กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 886 ความสุขมันเป็นยังไง
เขาควักแหวนวงนั้นออกมา เพชรยังคงส่องประกายแวววาวอยู่เหมือนเดิม ยังคงมีรูปลักษณ์แบบเดิมอยู่ แต่คนที่เคยครอบครองมันไม่อยู่อีกแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นไปกระดกเหล้าที่อยู่ในแก้วเสร็จ ก็วางแก้วเหล้าลงไปอย่างแรง ก้นแก้ววางลงไปบนเสียงดังปังออกมา
ปีนั้นเพื่อที่จะขอเธอแต่งงาน เขาตั้งใจสั่งทำมาโดยเฉพาะ นี่สำหรับเธอแล้วไม่ได้เป็นแหวนที่ล้ำค่าที่สุด เธอเกิดมาจากตระกูลที่ร่ำรวยมากำเนิดอยู่แล้ว เครื่องประดับล้ำค่ามีไม่น้อยเลย ข้าวของที่มีมูลค่าแพงเองก็ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
แต่หลังจากที่สวมแหวนวงนี้แล้ว เธอก็ไม่เคยถอดอีกเลย
เธอพูดว่า “โม่หาน ฉันชอบมาก”
ตอนนั้นใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความสุข
“ฉันจะสวมมันไปทั้งชีวิตเลย” เธอโอบลำคอของเขา พลางเอ่ยออกมา “โม่หาน ฉันรักคุณ ฉันเชื่อใจคุณ ยอมทุ่มเททั้งหมดเพื่อคุณ”
เจียงโม่หานมองออกไปยังยิ้มที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาแต่ก็งดงามของเธอ พลางเอ่ยถามออกไป “ทำไม?”
จงเหยียนซีแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา “การรักกันก็จะต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน ทุ่มเทออกไปให้กันและกันไม่ใช่เหรอ?”
เพราะว่าพ่อแม่ก็เป็นอย่างนี้
ตอนนั้นเขาดูถูกเธออย่างมาก คิดแค่เพียงว่าเธอเป็นดอกไม้ที่อยู่ในเรือนกระจก ไม่รู้จักความทุกข์ทรมานของมนุษย์ และยิ่งไม่เข้าใจจิตใจคนเลย บนโลกนี้จะไปมีความรักที่มอบให้กับคนอื่นไปหมดโดยไม่เหลือไว้รักตัวเองเลยสักนิดได้ยังไง?
พ่อแม่ของเขาก็เคยรักกัน แต่สุดท้ายก็ได้กลายเป็นยังไงล่ะ?
เปลี่ยนใจ ทอดทิ้ง หย่าร้าง…
เขาไม่อยากเชื่อในความรักของเธอ ไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีความรักแบบที่เธอพูดออกมา
เขาไม่เชื่อ!
“แต่หลังจากที่คุณได้จากไป ทำไมผมถึงได้เสียใจขนาดนี้ เห็นของที่คุณเหลือทิ้งเอาไว้ดูต่างหน้า ผมก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาไม่หยุด?”
เขากำแก้วในมือแน่น แก้วแทบจะถูกบีบจนแตกละเอียด!
หวืดๆ……
โทรศัพท์ในกระเป๋าจู่ๆก็ได้สั่นขึ้นมา เขาไม่ได้ไปดู เพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งเท้าใบหน้าด้านข้างเอาไว้ พอที่จะมองเห็นดวงตาของถูกหมอกเข้าบดบังได้รางๆ
โทรศัพท์ดังแล้วหยุดไปอีกครั้ง หยุดไปแล้วก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง มีท่าทีที่แบบว่าถ้าไม่รับก็จะไม่ยอมรามือ
เขาควักโทรศัพท์ออกมา มองเห็นสายที่โทรเข้ามาปรากฏอยู่ที่หน้าจอ เขาก็ได้กดวางสายไปทันที
เพียงไม่นานมันก็ได้สั่นขึ้นมาอีกครั้ง
เขาเก็บระงับอารมณ์เอาไว้แล้วกดรับ น้ำเสียงฟังดูเย็นชาเป็นอย่างมาก “มีธุระ?”
“พ่อของแกป่วยหนัก กลับมาเยี่ยมเขาสักหน่อยสิ” เสียงของผู้หญิงที่อยู่ทางนั้นได้พูดออกมาอย่างระมัดระวังมาก ถึงขนาดที่ฟังดูเหมือนขอร้องอยู่บ้าง
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแต่สีหน้าที่แสดงออกมาบนใบหน้าได้มืดครึ้มและเยือกเย็นมากขึ้น
“ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็เป็นพ่อของแกนะ กลับมาเยี่ยมสักหน่อยเถอะ ถ้าเกิด…แล้วนายจะเสียใจภายหลัง”
เสียใจภายหลัง?
มุมปากของเขาแสยะยิ้มเยาะหยันออกมา แล้ววางสายไป พูดถึงเรื่องเสียใจภายหลังขึ้นมาแล้ว เขาเองก็มีเรื่องที่จะพูดกับพ่อของเขาอยู่เหมือนกัน
เขาต่อสายไปหาคนขับรถ ให้เขาเตรียมรถ เขาต้องการจะออกไปข้างนอก
ทางฝั่งคนขับรถก็ได้ตอบรับมา
เขาวางสายไป ลุกยืนขึ้นเดินไปที่หน้าโซฟาแล้วหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ข้างบนขึ้นมาสวมไว้บนร่าง แล้วก้าวเดินออกจากบ้านไป
คนขับรถได้รออยู่ที่หน้าประตูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาเดินเข้ามา คนขับรถก็เปิดประตูเบาะหลัง แล้วเขาก็โน้มตัวเข้าไปนั่ง
คนขับรถปิดประตูรถเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบเดินไปยังที่นั่งคนขับข้างหน้า เพียงไม่นานก็ขับออกไป
เขานั่งนวดคลึงตรงระหว่างคิ้วอยู่บนที่นั่งเบาะหลังเพื่อคลายอาการแฮ้งค์
ผ่านไปได้สักพักนึงรถก็ได้จอด คนขับรถก็เข้ามาเปิดประตูรถให้เขา เขาโน้มตัวลงจากรถไป “เอากุญแจรถมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันจะกลับเอง นายเลิกงานไปได้เลย”
คนขับรถยื่นกุญแจรถออกไป เขายื่นมือออกไปรับไว้ ยืนอยู่ที่ชั้นล่างเงยหน้ามองขึ้นไป จากนั้นก็ได้เดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
เดินมาถึงหน้าประตูเขาก็ยกมือขึ้นเคาะประตู เพียงไม่นานประตูก็ได้เปิดออกมาจากด้านใน เป็นชิวหมิงเยี่ยนแม่เลี้ยงของเขานั่นเอง
“รีบเข้ามา” เธอรีบเบี่ยงตัวออกไปข้างๆ หลีกทางให้เขา
เจียงโม่หานเดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ เอ่ยออกไปด้วยความเยือกเย็นว่า “ฉันมีเรื่องจะคุยกับเขา ไม่อยากให้มีใครมารบกวน”
บนใบหน้าของชิวหมิงเยี่ยนนั้นมีอาการข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่เล็กน้อย แล้วเอ่ยออกไปด้วยท่าทางกระดากอาย “ได้ ไม่มีใครเข้าไปรบกวนพวกเธอสองคนพ่อลูกคุยกันแน่”
เจียงโม่หานเดินเข้าไปยังห้อง
เปิดประตูไปก็เห็นพ่อนอนอยู่บนเตียง เขาเดินเข้ามาแล้วก็ปิดประตูลง ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งข้างเตียง
“แกมาแล้ว” ในฐานะที่เป็นพ่อเจอลูกชายแล้ว ไม่มีความน่าเกรงขามในฐานะคนเป็นพ่อ และก็ไม่มีความเป็นห่วงกันแบบคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน สิ่งที่มีกลับเหมือนกับการทักทายกันระหว่างคนที่รู้จักกันเท่านั้น
เมื่อปีที่แล้วเขาเป็นโรคหลอดเลือดในสมองทำให้ร่างกายครึ่งท่อนล่างเป็นอัมพาตไป หลังจากนั้นก็นอนอยู่บนเตียงมาโดยตลอด
เจียงโม่หานมาเยี่ยมเขาน้อยครั้งมาก
“เรียกผมมามีธุระอะไรหรือเปล่า?” สีหน้าที่แสดงออกไปของเขาเรียบนิ่งมาก ไม่มีความรู้สึกใดๆแสดงออกมาเลย
เขาไม่มาก็รู้สถานการณ์ของเขาดี มีชีวิตอยู่อีกไม่กี่ปีมันไม่มีปัญหาหรอก จู่ๆชิวหมิงเยี่ยนก็โทรมาบอกให้เขามา ไม่พ้นมีเรื่องอะไรอยากจะขอเขาอีกแน่
ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น มันแน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเรื่องของลูกชายของสองสามีภรรยาคู่นี้ น้องชายต่างแม่ของเขา
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของสองสามีภรรยาคู่นี้ เพราะว่าถูกตามใจพะเน้าพะนอจนสุดยอดมาก เรียนก็ไม่ได้ดี ไม่เข้าเรียนแล้วก็ได้หยุดเรียนออกมาเข้าแก๊งกับพวกนักเลง
ไม่มีงานเป็นจริงเป็นจัง ตลอดทั้งวันก็ไม่ชอบอยู่บ้านด้วย
“โม่หาน…” เจียงจวิ้นอึกอักอยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา ไม่ได้มีความน่าเกรงขามของคนเป็นพ่อคนหนึ่งเลย “แกมีแค่น้องชายคนเดียว แกทนใจแข็งเห็นเขาไม่มีแม้แต่งานเลยสักงานนึงเลยได้เหรอ?”
เจียงโม่หานแสดงสีหน้าเรียบเฉยออกไป “แม่ของผมคลอดออกมาแค่ผมคนเดียว”
สีหน้าของเจียงจวิ้นดูย่ำแย่ไปเล็กน้อย แต่เพื่ออนาคตของลูกชายคนเล็ก ก็ได้ยิ้มออกมา “โม่หาน ฉันกับแม่ของแกหย่ากันเป็นเพราะว่าพวกเราไม่ได้รักกันแล้ว…”
“ผมรู้ คุณรักภรรยาคนปัจจุบันของคุณ” คำพูดของเขายังไม่ทันได้พูดออกมาจนจบ ก็ได้ถูกเจียงโม่หานเอ่ยขัดออกมา
เขามองเจียงจวิ้น ในดวงตาได้ซ่อนความรู้สึกที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้ง่ายๆเอาไว้ “ในเมื่อไม่ใช่เพราะว่ารัก แล้วทำไมตอนแรกถึงต้องแต่งงานด้วยล่ะ?”
ไม่รอให้เจียงจวิ้นให้คำตอบเขา เขาก็ได้เอ่ยออกไปอีกว่า “เมื่อตอนนั้นพวกคุณมีครอบครัวที่เหมือนกัน จนเหมือนกันทั้งคู่ ใช้คำของในตอนนี้พูดก็คือเป็นคู่ที่เหมาะสมกันทุกด้าน คุณก็เลยแต่งงานกับท่าน ถ้าคุณไม่ออกมา บางทีพวกคุณคงจะได้ใช้ชีวิตกันอยู่จนแก่เฒ่า แต่คุณก็ได้ออกมา คุณได้มีความสำเร็จเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่มีความเหมาะสมกันอีกแล้ว เพราะว่าคุณรวยกว่าท่านแล้ว คุณดูถูกว่าท่านเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้จักแต่งตัว ไม่มีการศึกษา คุณพามาอยู่ข้างๆแล้วไม่มีหน้ามีตา คุณก็เลยไม่รักท่านแล้ว”
“แล้วคุณเคยคิดบ้างหรือเปล่า? ตอนที่คุณวิ่งวุ่นทำงานไปทั่วอยู่ที่ข้างนอก เป็นใครที่เลี้ยงดูลูกชายให้คุณ แสดงความกตัญญูกับพ่อแม่ของคุณ? ตอนที่คุณไม่อยู่ ท่านต้องแบกรับภาระหนักทั้งหมดภายในบ้านเอาไว้เพียงคนเดียว แบกความรับผิดชอบที่เดิมทีแล้วพ่อคนหนึ่งควรจะเป็นแบกมันเอาไว้ คุณบอกไปแค่ว่าไม่รักแล้วก็ทอดทิ้งท่านไป”
สีหน้าที่แสดงออกมาและน้ำเสียงของเจียงโม่หานเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ “คุณไม่รักท่าน เพราะว่าท่านไม่มีผิวที่เรียบเนียนแล้ว ไม่มีร่างกายที่ดูงดงามแล้ว และก็ไม่มีใบหน้าที่เยาว์วัยเหมือนกับตอนที่แต่งงานกับคุณ บนใบหน้าของท่านไม่มีร่องรอยของความเยาว์วัย มือหยาบกระด้าง ใบหน้าก็ดูแก่แล้ว คุณก็เลยไม่รักแล้ว”
“เรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ทำไมต้องเก็บเอาไปใส่ใจอีก การคิดมากอยู่ตลอดเวลามันทำให้แกมีความสุขเหรอ?” เจียงจวิ้นขมวดคิ้วออกมา
เจียงโม่หานยิ้มเย็นชาออกไป “ความสุข? คุณพ่อคุณบอกผมมาหน่อยว่าความสุขมันเป็นความรู้สึกยังไง?”
เจียงจวิ้นเงียบไม่พูดอะไร
“ทำไมไม่พูด?”
เจียงโม่หานเยาะหยันออกไป “ไม่มีอะไรจะพูดใช่มั้ยล่ะ?”
“เรื่องในอดีต แกก็อย่าไปจับเอาไว้ไม่ยอมปล่อยสิ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับแกเลย” เจียงจวิ้นพยายามสั่งสอนออกมา ให้เขาได้ปล่อยวางจากเรื่องในอดีต
“ถ้าท่านไม่ตาย ผมก็จะไม่จงเกลียดจงชังคุณหรอก แต่เพราะว่าคุณ ท่านถึงได้ตาย!” ถ้าเขาไม่หย่ากับท่าน ท่านก็ไม่มีทางไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงให้ใคร และก็จะไม่ตาย!
ขอเพียงแค่ให้เวลาเขาอีกสักหน่อย รอเขาโตขึ้น เขาจะต้องดูแลท่านอย่างแน่นอน
แต่ว่าท่านกลับไม่มีโอกาสได้เห็นภาพเขาโตขึ้น!
“หลังจากที่แต่งงานกับคุณไป ท่านก็ได้ทำหน้าที่ทุกอย่างที่ภรรยาคนหนึ่งควรจะทำ สรุปแล้วท่านทำอะไรผิดกันแน่? ถ้าคุณไม่รัก ทำไมตอนแรกถึงได้แต่งงานกับท่าน? ให้ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของท่านต้องถูกปล่อยผ่านไปอย่างไร้ค่าไปแค่เพียงคนเดียว?”