กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 645 ทั้งครอบครัวคุณเป็นหมู
จากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นอีกว่า “เป็นพืช”
จงเหยียนซีงุนงง รู้สึกว่ามันยากมาก “คุณปู่ซ่าวคะ คุณตั้งโจทย์ง่ายๆ หน่อยสิคะ หนูที่เดาเก่งยังเดาไม่เคยถูกเลยค่ะ” เธอมุ่ยปากเล็ก
“โจทย์นี้ง่ายแล้ว” ซ่าวหยุนลูบศีรษะของเธอ “เธอต้องใช้สมองคิดดู”
“เธอเป็นสมองหมู คิดไม่ได้หรอกครับ คิดได้แต่เรื่องกิน” จงเหยียนเฉินที่อยู่ข้างๆ พูดปลุกปั่น
จงเหยียนซีที่ถูกปั่นโมโหทันที “คุณสิเป็นหมู ทั้งครอบครัวคุณเป็นหมู!”
“………..”
ห้องนั่งเล่นเงียบไปครู่หนึ่งทันที แล้วทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ระเบิดขึ้นมา ซ่าวหยุนกับเฉิงยู่เวินหัวเราะชอบใจเป็นที่สุด
เพราะทั้งห้องนั่งเล่นพวกเขาเป็นสองคนที่ไม่ใช่ครอบครัวจง
จงเหยียนเฉินส่ายหน้าถอนหายใจ น้องสาวโง่เกินจะเยียวยาแล้ว
จงเหยียนซีถูกจงเหยียนเฉินทำให้โมโหจึงโพล่งออกมา เมื่อพูดจบตัวเธอพลันเสียใจภายหลัง เห็นสีหน้าของทุกคนในบ้านแล้วเธอก็รู้สึกอับอายมาก มุดศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของจงจิ่งห้าวแอบซ่อนทันที
จงจิ่งห้าวตบๆ หลังลูกสาวพลางปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะ”
สาวน้อยยังคงมุดศีรษะเงียบเชียบ
จงจิ่งห้าวเกลี้ยกล่อมเธอ “พ่อช่วยลูกทายปริศนาเอาไหม”
จงเหยียนซีเงยหน้าขึ้นมาถามทันที “จริงเหรอคะ”
ลักษณะท่าทีของเด็กคนนี้เปลี่ยนปุบปับรวดเร็วไม่มีพักเลย
เขายิ้มอย่างอ่อนใจและพูดว่า “ใช่”
“งั้นคุณพ่อบอกหนูหน่อย ไท่ซ่างเหล่าจวินยื่นพระหัตถ์คืออะไรคะ” จงเหยียนซีมีกำลังใจขึ้นมาเล็กน้อย อยากเดาถูกสักครั้ง
จงจิ่งห้าวให้เธอวิเคราะห์ สอนให้เธอคิด “ไท่ซ่างเหล่าจวินเป็นเซียนถูกไหม”
“ผมรู้แล้วว่าคืออะไรครับ” ทันทีที่จงจิ่งห้าวเพิ่งใบ้ จงเหยียนเฉินก็คิดออก “กระบองเพชรครับ”
เขายิ้มกริ่มพลางอธิบาย “ไท่ซ่างเหล่าจวินเป็นเซียน มือของเซียน ก็คือกระบองเพชรใช่ไหมครับ”
จงเหยียนซีถลึงตาเบิกกว้างใส่พี่ชาย “น่าเกลียดจริงๆ!”
ปล้นเธอตลอดเลย
“คุณปู่ซ่าวออกอีกข้อค่ะ” พูดจบเธอก็ซบลงบนไหล่ของจงจิ่งห้าว และกระซิบข้างหูเขาว่า “คุณพ่อต้องช่วยหนูนะคะ หนูต้องชนะพี่ชายสักครั้ง”
จงจิ่งห้าวยิ้มอย่างทั้งตามใจและอ่อนใจ ลูกสาวขอร้องแล้วจะทำอะไรได้
ทำได้แค่ตอบตกลง
ซ่าวหยุนเข้าใจความคิดของจงเหยียนซี เพื่อปลอบใจสาวน้อยดื้อรั้นเอาแต่ใจคนนี้ เขาจึงคิดอีกหนึ่งโจทย์ (ลิงน้อยปิดประตูโผล่หัว)
“เป็นสิ่งของ”
จงเหยียนซีกะพริบตาปริบๆ ในใจคิดว่าประตูปิดอยู่ แล้วยังโผล่หัวออกมาได้ยังไง อย่างนั้นไม่ใช่ว่าหัวโดนตัดเหรอ
คิดได้อย่างนั้นแล้วเธอก็ขนลุกตัวสั่น คำตอบของปริศนานี้คืออะไรกัน
เดาไม่ง่ายสักนิด
“อ๊ะ กระดุมเสื้อแด๊ดดี้เบียดหนูค่ะ”
จงจิ่งห้าวกอดลูกสาวแน่น จงใจให้กระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเองเบียดเธอ แต่ปรากฏว่าสาวน้อยคนนี้ซื่อบื้อมาก
จงเหยียนเฉินกะพริบตาปริบๆ มองสีหน้าของจงจิ่งห้าว แล้วลองพูดออกมาว่า “กระดุมเหรอครับ”
ไม่ช้าในสมองก็เกิดคำตอบที่แน่ชัด “มันคือกระดุม ฮ่าฮ่า ผมเดาถูกอีกแล้ว”
จงเหยียนซีถลึงตาดุใส่เขา “จะเป็นกระดุมได้ยังไง”
ซ่าวหยุนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “มันคือกระดุม เมื่อเธอติดกระดุมเสื้อผ้า ตัวกระดุมก็ต้องโผล่ออกมาข้างนอกใช่ไหมล่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบที่แท้จริง จงเหยียนซีก็พูดทันที “หนูพูดคำว่ากระดุมก่อนนะ หนูต่างหากที่เดาถูก”
“เธอไม่ได้พูดว่าเป็นคำตอบนี่” จงเหยียนเฉินพูด
“หนูเดาถูก หนูพูดก่อน” จงเหยียนซีพูดเสียงดัง ทำเหมือนกับว่าถ้าใครเสียงดัง คนนั้นเท่ากับสมเหตุสมผล
เฉิงยู่เวินที่นั่งอยู่ข้างๆ ซ่าวหยุนพูดว่า “เสี่ยวลุ่ยเป็นคนเจ้าอารมณ์นะ”
ซ่าวหยุนเองก็ยิ้มด้วย
หลินซินเหยียนออกมาเรียกพวกเขาไปทานอาหาร
จงเหยียนซีลงมาจากอ้อมแขนของจงจิ่งห้าว วิ่งไปหาหลินซินเหยียน แล้วฟ้องอย่างคับข้องใจว่า “หม่ามี๊ พี่ชายชอบแกล้งหนูตลอดเลยค่ะ”
หลินซินเหยียนลูบศีรษะของเธอ “พี่ชายแกล้งอะไรหนูอีก”
“ก็ได้ เธอเป็นคนเดาถูก เธอเก่งมากโอเคไหม อย่าเอะอะอะไรก็ฟ้อง จะขึ้นเป็นเด็กประถมอยู่แล้ว ยังไม่รู้จักโตอีก” พูดจบจงเหยียนเฉินก็เดินไปห้องอาหารแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ท้ายโต๊ะ
“เราก็เด็กเหมือนกัน อย่าว่าแต่น้องสาว” หลินซินเหยียนเหลือบมองลูกชาย อายุยังน้อยมาก วันๆ เอาแต่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่
“ฮิฮิ” จงเหยียนซีได้ยินหลินซินเหยียนพูดกับพี่ชายแล้วก็ชอบใจ ความทุกข์ที่เพิ่งเกิดเมื่อครู่ก็พลันลืมไปจนสิ้น เวลานี้ไม่โกรธอีกต่อไปแล้ว ก้าวเท้าเดินเข้ามานั่งลงข้างพี่ชาย
“พี่ชายก็โตกว่าหนูไม่เท่าไร แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง”
จงเหยียนเฉินเหลือบมองน้องสาว “ไม่กี่นาทีก็นับว่าโตกว่าเธอ เธอต้องเรียกฉันว่าพี่ชายไปตลอดชีวิต”
“หนูยอมเป็นน้องสาวก็ได้ งั้นพี่ชายก็ต้องยอมให้น้องสาวได้เข้าใจใช่ไหม ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเป็นคนไม่รู้เรื่องรู้ราว เป็นพี่ต้องเสียสละรู้ไหมล่ะ” เรียนเรื่องนี้มาจากโรงเรียนอนุบาลในเมืองC
หยิบยกเรื่องนี้มาเพื่อปิดปากจงเหยียนเฉิน เด็กน้อยยังคงฉลาดเฉลียวอยู่
มื้อค่ำวันนี้พรั่งพร้อมมาก ฉินยาก็ช่วยในครัวด้วย หลินซินเหยียนเข้าไปในครัวเห็นเธอช่วยล้างจานอยู่
หลินซินเหยียนรู้อารมณ์ในวันนี้ของเธอ ที่กำลังไม่ปกติ แม้จะพูดให้ปรับดีแล้ว แต่การจะให้กลับไปเป็นปกติโดยทันทีคงเป็นไปไม่ได้
และเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
สิ่งของที่แตกหักไปแล้ว ซ่อมแซมอย่างไรก็ยังหลงเหลือรอยร้าว
หลินซินเหยียนให้เธอไปพักในห้อง เธอบอกว่าถ้าอยู่คนเดียว ก็จะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลย และการอยู่คนเดียวมันง่ายที่จะฟุ้งซ่าน
ที่เธอพูดก็ถูก หลินซินเหยียนจึงไม่ตื๊อเธอ ให้เธอช่วยในครัว ทุกคนพูดคุยกันก็สามารถลืมสิ่งที่ไม่รื่นรมย์ได้
อาหารเสิร์ฟบนโต๊ะแล้วหลินซินเหยียนจึงไปเอาไวน์
โอกาสดีๆ เช่นวันนี้แน่นอนว่าขาดไวน์ไม่ได้
หลินซินเหยียนหยิบไวน์แดงมา แม้จะขาดไวน์ไม่ได้ แต่การดื่มไวน์ขาวนั้นง่ายที่จะเมา ไวน์แดงจึงดีกว่า
ที่สำคัญคือบรรยากาศ
แก้วทรงสูงถูกล้างจนสะอาดแล้ว เธอเปิดไวน์วางลงบนโต๊ะ
จู่ๆ จงฉีเฟิงก็พูดขึ้นว่า “จัดงานแต่งที่ตึกซื่อจี้เถอะ”
ตึกซื่อจี้เป็นแลนด์มาร์คของเมืองB มีทั้งหมด108ชั้น มากกว่า500เมตร เมื่อยืนบนชั้น108จะสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งเมืองB
เป็นโรงแรมเจ็ดดาว
ในประเทศจีนมีโรงแรมเจ็ดดาวเจ็ดแห่ง ตั้งอยู่ในสี่เมืองที่เจริญรุ่งเรือง เมืองBเป็นหนึ่งในสี่เมืองที่เจริญรุ่งเรือง ทั้งยังโดดเด่นที่สุด
“แบบนั้นจะเป็นการโอ้อวดกินไปหรือเปล่าคะ” หลินซินเหยียนรู้สึกว่าการจัดแบบนี้มันสิ้นเปลืองเกินไป มันต้องใช้เงินเท่าไร
สิ่งเชิดหน้าชูตาเหล่านี้ต้องเป็นเงินจำนวนมาก
“เธอวางแผนจะแต่งงานกี่ครั้ง” ซ่าวหยุนถาม
หลินซินเหยียนตอบโดยไม่ลังเล “ก็ต้องครั้งเดียวสิคะ”
เธอไม่เคยคิดจะแต่งงานครั้งที่สอง
จงจิ่งห้าวมองเธอ มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย
เหมือนจะชอบคำพูดของเธอมาก
เป็นคนของเขาตลอดชีวิต
“ในชีวิตคน เรื่องที่มีเพียงครั้งเดียวทำไมไม่ทำให้ยิ่งใหญ่หน่อยล่ะ” ซ่าวหยุนรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง และไม่ใช่ว่าไม่มีเงิน หากไม่ไหวเขาก็สามารถจ่ายได้ อย่างไรเสียเงินทั้งหมดพ่อของเธอก็ทิ้งไว้ให้เธอ
เขาคิดว่าหลินซินเหยียนเป็นลูกเพียงคนเดียวของพี่ใหญ่ เมื่อแต่งงานแล้วจัดงานแต่ง ก็สมควรยิ่งใหญ่
ไม่ต้องมีเหตุผลใด
จงฉีเฟิงรู้สึกเสียใจแทนเฉิงยู่ซิ่ว ตอนนี้ลูกชายกำลังจะแต่งงาน เขาไม่อยากให้ลูกชายต้องเสียใจภายหลัง ดังนั้นจึงอยากจัดให้ยิ่งใหญ่ เหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว เอาความเสียใจของตัวเองไปทุ่มให้ลูกชายได้บรรลุเป้าหมาย
“เธอบำรุงลูกในท้องอย่างสบายใจไปเถอะ เรื่องนี้ให้พวกผู้ใหญ่อย่างเราจัดการเอง” เฉิงยู่เวินก็พูดด้วย
สถานที่จัดงานแต่งเขากับจงฉีเฟิงไปดูด้วยกัน เขารู้ความตั้งใจของจงฉีเฟิงดี จงจิ่งห้าวก็เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของเขาเหมือนกัน
แน่นอนว่าเขาก็อยากให้เอิกเกริก อีกอย่างจงจิ่งห้าวก็บอกเองว่าต้องการให้ยิ่งใหญ่
“คุณไม่ต้องกังวล พวกผู้ใหญ่จะจัดการให้เราเอง คุณควรทำใจให้สบายนะ” จงจิ่งห้าวจับมือเธอให้เธอนั่งลงข้างตัวเอง
แม้จะขาดคนไปมากมาย แต่การมีผู้ใหญ่เหล่านี้อยู่ด้วย ก็เป็นพรเช่นกัน
หลินซินเหยียนมองเขาแล้วพยักหน้า เข้าใจความหมายของเขา
ยิ่งใกล้วันเข้ามาทุกที การจัดเตรียมไม่มีหยุดพัก เดิมทีซ่าวหยุนเป็นคนมาร่วมงานแต่ง ปรากฏว่ากลับวิ่งเข้ามาเป็นทีมเตรียมงานไปเสียแล้ว
จงจิ่งห้าวกับหลินซินเหยียนไม่มีอะไรให้จัดการเลย ทุกอย่างล้วนพึ่งผู้ใหญ่ทั้งสามจัดเตรียมงาน
วันเวลาจะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว
อีกไม่นานก็จะถึงวันแต่งงานแล้ว