กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 731 ดีใจเกินคาด
“เรื่องมีลูกมันเป็นเรื่องของผม คุณย่าไม่เห็นด้วยแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?” ซูจ้านเดินตรงปรี่เข้ามาทันที
ลักษณะท่าทางช่างเหมือนกับตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลเลยท่านย่าถึงกลับตกใจกับความหนักแน่นของเขาจนแทบไม่คิดถึงสภาพร่างกายของตนเองที่เดินเหินไม่สะดวก และให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลไปหารถเข็นมา แล้วมาที่วิลล่าในตอนดึก เพื่อต้องการให้จงจิ่งห้าวกับเสิ่นเผยซวนพูดเกลี้ยกล่อมเขา
เมื่อเห็นหลานชาย นัยน์ตาของท่านย่าถึงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา “ตกลงว่าแกเป็นอะไรไป?”
ไปหลงเสน่ห์นางจิ้งจอกตัวนั้นแล้วหรือยังไง?
ฉินยาประสานมือเอาไว้ด้วยกัน พลันจ้องมองซูจ้านที่เดินก้าวเข้ามาหาจากจุดไม่ไกลนัก
เธอไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก เพราะว่ารู้ว่าเสิ่นเผยซวนต้องบอกกับเขาอย่างแน่นอน
ความจริงแล้วแบบนี้ก็ดีมาก ฉวยโอกาสในครั้งนี้ เพื่อเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด
ถ้าท่านย่าไม่สามารถรับกับเรื่องนี้ได้จริงๆ เธอก็จะยอมถอยออกไป และไม่จำเป็นต้องให้ซูจ้านเป็นตัวเชื่อมระหว่างกลาง จนลำบากใจทั้งสองฝ่าย
“ซูจ้าน แกลืมฉินยาไปแล้วหรือยังไง?” ท่านย่าลองพูดเกลี้ยกล่อมซูจ้าน เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็ชอบฉินยา
“ฉันคือฉินยาค่ะ”
ซูจ้านเพิ่งเดินมาถึงด้านหน้าของพวกเธอ ก็ได้ยินฉินยาพูดอย่างตรงไปตรงมากับท่านย่าทันที
สายตาของเขามองมาทางเธอ เป็นแววตาที่ทอประกายอย่างยินดี และมองเห็นความนิ่งสงบของใบหน้าของเธอ
เขารู้ว่า ในเวลานี้เธอนิ่งสงบมาก และไม่ใช่แค่เพียงสีหน้าที่แสดงออกมาตามปกติ
ซูจ้านยื่นมือออกไปคว้ามือของเธอเอาไว้ และหันมาทางท่านย่า
ท่านย่าถึงกลับตะลึงอยู่บ้าง รู้สึกว่าตนเองน่าจะหูฝาดไปแล้ว
“หล่อน หล่อนพูดอะไรเนี่ย?” ปฏิกิริยาของท่านย่าในเวลานี้ ก็เหมือนว่าเธอกำลังหลอกตัวเองอยู่
ฉินยา ใช่ว่าตัวเธอจะไม่รู้จักที่ไหนกัน
“สิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ที่เธอต้องหน้าตาเปลี่ยนไปก็เป็นเพราะว่าการถูกลักพาตัวไปในครั้งนั้น จนทำให้ได้รับบาดเจ็บหนัก และในการระเบิดในครั้งนั้นด้วย จึงส่งผลให้เธอไม่สามารถมีลูกได้”
ตอนแรกซูจ้านก็คิดจะเกลี้ยกล่อมคุณย่า จึงได้ให้ฉินยายืนอยู่ตรงด้านหน้าของท่านย่า เพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดออกมา
การทำเช่นนี้ก็จะไม่สามารถสร้างความกดดันในการที่ฉินยาไม่สามารถมีลูกได้ ถึงอย่างไรท่านย่าก็ต้องคิดได้แล้ว
ทว่าเรื่องมันพัฒนามาจนเลยเถิดเกินกว่านอกเหนือแผนการของเขา ตอนนี้ทำได้แค่พูดความจริงกับท่านย่าไปตามตรง หวังว่าเธอสามารถมองเห็นความลำบากมากมายที่ฉินยาประสบเคราะห์กรรมมาจนไม่เอ่ยเรื่องลูกขึ้นมา
ท่านย่าไม่ยอมพูดจาอยู่นาน เอาแต่จ้องมองฉินยาอยู่อย่างนั้น เพื่อต้องการหาเค้าหน้าเดิมของเธอ
ทว่า ช่างยากเหลือเกิน ไม่มีเบ้าหน้าก่อนหน้านี้สักนิด
“หล่อน หล่อน หล่อนคือเสี่ยวยาเหรอ?” น้ำเสียงท่านย่าสั่นเครือเล็กน้อย เหมือนมีอาการไม่อยากจะเชื่อ และหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย
ฉินยาอยากจะอ้าปากพูด ทว่าซูจ้านกลับจับมือเธอไว้แน่นทันที พลางพูดกับท่านย่า “ใช่ครับ เธอคือฉินยา”
ท่านย่าโบกมือไล่ “แกหยุดเลย ฉันจะฟังเธอพูด”
แววตาของท่านย่าเอาแต่จ้องตามองฉินยา
ฉินยาไม่ได้ถอยหนี แถมพูดว่า “ฉันคือฉินยา”
ท่านย่าอ้าปากค้าง และไม่ได้พูดจาอยู่นาน
เอ่อ ไม่อยากจะเชื่อเลย
ผ่านไปนาน เธอถึงได้กวักมือมาทางฉินยา “หนูมานี่ ฉันขอดูหน่อย…”
ฉินยาปล่อยมือของซูจ้านออก พลันเดินมายืนตรงด้านหน้าของท่านย่า พลางคุกเข่าลง ท่านย่ายื่นมือออกมาอย่างสั่นเทา พลางลูบคลำใบหน้าของเธอ นี่เป็นใบหน้าอันไม่คุ้นตาเลย
ถ้าไม่รู้จักมักจี่เธอก็ไม่กล้าจะเชื่อ ว่านี่คือฉินยา
บาดเจ็บถึงขนาดไหนกันเชียว ถึงได้หน้าตาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
ขนาดน้ำเสียงก็ไม่เหมือนเดิมสักนิด เป็นคนละคนไปเลย
“พวกเราขอโทษ…”
ท่านย่าปาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาตรงบริเวณหางตา ความเจ็บปวดที่อยู่ในใจ ความหวาดหวั่น มันคือ–มันยากที่จะรับไหว
ตอนที่กำลังหวาดหวั่นอยู่นั้น ในใจของเธอรู้แจ้งดีแล้วว่า เธอคือฉินยา เธอกลับมาอยู่กับซูจ้าน แม้ว่าเธอตายไปก็อย่าได้คิดว่าจะมีเหลน
ทว่า ถ้าการต่อต้านขึ้นมา จิตใต้สำนึกของเธอก็จะได้รับประณามอย่างหนัก
เธอรู้สึกตื่นตระหนกมาก และก็ขัดแย้งกันอยู่มาก
“หนูกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วทำไมไม่กลับมาเยี่ยมฉันเลย?” ท่านย่าเก็บอาการเอาไว้ก่อน
ฉินยาเองก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดจา
เธอไม่พูด ท่านย่าเองก็คงรู้ “คงเป็นเพราะว่าไอ้เด็กไม่ได้เรื่องอย่างซูจ้าน ทำให้หนูต้องพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย ถึงขั้นไม่ไปเยี่ยมฉันเลยใช่ไหม?”
“ฉันเข้าใจเรื่องทั้งหมด” ท่านยาจับมือของฉินยา “หนูยังสบายดีก็ดีแล้ว สบายดีก็ดีแล้วนะ”
ท่านย่าหวังอยู่ในใจให้ฉินยาสุขสบายไม่เจ็บปวดอะไรจากหัวใจจริงๆ
ฉินยาเม้มริมฝีปาก “ขอโทษค่ะ”
“มีอะไรที่ต้องเข้ามาขอโทษกัน พวกเราต้องเป็นฝ่ายขอโทษหนูต่างหาก” ท่านย่ายังคงพูดตามเนื้อผ้าหลักของความเป็นจริง รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ใครเป็นฝ่ายผิด
ซูจ้านนั่งคุกเข่าลงด้านข้างฉินยา พลางยื่นมือออกมาโอวไหล่ของเธอ “คุณย่าครับ ผมต้องการจะอยู่กับฉินยา คุณย่าเห็นด้วยไหม?”
ท่านย่าจ้องมองหลานชาย นี่ถือว่าเป็นอนาคตหัวเลี้ยวหัวต่อของเธอเลยนะ
ถ้าเธอไม่เห็นด้วย งั้นก็จะไม่มีมโนธรรม ที่ฉินยาเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าพวกเขา
“ก็ต้องได้สิ” แม้ว่าท่านย่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม กับเรื่องที่ฉินยาไม่สามารถมีลูกได้ แต่ว่าก็รู้สึกว่าการแพทย์ในสมัยใหม่นี้มันดีมาก สามารถรักษาได้
ซูจ้านไม่คิดเลยว่าท่านย่าจะยอมรับที่ฉินยาไม่สามารถมีลูกได้ จนถึงกลับดีใจจนเกินกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ “คุณย่าครับ คุณย่าช่างดีจริงๆเลย”
ซูจ้านกอดท่านย่าด้วยอาการตื่นเต้นทันที
ส่วนท่านย่านั้นไม่ได้สุขใจเลย เธอผลักหลานชายออก จากนั้นก็พูดกับฉินยา “พรุ่งนี้มาเยี่ยมย่าที่โรงพยาบาลไหม?”
ฉินย่าลังเลอยู่สักพักแล้วค่อยตอบตกลง “ได้ค่ะ”
ท่านย่าลูบมือของเธอ “นี่ก็ดึกแล้ว รีบนอนเถอะ”
ซูจ้านประคองฉินยาขึ้นมา ในใจนั้นยังไม่หยุดกับอาการตื่นเต้น พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณครับ คุณย่า”
ท่านย่าไม่ได้มองมาที่ซูจ้าน และก็ไม่ได้ตอบกลับ แต่หันไปหาและเรียกพยาบาลคอยยืนเฝ้าอยู่ไม่ไกล “เข็นฉันกลับไป”
ซูจ้านรีบพูดทันควัน “ผมขอส่งฉินยาเข้าไปก่อน อีกเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณย่าที่โรงพยาบาลเอง”
ฉินยารีบพูดทันที “ไม่ต้องหรอก คุณไปส่งคุณย่ากลับไปเถอะ”
ด้วยเหตุเพราะว่าท่านย่าขาไม่ค่อยดี การนั่งรถไปก็จำเป็นต้องใช้คนที่มีเรี่ยวแรงในการช่วยส่งขึ้นรถ การที่ซูจ้านเป็นคนส่งเธอกลับก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว
ซูจ้านยังอยากพูดว่าอะไรสักอย่าง ฉินยายิ้มให้เขา “พรุ่งนี้เราไปเจอกันที่โรงพยาบาลนะ”
พูดจบก็หันหลังกลับและเดินเข้าบ้านไป
ซูจ้านไม่ได้เดินตามเพราะรู้สึกว่า ท่านย่าตอบตกลงแล้ว พวกเรามีโอกาสอยู่ด้วยกันแล้ว
เขาเข็นคุณย่า เพื่อกลับไป
ทว่าในใจของท่านย่านั้นกำลังครุ่นคิดวางแผนอยู่ โดยการหาหมอดีๆกคนมาช่วยตรวจร่างกายให้กับฉินยา
ซูจ้านที่ยังคงดำดิ่งกับความสุขที่ท่านย่ายอมรับฉินยาแล้ว จึงไม่ได้สังเกตว่า ท่านย่าให้ฉินยาไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมตนเองนั้น คือมีจุดประสงค์อื่นอยู่ด้วย