กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 644 ไท่ซ่างเหล่าจวินยื่นพระหัตถ์
เสิ่นเผยซวนดื่มไปไม่น้อย แต่สมองยังคงแจ่มชัด ถึงความสัมพันธ์กับผู้บัญชาการซ่งจะดีแค่ไหน แต่จะให้อยู่บ้านคนอื่นได้ยังไง
อยากจะปฏิเสธ แต่ไม่รู้จะปฏิเสธความกระตือรือร้นของผู้บัญชาการซ่งยังไง
เพราะถึงยังไงเรื่องครั้งนี้ เขาก็ยื่นมือเข้ามาช่วยตน
ไม่ว่าด้วยเหตุอันใด เมื่อคนผู้นี้กรุณาเขาล้วนต้องรับไว้
“เผยซวน ทำไมผมเห็นว่าคุณเหมือนมีเรื่องบางอย่างในใจ” ผู้บัญชาการซ่งมองเขาพลางถาม
สีหน้าของเขายุ่งเหยิงเกินไป แม้แต่ผู้บัญชาการซ่งที่ดื่มมากไปยังดูออก
ขณะที่เสิ่นเผยซวนกำลังกระสับกระส่ายว่าจะตอบผู้บัญชาการซ่งอย่างไร โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น เขาพูดว่า “ผมรับโทรศัพท์นะครับ”
พูดอย่างนั้นแล้วเขาก็ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ซ่งหย่าซินที่นั่งข้างเขาตั้งใจมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา เหมือนกังวลว่าซางหยูจะมายุ่งกับเขาอีก
แต่หน้าจอโทรศัพท์มือถือปรากฏเป็นคำว่าพี่สะใภ้ เธอถึงค่อยวางใจ เพียงแต่เขาไม่ใช่คนเมืองB ไม่ได้มีญาติที่นี่ แล้วทำไมถึงมีพี่สะใภ้ อยู่ที่นี่ได้ล่ะ
ซ่งหย่าซินเหลือบมองเสิ่นเผยซวนอย่างแปลกใจ
เมื่อเสิ่นเผยซวนเห็นสายที่โทรเข้ามาก็รีบรับทันที
“ฮัลโหล”
“เสิ่นเผยซวนเหรอ” หลินซินเหยียนถาม
เห็นซูจ้านเดินไปคนเดียว หลินซินเหยียนไม่วางใจ ดังนั้นจึงโทรหาเสิ่นเผยซวน อยากให้เขาคอยดูซูจ้าน
เสิ่นเผยซวนตอบ “ใช่”
“ซูจ้านบอกว่าจะไปหาคุณ คุณคอยดูเขาให้หน่อยนะ” หลินซินเหยียนพูด
เสิ่นเผยซวนขมวดคิ้วถาม “เขาเป็นอะไร”
“เขาเลิกกับฉินยาแล้ว อารมณ์ไม่ปกติ เมื่อครู่เพิ่งเอาเขาออกมาจากสถานีตำรวจ”
“ทำไมเขาถึงไปที่สถานีตำรวจได้” เสิ่นเผยซวนถามอย่างตึงเครียด
เกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นใช่ไหม
ไม่อย่างนั้นจะไปวุ่นวายที่สถานีตำรวจได้ยังไง
“ทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ฉันดูแล้วบาดแผลไม่เบา ตอนแรกฉันอยากให้เขาไปวิลล่ากับฉัน แต่เขาไม่เต็มใจไป วันนี้ฉันยังมีธุระอีก เพราะอย่างนั้นรบกวนคุณคอยดูเขาให้หน่อยนะ ฉันกลัวว่าเขาจะทำอะไรโง่ๆ”
ตอนเย็นตกลงไว้ว่าจะเลี้ยงรับรองซ่าวหยุน คืนนี้เธอกับจงจิ่งห้าวจึงต้องอยู่ที่วิลล่า เพราะถึงอย่างไรก็อยากแนะนำซ่าวหยุนให้จงฉีเฟิงกับเฉิงยู่เวินได้รู้จัก
ดังนั้นจึงไม่สามารถติดตามซูจ้านได้
เสิ่นเผยซวนพูดว่า “ผมรู้แล้ว ผมจะไปตามหาเขา”
หลินซินเหยียนส่งเสียงตอบอืม
เมื่อวางสายเสิ่นเผยซวนก็หาเหตุผลที่จะกลับได้แล้ว เขามองไปยังผู้บัญชาการซ่ง “ผมมีธุระ ต้องกลับแล้วครับ”
ผู้บัญชาการซ่งไม่ได้บังคับให้เขาอยู่ เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีเรื่องที่ต้องไปทำ “คุณไปเถอะ แต่คุณดื่มไปมาก ไม่สามารถขับรถได้…”
“คุณพ่อคะ ฉันไปส่งเขาเองค่ะ” ผู้บัญชาการซ่งยังพูดไม่ทันจบดี ซ่งหย่าซินก็พลันตัดบท
ผู้บัญชาการซ่งเหลือบมองลูกสาว รู้ความคิดภายในใจของเธอ ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “เผยซวนดื่มแล้วขับรถไม่ได้ งั้นแกก็ไปส่งเขาเถอะ”
เสิ่นเผยซวนพูดว่า “ผมเรียกแท็กซี่ก็ได้ครับ”
เขาไม่อยากสร้างปัญหาให้คนอื่น ตอนนี้ค่อนข้างเป็นห่วงซูจ้าน จึงมองเจตนาของซ่งหย่าซินไม่ออก
แต่ต่อให้ไม่มีซูจ้าน เสิ่นเผยซวนก็เป็นคนสมองซื่อบื้อ จะไม่มีทางค้นพบความคิดของซ่งหย่าซินได้
ซ่งหย่าซินหยิบกุญแจรถแล้วพูดว่า “เรียกแท็กซี่ที่นี่ไม่ง่าย ให้ฉันไปส่งคุณเองเถอะ คุณดื่มไปมากขนาดนี้ปล่อยคุณไปคนเดียวคุณพ่อคงไม่สบายใจแน่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น เราไม่สามารถหนีจากความรับผิดชอบได้ คุณดื่มอยู่ที่บ้านเรานะ คุณอย่าปฏิเสธเลย เราต่างก็สนิทกัน แค่ไปส่งคุณนิดหน่อยมีอะไรหนักหนาล่ะ หรือว่าคุณกลัวฉัน กลัวฉันกินคุณเหรอ”
เมื่อซ่งหย่าซินพูดในส่วนนี้ เสิ่นเผยซวนก็ไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ ได้แต่ต้องตกลง
ระหว่างทางเขาโทรหาซูจ้าน ไม่นานก็ต่อสายได้ แต่ไม่มีคนรับ
ได้ยินหลินซินเหยียนบอกว่าเขาอารมณ์ไม่ปกติ เพราะฉะนั้นจึงกังวล ต่อสายหาอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่มีคนรับ
สองครั้งล้วนไม่มีคนรับ เขาจึงค่อนข้างร้อนใจ
ซ่งหย่าซินที่กำลังขับรถอยู่ปลอบเขา “คุณอย่าเพิ่งร้อนใจ รออีกครู่หนึ่งค่อยโทรใหม่”
เสิ่นเผยซวนส่งเสียงตอบอืม
ซ่งหย่าซินเอ่ยถาม “ตอนนี้เราไปที่ไหนดี”
เสิ่นเผยซวนบอกว่ากลับบ้าน
หลินซินเหยียนบอกว่าซูจ้านไปหาตน เวลานี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่สำนักงาน เช่นนั้นจึงเหลือเพียงที่พักของเขา
สิบกว่านาทีต่อมารถก็มาจอดอยู่ที่หน้าประตูหมู่บ้านคอนโดของเขา
ซ่งหย่าซินจอดรถสนิท เขาเปิดประตูรถลงมา แล้วพูดว่า “คุณขับรถช้าลงหน่อยนะ ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วย”
ซ่งหย่าซินลดหน้าต่างรถลง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ก็ถึงบ้านคุณแล้ว ไม่เชิญฉันขึ้นไปดื่มชาสักถ้วยเหรอ”
เสิ่นเผยซวน “………”
เธอยิ้ม “ล้อเล่นน่า รีบไปหาเพื่อนคุณเถอะ ฉันไปก่อนนะ”
เมื่อพูดจบเธอก็เลื่อนหน้าต่างขึ้น สตาร์ทรถจากไป
เธอมองเสิ่นเผยซวนจากกระจกมองหลัง มุมปากยกยิ้มบางราวกับพูดว่า “คุณหนีไม่พ้นเงื้อมมือฉันหรอก”
เสิ่นเผยซวนหันเดินเข้าไปในหมู่บ้านคอนโด ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่เขาอยู่แล้วประตูลิฟต์ก็เปิดออก เมื่อเขาออกมาก็เห็นซูจ้านนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเขา
เขารีบเดินเข้าไป พบว่าอักฝ่ายหลับอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะดื่มมากไปหรือเพราะบาดแผลบนร่างกาย
อย่างไรก็ให้มานอนหลับพิงประตูที่พักไม่ได้
เขาจึงเปิดประตู ประคองอีกฝ่ายเข้าไป แล้ววางลงบนเตียง
ตลอดการกระทำนี้ซูจ้านไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย และก็ไม่มีสัญญาณของการได้สติใดๆ ด้วย
เสิ่นเผยซวนขมวดคิ้ว “ทำไมทำตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง”
หลินซินเหยียนบอกว่าเขาอกหัก
เขาจะอกหักตลอดไปเลยหรือไง!
เฮ้อ เขาถอนหายใจ ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดบนตัวซูจ้านออก กางเกงรองเท้า ทยอยปลดเปลื้องจนหมด ไม่เพียงมีเลือด ยังมีกลิ่นเหล้า กลิ่นแรงมาก
ตอนที่ห่มผ้าให้เขา เสิ่นเผยซวนเห็นรอยช้ำบนร่างกายของอีกฝ่ายหลายจุด เขายืนอยู่ข้างเตียง นี่ไปมีเรื่องกับใครมา
ลงมือโหดร้ายขนาดนี้
ในบ้านมียา เนื่องจากอาชีพของเขาจึงมีการเตรียมยาสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเอาไว้ในบ้าน เขาเอาออกมาแล้วเช็ดตัวให้ซูจ้าน ทำความสะอาดใบหน้าและศีรษะไปแล้ว เขาก็ไม่ขยับ
เก็บของเสร็จแล้วเขาก็ไปนั่งบนโซฟา บ้านของเขาไม่ใหญ่ มีเพียงหนึ่งห้องนอนกับหนึ่งห้องหนังสือ ห้องครัวก็มี เพียงแต่ไม่ค่อยได้ทำอาหารที่บ้าน
เขารินน้ำดื่มหนึ่งแก้ว บรรเทาอาการรู้สึกปากแห้งไปได้ไม่น้อย จากนั้นสักพักเขาจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ แล้วมาพักผ่อนบนโซฟา
ช่วงเวลานี้ที่จริงยังไม่ดึก เพียงแต่เขาดื่มเหล้ามา จึงอยากนอน
ตอนนี้มันเป็นเวลาสำหรับอาหารค่ำ
เขาแค่ออกไปดื่มกับผู้บัญชาการซ่ง ไม่ได้ทานอะไร
หลับเสียก็ไม่รู้สึกหิว
จงจิ่งห้าวและหลินซินเหยียนกลับมาจากสถานีตำรวจ เมื่อเข้าประตูไปก็เห็นซ่าวหยุนกับคนในครอบครัวกลายเป็นเข้ากันได้ไปแล้ว ไม่ต้องให้หลินซินเหยียนแนะนำ ก็แนะนำตัวเองกันไปก่อนแล้ว
นอกจากนี้เด็กทั้งสองยังคุ้นเคยกับเขาอยู่แล้วดังนั้นพวกเขาจึงเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว
“อารอง ทำไมคุณมาเร็วจังคะ” หลินซินเหยียนเปลี่ยนรองเท้าแล้วเดินเข้ามาพูด
ซ่าวหยุนยิ้ม “เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าจะเลี้ยงรับรองให้ฉัน ถ้ามาช้า ฉันกลัวว่าจะไม่ทันกินน่ะสิ”
เขาก็แบบนี้ ชอบล้อเล่น นิสัยร่าเริง
หลินซินเหยียนยิ้มและพูดว่า “ฉันจะตั้งโต๊ะโดยไม่รอให้พระเอกมาได้ยังไงคะ”
เธอมองจงฉีฟิงกับเฉิงยู่เวิน แล้วแนะนำว่า “คุณพ่อ คุณลุงคะ ท่านนี้คืออารองของฉันค่ะ…”
“เอาล่ะๆ ฉันแนะนำตัวเสร็จแล้ว ผมเป็นอารองของเธอ เธอคือหลานสาวของผม พ่อของเธอเป็นพี่ชายของผม” ซ่าวหยุนขัดจังหวะเธอ และแนะนำตัวกับพวกเขาอีกรอบ
หลินซินเหยียนยิ้ม เขาถนัดด้านนี้ อยู่ที่ไหนก็สามารถปรับตัวคุ้นเคยได้อย่างรวดเร็ว หลินซินเหยียนจึงไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไม่ชินกับการมาที่นี่
“พวกเรานั่งกันเถอะค่ะ ฉันจะไปดูอาหารเย็นว่าพร้อมแล้วหรือยัง”
พูดจบเธอก็เดินไปในครัว ดูว่าอาหารเตรียมไว้พร้อมแล้วหรือไม่
จงจิ่งห้าวก็ไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน นั่งลงบนโซฟาตรงที่ว่าง เจ้าขาวที่ไม่มีใครเล่นด้วยมาคลอเคลียแทบเท้าของเขา
ซ่าวหยุนกับเด็กทั้งสองเล่นเกมปริศนากัน เฉิงยู่เวินก็ ‘ไม่ทนเหงาคนเดียว’ เข้ามาร่วมเล่นด้วย
แต่จงฉีเฟิงกลับไม่มีกะจิตกะใจ หลังจากที่เขารู้ตัวตนของซ่าวหยุน แล้วคิดถึงเรื่องราวและคนในอดีต เหวินเสียนก็ดี เฉิงยู่ซิ่วก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของเขา แต่ตอนนี้ข้างเขากลับไม่เหลือใครสักคน
อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจ
เมื่อเทียบกับความเงียบของจงฉีเฟิงแล้ว ทางฝั่งเล่นเกมนั้นร้อนระอุมาก
ระดับการศึกษาของซ่าวหยุนนั้นแตกต่างจากเฉิงยู่เวิน เขาไม่ได้มีการศึกษาสูง ดังนั้นการทายปริศนากับเขาจึงมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
โจทย์ที่เฉิงยู่เวินตั้งส่วนใหญ่เป็นอักษรไขว้
ส่วนโจทย์ของซ่าวหยุนล้วนแล้วแต่แปลกประหลาด บางส่วนเป็นปริศนาในเชิงเรื่องเล่าสืบต่อกันมา
เกมสุดท้ายเฉิงยู่เวินเป็นคนตั้งโจทย์ (กินหางวัวในคำเดียว)
“เป็นคำศัพท์”
ที่จงเหยียนเฉินเดาคือ คำว่าคำสารภาพ
เมื่อถึงตาซ่าวหยุน เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “ไท่ซ่างเหล่าจวินยื่นพระหัตถ์”