กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 863 งานศพจัดขึ้นที่สมาคมฌาปนกิจ
หญิงสาวเลิกคิ้ว คล้ายกับว่าไม่พอใจในท่าทีที่หลินซินเหยียนมีต่อตัวเอง
“ว่ากันตามความอาวุโส เธอควรจะเรียกฉันว่าอาสะใภ้สักคำนะ”
หลินซินเหยียนนึกไม่ออกจริงๆว่าตัวเองเคยพบเธอ อีกทั้งจากที่เธอรู้มา ญาติตระกูลจงนั้นมีไม่เยอะ คนที่ต้องให้เธอเรียกว่าอาสะใภ้ยิ่งไม่มี?
หญิงสาวเดินเข้ามาเอง พลางเอ่ยว่า “รินน้ำให้ฉันแก้วหนึ่ง”
“คุณนายคะ” ป้าหยูดึงหลินซินเหยียนไปทางด้านหนึ่ง กระซิบเสียงเบาข้างหูหลินซินเหยียนว่า “นี่อาจจะเป็นผู้หญิงของคนที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรของลูกพี่ลูกน้องที่มีนิสัยเก็บตัว ไม่ชื่นชอบการไปมาหาสู่กับผู้อื่นของท่านปู่คนนั้นนะคะ”
หลินซินเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำไมเธอถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนกัน?
ป้าหยูก็ไม่ได้รู้มากเท่าไรนัก ทว่าก็เคยได้ยินมาว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะมูลเหตุจากร่างกาย จึงไม่ค่อยไปมาหาสู่กับทางนี้เท่าไรค่ะ ตอนที่พวกคุณแต่งงานกัน เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นในครอบครัวครั้งนี้ กลับมาปรากฏตัวรวดเร็วเสียจริง”
ความเร็วระดับนี้ กระทั่งป้าหยูก็ยังรู้สึกแปลก ชั่วชีวิตของจงฉีเฟิงก็มีลูกพี่ลูกน้องคนเดียว และเป็นเพียงคนเดียวที่มีหุ้นในว่านเยว่กรุ๊ป
หลินซินเหยียนแสดงท่าทางว่าเข้าใจแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญก็ไม่เหมาะสมที่จะเกิดเรื่องยุ่งยาก ในเมื่อเป็นญาติของตระกูลจง เช่นนั้นเธอก็จะปฏิบัติต่อเธออย่างมีมารยาท
เธอไปรินน้ำแก้วหนึ่งแล้วยกมาวางไว้บนโต๊ะ
แม้ว่าหญิงสาวจะแสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติด้วยการสวมเดรสสีดำ แต่บนคอ ใบหู ล้วนประดับด้วยอัญมณีราคาแพง สีดำล้วนของชุดเดรสทำให้เพชรเป็นประกายมากกว่าเดิม แต่งหน้าค่อนข้างเข้ม มองดูแล้วคล้ายกับว่าแต่งตัวอย่างประณีต ตอนนี้นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีที่สง่างามเลยแม้แต่น้อย จึงยิ่งแสดงถึงความไม่ให้เกียรติมากขึ้นอย่างชัดเจน
อีกทั้งเธอดูแล้วอายุก็ไม่ถือว่ามาก คาดว่าน่าจะไม่ถึงสามสิบ
“คุณพูดว่าอ้างอิงกันตามความอาวุโสแล้วควรจะเรียกคุณว่าอาสะใภ้ เช่นนั้นฉันจะเรียกคุณตามนั้น…”
“อย่างนั้นก็เรียกเถอะ”
หลินซินเหยียนยังไม่ทันจะเอ่ยจบก็ถูกหญิงสาวตัดบทด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอยู่ตรงนั้น
“อาสะใภ้ไม่รู้มารยาทขนาดนี้เลยหรือคะ ไม่รู้หรือคะว่าตอนที่ผู้อื่นพูดอยู่ การตัดบทเป็นการกระทำที่ไม่มีมารยาท?” หลินซินเหยียนโต้กลับอย่างตรงไปตรงมาด้วยความที่ทนมองท่าทางโอหังอวดดีที่เธอแสดงออกมาที่นี่ไม่ไหว วันนี้เป็นวันที่จงฉีเฟิงเสียชีวิต อารมณ์เธอจึงไม่ค่อยดี ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคารพแบบนี้อีก
“คุณพูดว่าคุณคืออาสะใภ้ของฉัน อย่างนั้นก็คือญาติสนิทของฉัน วันนี้คุณพ่อฉันเพิ่งจะเสียชีวิต พวกเราทั้งครอบครัวล้วนจมอยู่ในความโศกเศร้า คุณทาลิปสติกสีแดง แต่งหน้าเข้มหนา ไม่ทราบหรือว่านี่เป็นการไม่เคารพต่อผู้ที่เสียชีวิตไป” หลินซินเหยียนกดเสียงให้เบาลง เธอไม่อยากมีความขัดแย้งในเรื่องใดๆกับใครก็ตามในเวลานี้
แต่ว่าพฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้ทำให้เธออดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ถ้าหากว่าคุณไม่มีความจริงใจ เช่นนั้นก็เชิญคุณจากไป ไม่อย่างนั้นก็ไปร่ำเรียนมาว่าการเข้าร่วมพิธีศพจำเป็นต้องรู้อะไรบ้าง”
“เธอ…” หญิงสาวมีโทสะในทันที แต่ว่าหาคำพูดในการโต้ตอบหลินซินเหยียนไม่ได้ไปชั่วขณะ อดกลั้นอยู่นานถึงได้เอ่ยว่า “เธอพูดจากับผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ”
“แน่นอนว่าต้องให้ความเคารพต่อผู้อาวุโส ถ้าหากว่าตัวคุณเองยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือความเคารพ แล้วจะมีสิทธิ์อะไรมาเรียกร้องให้ผู้อื่นเคารพคุณกัน?”
หญิงสาวโกรธจนสีหน้าแดงก่ำ ท่าทางไม่น่ามองเป็นอย่างมาก “เธอคอยดูเถอะ”
เอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืนเดินออกไปด้วยความโมโห
“คุณนาย…” ป้าหยูก้าวเข้าไปประคองหลินซินเหยียนเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงเธอ เธอส่ายหน้าพูดว่าไม่เป็นอะไร
หญิงสาวเดินเร็วจึงชนเข้ากับคนที่เดินเข้ามาตรงประตู เธออ้าปากเอ่ยว่า “เดินไม่มองทางหรือ”
ฉินยาเร่งรีบ เมื่อคืนวานเธอได้รับโทรศัพท์จากเสิ่นเผยซวน เธอกับซูจ้านจึงรีบกลับมา
เธอเดินเร็วและไม่คิดว่าจู่ๆจะมีคนเดินออกมาจากด้านในถึงได้ชนเข้า
“ขอโทษค่ะ” ฉินยาขอโทษ
“ไร้อารยะ” หญิงสาวแค่นเสียงแล้วเดินออกไป
ฉินยาตะลึงค้างไปเล็กน้อย คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่ไม่มีมารยาทขนาดนี้ด้วย ทั้งยังมาทะเลาะเสียงดังในบ้านที่มีคนเสียชีวิตไปด้วย ใครกันแน่ที่ไร้อารยะ?
“พวกเธอมาแล้วหรือ” เสียงของหลินซินเหยียนแหบเล็กน้อย
ฉินยาก้าวไปกอดเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว “เธอไม่เป็นอะไรนะ? ฉันกับซูจ้านได้รับโทรศัพท์จากพี่เสิ่นแล้วก็รีบกลับมาทันที…”
เอ่ยจนถึงตอนท้ายฉินยาก็สะอื้นออกมา เธอเคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์นี้มาก่อน ได้ทำความรู้จักกับจงฉีเฟิง พูดว่าจากไปก็จากไปแล้ว จึงเกิดความรู้สึกเสียใจที่หลังจากนี้จะไม่ได้พบกันอีกแล้ว
อารมณ์ที่เก็บงำเอาไว้แต่เดิมของหลินซินเหยียนถูกแตะเข้า
หางตาจึงเปียกชื้น เธอให้ฉินยากับซูจ้านนั่งพักก่อน
ซูจ้านไม่ได้นั่ง แต่พูดว่าจะออกไปสักรอบ เมื่อเขากลับมาก็โทรศัพท์หาเสิ่นเผยซวน จึงรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่กับจงจิ่งห้าว เดิมเขาก็บอกว่าจะไป แต่เสิ่นเผยซวนให้เขามาที่บ้านก่อน ในบ้านมีหลินซินเหยียนอยู่คนเดียว กลัวว่าเธอจะรับมือไม่ไหว
ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จึงไม่ได้อยู่ที่บ้านอีก
กลางคืนพวกจงจิ่งห้าวถึงได้กลับมา เด็กๆมีป้าหยูกับจวงจื่อจิ่นคอยดูแล และยังมีอาหารบางส่วนวางอยู่บนโต๊ะ
ไฟให้ห้องหนังสือยังคงสว่างอยู่
พวกเขาหลายคนล้วนอยู่ในนั้น
“ว่ากันว่าวันมะรืนนี้เป็นวันดี เหมาะสมกับการฝังศพ” พวกเขากำลังพิถีพิถันเรื่องการฝังศพลงดิน ดังนั้นจึงไม่ล่าช้ามากนัก
หลินซินเหยียนเอ่ยเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นพิธีศพจัดในวันมะรืน? จะทันหรือคะ?”
เสิ่นเผยซวนเอ่ย “บริษัทประกอบพิธีฌาปนกิจศพจะจัดการให้ พิธีศพจะจัดขึ้นที่สมาคมฌาปนกิจ”
หลินซินเหยียนพยักหน้า คนที่เริ่มพูดมาตลอดคือเสิ่นเผยซวน ส่วนจงจิ่งห้าวนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างบานหน้าต่างโดยไม่ได้เอ่ยพูดอะไรเลยตั้งแต่กลับมา
“ทุกคนวิ่งวุ่นกันมาทั้งวันแล้ว ออกไปกินอะไรสักหน่อยเถอะ” หลินซินเหยียนมองไปทางฉินยากับซางหยู “พวกเธอสองคนก็กินอะไรสักหน่อยเถอะ”
วันนี้ทั้งวันพวกเธอก็ไม่ค่อยได้กินอะไรเช่นกัน นี่มันก็ดึกมากแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ออกไปกันเถอะ” เสิ่นเผยซวนลุกขึ้น
ซูจ้านก็จูงฉินยาเดินออกไป ในไม่ช้าประตูห้องหนังสือก็ปิดลง
หลินซินเหยียนเดินเข้ามา นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายจงจิ่งห้าว