กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 639 คุณอยากจะดูภาพที่มันร้อนแรงหรอ
หลินซินเหยียนไม่พูด
เพราะว่าไม่รู้จะบอกเขายังไง หรือใช้คำพูดแบบไหนบอกเขา
“พี่สะใภ้ คุณมีอะไรก็พูดออกมาเถอะ คุณยิ่งอ้ำอึ้ง ผมยิ่งไม่สบายใจ” ซูจ้านยิ่งลุกลนนั่งไม่ติดขึ้นไปอีก
ถ้าหากเป็นเรื่องดี หลินซินเหยียนไม่มีทางลังเลอยู่แบบนี้
ถ้าอย่างนั้น ก็มีเพียงคำตอบเดียว บอกความจริงไม่ได้ก็คือเรื่องไม่ดี
หลินซินเหยียนมองเขา “เสี่ยวยาตัดสินใจยังไง ล้วนมีเหตุผลของเธอ นายไม่ต้อง…”
ขณะที่เธอกำลังพูด สายตาของซูจ้านก็จ้องออกไปนอกบานกระจกอยู่ตลอด หลินซินเหยียนมองไปตามสายตาของเขา เลยเห็นภาพของฉินยากำลังควงแขนของช่าวหยุนลงมาจากรถ
หลินซินเหยียนถอนหายใจทีหนึ่ง เธอทำแบบนี้จริงด้วย
“พี่สะใภ้” สายตาของซูจ้านหันกลับมามองหลินซินเหยียน “คุณบอกความจริงไม่ได้ก็คือ จริงๆแล้วเธอมีคนรักใหม่แล้วใช่มั้ย?”
หลินซินเหยียนพูด “นายใจเย็นหน่อย”
ซูจ้านยิ้ม เอนหลังพิงกับเก้าอี้ “เธอเอาชายแก่คนหนึ่งมา จะเอาแสดงอำนาจต่อผมงั้นหรอ?”
“ฉันไม่ได้จะมาแสดงอำนาจต่อคุณ ก็แค่ไม่อยากให้คุณตามรังควานฉันเป็นพลาสเตอร์หนังหมา”
ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ ฉินยาและช่าวหยุนก็เดินเข้ามาด้วยกัน ดังนั้นเลยได้ยินที่เขาพูด เลยพูดตอบต่อ
ซูจ้านมองเธอสองวิ แล้วรีบลุกขึ้นคว้าข้อมือของเธอทันที “ผมมีเรื่องต้องพูดกับคุณ”
“มีเรื่องอะไร คุณก็พูดออกมาตรงนี้เลย”
ฉินยาตั้งใจจะแกะมือของเขาออก
ซูจ้านตาแดงก่ำ ไม่สนใจการปฏิเสธของเธอดึงดันลากเธอออกไป
ฉินยาดิ้นตลอดทาง แต่ว่าแรงของผู้ชายผู้หญิงมีความเหลื่อมล้ำ เธอไม่สามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของซูจ้านได้ ทั้งทางถูกเขาพามาถึงซอยถนนด้านนอกร้านอาหาร
“ซูจ้าน คุณรีบปล่อยฉันนะ” ฉินยาเพิ่มเสียงดังขึ้น เป็นสัญญาณว่ากำลังจะโมโหลางๆ
ซูจ้านเหวี่ยงเธอไปที่กำแพงข้างในซอย “บอกมาสิ ตกลงคุณจะทำอะไรกันแน่?”
“ก็อย่างที่คุณเห็น” ฉินยามองกลับมาที่เขาโดยไม่ปิดบัง
ราวกับกำลังแสดงให้เห็นว่าตัวเองในขณะนี้ตรงไปตรงมาแค่ไหน
ซูจ้านหรี่ตา “ชายแก่คนนั้นน่ะหรอ?”
“ฉันคิดว่าอายุมากกว่าหน่อย เก่งกว่าคุณที่เป็นแบบนี้เยอะเลย ไม่ใช่ว่ามีประโยคหนึ่งบอกว่า คนอายุมากจะรู้จักดูแลคนหรอ? เขาก็ดูแลคนเก่งมากพอดี ดีกว่าคุณเสียอีก” ฉินยาฉลาดมีไหวพริบ แต่ละคำทิ่มแทงใจคน
สีหน้าของซูจ้านราวกับถูกไฟแผดเผา แดงไปทั้งหน้า
ฉินยาลูบข้อมือที่ถูกเขาบีบจนแดง “เขาทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย แล้วก็สามารถดูแลปกป้องฉันได้ พวกเรานอกจากอายุที่ห่างกัน ก็ไม่มีความขัดแย้งอะไรกันเลย อีกอย่างนะ ต่อหน้ารักแท้อายุเกี่ยวอะไรล่ะ?”
เธอไม่สนใจใบหน้าที่โกรธจัดของซูจ้าน พูดต่อไป “ที่ฉันเสียใจที่สุดก็คือ ฉันไม่สามารถให้ร่างกายที่บริสุทธิ์แก่เขาได้ แต่ว่าเขาไม่รังเกียจฉัน จุดนี้ทำให้ฉันซึ้งใจมาก…”
ทันใดนั้น ซูจ้านบีบคอของเธอ ดันเธอติดกับผนัง
คำรามใส่เธอ “คุณหลอกผม!”
ฉินยายังคงใจร้ายต่อไป “คุณไม่เชื่อ ฉันเรียกเขามาก็ได้นะ จูบกันต่อหน้าคุณ หรือว่าคุณอยากจะดูภาพที่มันร้อนแรงกว่านี้ล่ะ ฉันสามารถพิสูจน์ให้คุณดูได้นะ…”
ซูจ้านจ้องเธออยู่อย่างนั้น ในขอบตาแดงค่อยๆก่อตัวเป็นน้ำชั้นบางๆ เขาพูดเสียงแหบว่า “ฉินยา คุณเป็นแบบนี้ เราก็จบกันจริงๆแล้วนะ”
“ฉันกับคุณมันจบไปตั้งนานแล้ว คุณเองต่างหากที่มองไม่ชัด” มือที่อยู่ข้างลำตัวของเธอ กำเป็นหมัดแน่น
เล็บเกือบจะจิกเข้าไปในเนื้อของฝ่ามือ ความเจ็บปวดถึงจะทำให้เธอคุมสติไว้อยู่ ความเจ็บปวดถึงจะทำให้เธอรักษาความสงบบนใบหน้าไว้ได้
“ฉัน ฉินยา เดินหน้าไม่คิดถอยหลัง ฉันกับคุณ ไม่มีทางอีกแน่นอน!” เธอพูดคำเว้นคำ ขณะเดียวกันที่ทำร้ายซูจ้าน ก็เหมือนใช้มีดแทงหัวใจตัวเองด้วยเช่นกัน
“ได้ ได้ ได้ ดี” ซูจ้านค่อยๆชักมือกลับ พูดคำว่าได้แต่ละครั้ง เขาก็บอกกับตัวเองในใจ ยอมแพ้เถอะ ยอมแพ้เถอะ ยอมแพ้เถอะ เขารีบเบือนหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้ฉินยาเห็นความร้อนในตาของเขากลายเป็นน้ำ แล้วหยดลงมา
เขาหันหลังให้ฉินยา “จากนี้ไปผมจะไม่มารังควานคุณอีก ผมกับคุณ…หมดวาสนาต่อกัน!” พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินจากไป
ฉินยาพิงกำแพงไม่ขยับ มองดูแผ่นหลังของเขา แสบจมูกขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ มีก้อนสำลีจุกอยู่ที่คอ จนหายใจไม่ออก ได้แต่อ้าปากสูดอากาศ น้ำตาก็ไหลท่วมลงมาอย่างไม่อาจต้านทานได้
ซูจ้านไม่ได้จากไปแต่ย้อนกลับมาที่ร้านอาหาร เพื่อพิสูจน์ให้ฉินยาได้เห็น ว่าหัวใจของตัวเองได้ตายไปแล้วจริงๆ เผชิญหน้ากับเธอก็ไม่รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาอีก
ช่าวหยุนกำลังระบายความทุกข์กับหลินซินเหยียน “ฉันไม่มีทางเลือกถึงรับปากเธอ”
หลินซินเหยียนรู้ ฉินยาตัดสินใจแล้ว จะต้องทำทุกวิถีทางขอให้ช่าวหยุนช่วยเธอแสดงละครแน่ๆ
ช่าวหยุนส่ายหน้า “ฉันไม่เต็มใจจริงๆ สุภาษิตกล่าวไว้ว่า พังวัดสิบวัด ไม่เท่าทำลายงานแต่งหนึ่งงาน เธอดูสิ บังคับให้ฉันเป็นคนเลวไปได้”
“ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว คุณก็ช่วยเธอหน่อยเถอะ” หลินซินเหยียนถอนหายใจและพูด
ช่าวหยุนกระพริบตา “คุณไม่ไปโน้มน้าวเธอหน่อยหรอ?”
“โน้มไม่ไหว” ทำไมหลินซินเหยียนจะไม่อยากให้เธอกับซูจ้านนั่งลง แล้วคุยกันดีๆล่ะ?
แต่ว่าฉินยามีปมในใจ ร่างกายบกพร่อง ทำให้เธอไม่ยินยอมที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึก
อย่าว่าเป็นซูจ้าน ต่อให้เจอผู้ชายที่เพอร์เฟค เธอก็ไม่มีทางเปิดใจมีความรักอีกครั้ง
ไม่มีทางแก้
นอกจากเธอจะคิดได้เอง คนภายนอกช่วยอะไรไม่ได้
“น่าเสียดายมาก ฉันว่าหนุ่มคนนั้นถือว่าไม่เลวเลย” ช่าวหยุนแสดงความเห็นต่อซูจ้าน ถึงแม้จะไม่รู้ความสามารถและนิสัยใจคอ อย่างแรกคือเขาหน้าตาดีไม่เบา
“คงต้องเป็นแบบนี้แล้วแหละ” ช่าวหยุนพูดอย่างจนปัญญา “เสี่ยวยาตกลงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงทำแบบนี้…”
หลินซินเหยียนเห็นซูจ้านที่เดินเข้ามา ตีช่าวหยุนเล็กน้อย ช่าวหยุนรู้ทันทีว่าเธอหมายความว่ายังไง หยุดพูดไม่พูดต่อจนจบ
ซูจ้านในตอนนี้ปรับอารมณ์ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ลากเก้าอี้และนั่งลงราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
ท่าทางเอ้อระเหยลอยชายอย่างไม่คิดอะไร “ยังไม่สั่งอาหารหรอ?”
หลินซินเหยียนมองเขาสองวิ เหมือนคนที่ไม่เป็นอะไร แต่ว่าลมหายใจที่ผ่อนออกมาจากร่างนั้น กลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเท่าไหร่
เขายกมือ เรียกพนักงาน “สั่งอาหาร”
พนักงานชายถือเมนูมาสองสามเล่มเดินเข้ามาทันที
เขารับมาเล่มหนึ่ง ไม่ได้เงยหน้าถาม “จิ่งห้าว นายเลี้ยงใช่มั้ย?”
จงจิ่งห้าวมองเขาครู่หนึ่ง ตอบอืมทีนึง
“อันนี้ อันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้” ขณะพูดเขาเงยหน้าขึ้นมามองหลินซินเหยียน “พี่สะใภ้ คุณอยากกินอะไร? ผมจะสั่งให้”
หลินซินเหยียนมองเขา ตอบว่า “แล้วแต่เลย ฉันอะไรก็ได้”
เขาเพิ่มอาหารไปสองสามอย่าง จากนั้นมองไปทางจงจิ่งห้าว “นายล่ะ? ฉันรู้อาหารรสอ่อน ฉันสั่งให้นาย”
เขาสั่งเพิ่มอีกสองอย่าง คนบนโต๊ะต่างรู้ดีว่าเขากำลังอกหัก อารมณ์ไม่ดี เลยปล่อยเขาไป
“พี่ชายใหญ่ท่านนี้คุณล่ะ?” ซูจ้านเรียกช่าวหยุน
ช่าวหยุน “……”
เขาคิดในใจ ใครเป็นพี่ชายใหญ่ของนาย?!
แต่ว่าก็ไม่ได้พูดออกมา ใครใช้ให้เขา‘แย่ง’แฟนของเขากันล่ะ?
“ผมเป็นแขกตามใจเจ้าบ้านเลยครับ” ช่าวหยุนดึงปกคอเสื้อเชิ้ต ยังคงเป็นสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายดอกไม้ที่เขารัก กางเกงขายาวสีเบจ รองเท้าหนังแบบผูกเชือกสีขาว นี่คือมาตรฐานของเขา
การแต่งกายที่เขาชอบ
“งั้นผมช่วยสั่งให้” เขาสั่งอาหารกับพนักงานอีกสองสามอย่าง
พนักงานจำได้หมดแล้ว ถามว่า “ยังต้องการอะไรอีกมั้ยครับ?”
“เอาเท่านี้แหละ” เขาปิดเมนูยื่นให้พนักงานชาย
ฉินยาเข้ามาช้ามาก อาหารวางเต็มหมดแล้ว เธอถึงเดินเข้ามาจากนอกประตู บนหน้าแต่งหน้าเพิ่มมาแล้ว แต่ก็ยังคงมองออก ถึงดวงตาแดงๆ
ซูจ้านไม่เงยหน้ามองเธอ
ฉินยานึกว่าซูจ้านไปแล้ว เห็นเขาอยู่ ความรู้สึกที่ฝืนกดมันเอาไว้ ก็วนเวียนกลับขึ้นมาอีกครั้ง
เธอทำเป็นเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นและนั่งกินข้าวอยู่ที่นี่ไม่ได้ เธอกลัวตัวเองจะทนไม่ไหว เอื้อมมือไปดึงแขนของช่าวหยุน “ฉันไม่อยากกินแล้ว คุณกลับเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
ช่าวหยุนเงยหน้ามองเธอ เห็นได้ชัดว่าผ่านการร้องไห้มา เขาลุกขึ้นทันทีและพูดว่า “ไปกัน”
ขณะพูดก็เป็นฝ่ายกอดไหล่ของเธอด้วย เดิมทีก็สนิทกันมากอยู่แล้ว เห็นเธอเป็นคนในครอบครัวมาโดยตลอด ดังนั้นเลยไม่ได้จงใจหลีกเลี่ยงอะไร
เธอเรียกตนเองว่าอารอง นั่นก็คือคนในครอบครัว
รู้ว่าตอนนี้ในใจเธอจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ก็อยากจะปลอบเธอสักหน่อย
ซูจ้านเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถาม “เป็นเพราะผมอยู่ที่นี่ แม้แต่ข้าวคุณก็กินไม่ลงใช่มั้ย?”