาได้มากที่สุดก็คือเสิ่นเผยชวน กับตระกูลเหวินก็ไม่ได้มีการไปมาหาสู่ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเหวินชิงเองก็ชื่อเสียงฉาวโฉ่ ให้ความช่วยเหลือกับเขาได้ที่ไหนกัน?
แล้วยังซูจ้านอีกคนจะทำอะไรได้?
บิดาของเขา กับพี่สาวตั้งมากมายนั่น ต่างก็แต่งงานกับคนธรรมดาทั้งนั้น ส่วนเขาไม่ว่าจะทางด้านไหนก็มีเส้นสาย อยากจะทำอะไร ก็แค่เรื่องง่ายนิดเดียว
เมื่อคิดได้อย่างนั้น กู้เป่ยมีความเชื่อมั่นขึ้นมาทันที
“คุณเลิกขู่ฉันได้แล้ว!”
จงจิ่งห้าวยังคงนิ่งเฉยเช่นเคย “คุณรู้ไหมว่าเราต่างกันยังไง?”
กู้เป่ยกล่าวถาม “ตรงไหน?”
“คุณเส้นสายมากมายจริงๆ นั่นแหละ เป็นคนกว้างขวาง แต่คุณอย่าลืมสิ ว่าคนที่ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งจัดการได้ง่ายมากเท่านั้น เหมือนกับที่คุณขู่เผยชวน แต่คุณไม่รู้ว่าฉันมีเส้นสายอะไรบ้าง มีอำนาจมากแค่ไหน”
กลยุทธ์ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของจงจิ่งห้าว ทำให้กู้เป่ยหัวใจเต้นแรง “นี่ คุณหมายความว่ายังไง?”
ทวนที่เปิดเผยนั้นหลบหลีกง่ายแต่เกาทัณฑ์ลับนั้นยากระวัง เห็นได้ชัดว่าประโยคของจงจิ่งห้าวนั้นยังมีอำนาจลับที่ไม่เปิดเผยหนุนหลังอยู่
“เรื่องง่ายๆ แค่นั้นประธานกู้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?” เขาเหยียดหยาม
กู้เป่ยที่เป็นคนอารมณ์ร้อนไม่หนักแน่นสุขุมอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำให้เขาอารมณ์เสียได้แล้ว
“คุณหมายความว่าคุณมีเส้นสายงั้นหรือ?” กู้เป่ยไม่เชื่อ แต่ก็ใช่ว่าไม่เชื่อซะทีเดียว
ช่างขัดแย้งนัก ไม่รู้ว่าที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง หรือว่าเพียงหลอกเขากันแน่
“ต่อให้คุณมีเส้นสายแล้วยังไง คุณก็ไม่แน่ว่าจะชนะฉันได้” กู้เป่ยไร้ความเชื่อมั่นเฉกเช่นเดิม เพียงแต่เคยชินกับการข่มเหง “คอยดูแล้วกัน”
เขาเดินออกไปด้วยความโมโห ซูจ้านพาเสิ่นเผยชวนเข้ามา พอดีกับที่ชนเข้ากับเขาที่หน้าประตู
“อ้าว นี่ประธานกู้ไม่ใช่หรือไง?” ซูจ้านพิจารณาเขาจากหัวจรดเท้า พลันเหยียดหยาม “คุณทำหน้าเศร้าแบบนั้น พ่อเสียหรือยังไง?”
กู้เป่ยกระชากคอเสื้อของซูจ้าน พลันกล่าวอย่างเป็นนัย “คุณอยากตายหรือไง?”
ซูจ้านไร้ปฏิกิริยาใดๆ พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าฉันรนหาที่ตายแล้วคุณจะทำอะไรฉันได้? แหกตาดูด้วยว่าที่นี่มันที่ไหน”
กู้เป่ยบุกเข้ามาตัวคนเดียว หากมีเรื่องกับซูจ้านขึ้นมาจริงๆ ละก็เขาไม่ได้เปรียบแน่ ต่อให้ในใจเขาโกรธจนขีดสุด แต่ก็ต้องคลายมือออก
“ฉันไม่ปล่อยคุณไปแน่!”
ซูจ้านปัดฝุ่นละอองที่ไม่มีอยู่ “แล้วฉันจะรอ คุณเข้ามาได้เลย!”
ดวงตาทั้งสี่ประสานกัน หากสายตาสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ เช่นนั้น ในเวลานี้พวกเขาได้สู้รบกันแล้ว
“เสิ่นเผยชวน” กูเป่ยหัวเราะเหยียดหยาม ก่อนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป
ซูจ้านเต็มไปด้วยความฉงน เขาจะเรียกชื่อเสิ่นเผยชวนทำไมกัน?
เขาประสาทไปแล้วหรือไง?
“เขาเรียกชื่อนายทำไม?” ซูจ้านหันขวับไปกล่าวถามเสิ่นเผยชวน
เสิ่นเผยชวนกล่าว “เขาเป็นโรคประสาท อย่าไปสนใจเขาเลย”
“อย่างงั้นหรือ?” ซูจ้านกล่าวถามเขาอย่างสงสัย รู้สึกว่าประโยคของกู้เป่ยนั้นมีความหมายอะไรบางอย่าง ไม่เหมือนกับว่าพูดไปอย่างนั้น
เสิ่นเผยชวนไปสนใจที่จะโต้ตอบกับเขา พลันสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องทำงาน จ้องมองไปที่จงจิ่งห้าว “มันมาทำไม?”
จงจิ่งห้าวลุกเดินออกมาจากโต๊ะ กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เกิดเรื่องขึ้นกับคุณทำไมไม่บอกฉัน?”
เสิ่นเผยชวนนั่งลงบนโซฟา พลันกล่าว “คุณเตรียมงานแต่งอยู่ไม่ใช่หรือไง ฉันไม่อยากรบกวนคุณ”
จงจิ่งห้าวไม่ชอบใจนัก พลันคำรามด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก “คุณจะทำยังไง?”
เรื่องแบบนี้ปิดบังกันได้อย่างงั้นหรือ? หากเกิดผลกระทบใหญ่ที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีกขึ้นมาจะทำยังไง?
อนาคตไม่เอาแล้วหรือยังไง?
“พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?” ซูจ้านเดินเข้ามา จ้องมองเสิ่นเผยชวนพร้อมกล่าวถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณ?”
เสิ่นเผยชวนก้มหน้าลงไม่โต้ตอบ
จงจิ่งห้าวดึงเนกไท “ยังไม่คิดที่จะพูดอีกหรือ?”
“วันนี้เช้าผู้บัญชาการเรียกฉันเข้าไปที่สถานีตำรวจ พอฉันเข้าไปที่สถานีตำรวจก็เห็นพวกคนของห้องตรวจสอบ บอกว่าฉันติดสินบน ตอนนี้ฉันถูกหยุดการปฏิบัติหน้าที่แล้ว กำลังรับการตรวจสอบอยู่” เสิ่นเผยชวนก้มหน้ากล่าว
“ไอ้เวร!” ซูจ้านโกรธจนด่ากราด “คนถ่อยอย่างกู้เป่ย แม่งไร้ยางอายชะมัด”
จงจิ่งห้าวพอคาดเดาได้บ้าง รู้ว่าการใช้วิธีถึงแก่ชีวิตแบบนี้ในการเล่นงานเสิ่นเผยชวนเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ
ยังไงซะสำหรับบุคคลสาธารณะนั้น การถูกตรวจสอบติดสินบนนั้นจะส่งผลต่ออนาคตอย่างมาก
อย่างที่กู้เป่ยว่า หากเขาต้องการทำอะไรละก็ ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจริง ถ้าอย่างนั้นเสิ่นเผยชวนต้องแย่แน่
“ตอนนี้เราจะเอายังไงต่อ?” ซูจ้านกล่าวถามอย่างร้อนใจ เรื่องนี้ข้องเกี่ยวไปถึงอนาคตของเสิ่นเผยชวน หากจัดการไม่ดี ต้องถึงกับสูญเสียฐานะและเกียรติภูมิ
จงจิ่งห้าวจัดการเรื่องงานแต่ง เขาเกรงว่ากู้เป่ยจะก่อความวุ่นวาย เพราะงั้นจึงได้เตรียมแผนการรับมือเอาไว้
ผู้หนุนหลังของกู้เป่ยคือท่านปู่กู้เท่านั้น พี่เขยพวกนั้นของเขา เพียงเพราะเห็นแก่ท่านปู่กู้ จึงไว้หน้ากู้เป่ย
หากท่านปู่กู้ล้มขึ้นมา กู้เป่ยยังจะมีอะไรอีก?
คนโบราณทำศึกสงครามต่างรู้ดีว่าหากคิดที่จะชนะศึกสงครามต้องจัดการกับหัวหน้าให้ได้เสียก่อน แล้วเขาจะมัวเสียเวลาอยู่กับกู้เป่ยไปทำไม
“พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง” จงจิ่งห้าวยืดกายลุกขึ้น คว้าเอาโทรศัพท์บนโต๊ะเตรียมออกไป
“คุณมีวิธีแล้วอย่างนั้นหรือ?” ซูจ้านจับจ้องเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เสิ่นเผยชวนเองก็อึ้งหนกเช่นเดียวกัน
ทั้งคู่จับจ้องไปที่เขา
จงจิ่งห้าวไม่ได้อธิบายแต่อย่างใด เพียงจับจ้องสายตาที่อึ้งทึ่งของพวกเขา พลันยักคิ้วกล่าวถาม “ทำไม ไม่เชื่อใจฉันอย่างงั้นหรือ?”
ซูจ้านพยักหน้า ก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างลนลาน “เราเชื่อคุณอยู่แล้ว เพียงแต่คุณมีคนรึเปล่า?”
ยังไงซะเขาก็เป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่ข้าราชการ จะต่อกรกับกู้เป่ยได้อย่างไร?
จงจิ่งห้าวหัวเราะลั่น พลันทิ้งท้ายเป็นปริศนา “ฉันไม่มี แต่เมียฉันมี”
ก่อนหน้านี้หลังจากที่หลินซินเหยียนได้รับสายจากช่าวหยุน เธอได้บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของช่าวหยุนเอาไว้ในมือถือ ให้เขาหากมีเรื่องที่ออกหน้าไม่ได้ ให้ติดต่อช่าวหยุน
อันที่จริงหลินซินเหยียนเองก็ไม่ชัดเจนนัก ว่าบิดาของเธอเป็นใครกันแน่ แต่เธอก็ไม่ได้อยากทำความเข้าใจมากนัก
อย่างที่เหวินเสียนว่าไว้ ขอเพียงรู้แค่ว่าเขาเป็นคนดีก็พอแล้ว
ซูจ้านและเสิ่นเผยชวนต่างจ้องหน้ากัน เสมือนกับว่าได้คำตอบจากสายตาของอีกฝ่าย
รู้ว่านี่ไม่เพียงแค่หมายถึงหลินซินเหยียน หากแต่เป็นอำนาจที่บิดาและมารดาได้ทิ้งเอาไว้
รู้ว่าจงจิ่งห้าวมีแผนรับมือแต่แรก ซูจ้านพอสบายใจขึ้นมาบ้าง หากแต่เขาเกลียดชังการกระทำของกู้เป่ยจนถึงขีดสุด
เมื่อนึกถึงกู้เป่ยขึ้นมา พลันอยากจะด่ากราด