กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่ 953 มีเรื่องจะบอกกับคุณ
“ไม่มีวุฒิการศึกษา ที่เขาไม่ตั้งใจเรียนไม่ใช่เพราะคุณคอยเอาอกเอาใจหรือไง?”
คำพูดนี้เจียงจวิ้นพูดอย่างมีสติ แม่เอาใจลูกบรรลัย แต่เขาไม่เคยคิดว่าเขามีความผิดด้วยหรือเปล่า
ชิวหมิงเยี่ยนส่งเสียงฮืดชัดออกมา “ลูกชายของฉันคนเดียวหรือไง หรือคุณไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลย?”
“คุณอยากให้ผมโมโหตายหรือไง” ถูกเจียงโม่หานหักหน้า เขาก็โกรธจนแทบตายอยู่แล้ว ยังจะมาเถียงกับเขาอีก อยากให้เขาโมโหตายไปเลยใช่ไหม?
ซิวหมิงเยี่ยนปิดปากเงียบ ในใจคิดหาแผนการอื่น คิดจะพึ่งเจียงจวิ้นทำให้เจียงโม่หานยอมเอ่ยปากดูท่าทางคงไม่ได้ผล
หลังจากพยายามถึงสองครั้ง เจียงจวิ้นก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน
ภายในห้องพักผู้ป่วย อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ อ่านทั้งวัน.com
หนานเฉิงปิดประตูแล้วเดินเข้าไป”ประธานเจียงต้องการให้ผมเปลี่ยนห้องพักให้ไหมครับ”
เจียงโม่หานบอกว่าเขาได้ตกลงกับหมอไว้แล้ว เขากลับบ้านไปพักฟื้นได้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนห้อง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นห่วง สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดคือ “สิบได้หรือยัง
ว่าเธอไปที่ไหนแล้ว”
หนานเฉิงตรวจสอบเที่ยวบิน แล้วตอบว่า “ประเทศไทยครับ”
ทั้งสองรู้ดีว่าทำไมเธอถึงไปที่ประเทศไทย เพราะครอบครัวของเธออยู่ที่นั่น
หนานเฉิงรู้ว่าเจียงโม่หานรักจงเหยนซี แต่เขาก็รู้ เจียงโม่หานจะขอคืนดีกับเธอมันยากมากเช่นกัน ไม่เพียงแต่จงเหยียนซีแต่คนในครอบครัวของเธอก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน
เขาไม่อยากให้เจียงโม่หานทำร้ายร่างกายของเขาด้วยเรื่องนี้ “ประธานเจียง ผมคิดว่าน้ำที่หกไปแล้ว ไม่ว่าจะทำยังไง ก็ยากที่จะกู้เอาคืนกลับมาได้ ผมยังคงคิดว่าคุณควรปล่อยไป”
ในสายตาของเจียงโม่หาน เขาถือว่าหนานเฉิง เป็นคนที่ไว้ใจได้ และเป็นคนที่เขาใกล้ชิดที่สุด อีกฝ่ายรู้เสมอว่าเขาต้องการอะไร
แต่ว่าครั้งนี้ เขากลับพูดแบบนี้ออกมา
ทำให้เขารู้สึกกลัวมาก
กลัวว่าสิ่งที่หนานเฉิงพูดจะเป็นเรื่องจริง
น้ำที่หกยากจะเก็บกลับมาได้ กระจกที่แตกก็ยากที่จะกลับมาเป็นดังเดิม
ระหว่างเขากับเธอ ถูกกั้นขวางด้วยหนึ่งชีวิต
พอคิดถึงเรื่องนี้ดวงตาของเขาก็เปียกชิ้นแล้ว
เดิมที่เขาควรจะมีครอบครัว แต่กลับถูกทำลายด้วยมือของเขาเอง เขาเป็นคนฆ่าลูกของเขาเอง
ช่วงนี้เขามักจะนอนไม่หลับ ตาไม่ปิดตลอดทั้งคืน
เพราะความเหนื่อยทำให้เขานอนหลับไป แต่ก็ต้องตกอยู่ในฝันร้าย
“หนานเฉิง ต่อไปนี้อย่าพูดอะไรแบบนี้อีก” เจียงโม่หานเก็บอารมณ์แปรปรวนของเขากลับไป “นายไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเถอะ”
หนานเฉิงไม่รู้เรื่องลูก เขายืนมองจากตำแหน่งของบุคคลที่สาม มองในมุมมองของคนนอก ในการมองเรื่องนี้ เขาคิดว่าการจะไม่สนใจเรื่องในอดีตแล้วกลับมาอยู่ด้วยกันมันยากมาก ยาก
มากจริงๆ
กระจกที่แตกร้าว ต่อให้ใช้กาวที่ดีแค่ไหนมาติดให้เหมือนเดิม มันก็ยังมีรอยร้าวอยู่ดี
ตอนที่ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก็มักจะนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วจะเป็นช่องว่างระหว่างทั้งสองคนในอนาคต
แทนที่จะต้องอยู่กับความเสียใจ การปล่อยวาง จะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความสุข และอยู่อย่างสงบสุข
ครั้งนี้หนานเฉิงไม่ฟังคำพูดของเจียงโม่หาน เขาพูด “คุณผู้หญิงรู้การเจอกันระหว่างคุณกับเธอเป็นแผนที่คุณวางไว้ ความรักที่แสดงออกมา ก็เพื่อจะแก้แค้น เธอยังจะเชื่อคุณอีกไหม คำ
ตอบคือไม่ เธอจะไม่เชื่อในตัวคุณอีกต่อไป คนที่ทำร้ายเธอ และเกือบจะต้องตายเพราะเขา เธอต้องใช้อารมณ์แบบไหน เพื่อตอบรับรักคุณอีกครั้ง”
เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเจียงโม่หาน เพราะไม่อยากเห็นเขาต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้
ในตอนแรกอาจจะเจ็บปวด แต่เวลาผ่านไปแผลจะหายดี เมื่อเวลาผ่านไปแผลเป็นจะเริ่มจางลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงร่องรอยจางๆ แล้วไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป
แต่ถ้าทั้งสองก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ต้องเห็นหน้ากันตลอดเวลา อาจทำให้นึกถึงเรื่องในอดีต แล้วรู้สึกเจ็บปวดอีกครั้ง
ถ้าเป็นแบบนี้ ทำไมไม่หาคนใหม่ที่เหมาะสม อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขสบายใจล่ะ?
เจียงโม่หานมองมาที่เขา มือของเขาค่อยๆ กำแน่น เพราะเป็นหนานเฉิงที่พูด ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงไล่ออกไปแล้ว
แม้ว่าสิ่งที่หนานเฉิงพูดจะถูกต้อง
แต่ว่า เขาก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน
ที่จริงแล้ว ในใจของเขามีเธออยู่ในนั้นตั้งนานแล้ว
แต่เขาไม่รู้ตัว อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ อ่านทั้งวัน.com
สถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้เกิดจากเขา เสียลูก และเสียเธอไป เขารู้สึกปวดใจมาก เขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อชดเชยและขอคืนดี
เขารู้สึกมาตลอดว่าเขาไม่มีบ้านให้กลับ ที่จริงแล้วในช่วงสามปีที่แต่งงานกับเธอ วันเวลาที่สงบสุข และอบอุ่นเหล่านั้นก็คือบ้านคือครอบครัว
“ต่อไปนี้ห้ามพูดแบบนี้อีก”
เขาไม่อยากได้ยินอีก
“ถ้าพูดอีก นายก็จากไปเถอะ”
หนานเฉิงชะงักไปสักพัก ยืนตะลึงอยู่อยู่ที่เดิม “ต้องการขอคืนดีกับเธอไม่ใช่แค่เธอ พวกผู้ใหญ่ในครอบครัวของเธอ… คุณแน่ใจจริงๆ เหรอ?”
“ฉันแน่ใจ ดังนั้นจากนี้ไปอย่าพูดแบบนี้อีก” เจียงโม่หานรู้ว่าหนานเฉิงเป็นห่วงเขา เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องความรู้สึกของเขากับคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับใครสักคนเรื่องนี้
เขาเอ่ยพูด “หนานเฉิง” น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมและแหบแห้ง “คุณรู้ไหมว่าความรู้สึกปวดใจมันเป็นยังไง”
หนานเฉิงส่ายหน้า
เขาไม่เคยมีความรักที่ปักใจจนลืมไม่ลงแบบนี้
จึงไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น
เขารู้สึกว่าชอบกับรักมีความแตกต่างกัน
“แต่ฉันรู้” สีหน้าของเขาไม่ได้เฉยเมยไร้ความรู้สึกเหมือนแต่ก่อน กลับแทนที่ด้วยสีหน้าเศร้าโศก
ตอนที่รู้ว่าตัวเองเกือบจะได้เป็นพ่อคนมาก่อน แต่กลับ…
ในตอนนั้นเขาหายใจแทบไม่ออก
สิ่งที่ฝันใฝ่มาตลอดนั้น แห้จริงแล้วมันกลับอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา
เขาไม่รู้ว่าวันเวลาเหล่านั้นมีค่าเพียงใด จนกระทั่งสูญเสียมันไป
“ที่จริงแล้ว ฉันเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ฉันทำร้ายเธอ แต่ก็ยังอยากเป็นเจ้าของเธอ” เขารู้ว่าการอวยพรให้เธอมีความสุข บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
แต่เขาทำไม่ได้
เขาพยายามทำทุกอย่าง แค่อยากให้เธอกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม
กินข้าวด้วยกันทุกสามมื้อของวัน กอดกันนอนหลับไป เธอส่งยิ้มให้เขา และออดอ้อนเขาเหมือนเด็ก
เธอเคยพูดไว้ว่า “โม่หาน ในอนาคตถ้าเรามีลูกด้วยกัน ฉันหวังว่าจะเป็นลูกสาวค่ะ”
ตอนที่เขาได้ยินคำว่าลูก หัวใจของเขาก็สั่นคลอน แต่ถูกเขาเพิกเฉยไปอย่างรวดเร็ว เขาแค่ถามเธออย่างราบเรียบว่า “ทำไมคุณถึงอยากได้ลูกสาว”
เธอพูดว่า “แบบนั้นฉันจะได้ตั้งชื่อเธอว่ากั่วเอ๋อร์ ซึ่งหมายความว่าลูกเป็นผลที่เกิดมาจากความรักของเราไงคะ”
เขาไม่เคยตอบรับ เพราะในใจของเขารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้
ถึงแม้ตอนที่อยู่ด้วยกันพวกเขาจะไม่ได้คุมกำเนิด แต่พวกเขาแต่งงานกันมาสามปีก็ไม่ห้อง เขาคิดว่าเธอมีลูกไม่ได้ ถ้ามีเธอคงมีไปนานแล้ว
ตอนนี้มานึกๆ ดูเขาถึงได้รู้ใจตัวเองอย่างชัดเจน ว่าทำไมเวลาอยู่กับเธอ เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับการคุมกำเนิดเลย
ไม่เคยคิด ถ้ามีลูกขึ้นมา จะเก็บลูกไว้หรือไม่เก็บดี
เพราะในเวลานั้นเขายังไม่รู้ใจตัวเอง
บางทีอาจเป็นเพราะการกระทำโดยไม่ตั้งใจของเขา สะท้อนถึงความรู้สึกที่อยู่ลึกภายในใจของเขา
ไม่กลัวเธอท้อง ใช้ชีวิตด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกนั่นหมายความว่า จิตใต้สำนึกของเขาอยากอยู่กับเธอไปตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ?
ถ้าเขามีสติมากพอ จงเหยียนซีคงไม่มีโอกาสตั้งท้อง
เพราะตอนนั้นเขาไม่ได้รักเธอ ในใจมีแต่ความแน ถ้ามีลูกมีลูกจะเป็นการทำร้ายลูก ด้วยความฉลาดของดขา เขาคงเข้าใจความจริงข้อนี้ดี
แต่เขาไม่ได้ทำ
ที่จริงแล้วถ้าจะให้เขาพูด ว่าเขาชอบเธอถึงขนาดนั้น หรือรักเธอถึงขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเองก็ไม่สามารถบอกได้
บางทีอาจเป็นครั้งแรกที่พบกัน บางทีอาจเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน
หนานเฉิงไม่เคยเห็นเจียงโม่หานที่เป็นแบบนี้มาก่อน เขาจึงไม่พูดอะไรเพื่อโน้มนำวเขาอีก เพราะเขารู้ว่า ไม่สามารถโน่มนัวกลับมาได้แล้ว
อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตขึ้นมา ทำให้เขาไม่เคยเปิดเผยความอ่อนแอยองเขาต่อหน้าคนนอก และใช้ความเย็นชาเป็นเกราะที่แข็งแกรงเพื่อปกปิดความอ่อนแอภายในใจของเขา
แต่เขากลับพูดกับตัวเองมากมายขนาดนี้ หนานเฉิงรู้ในทันที ว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว
ตั้งแต่รู้ว่าจงเหยียนซียังมีชีวิตอยู่ เขาก็เปลี่ยนไป
ออกเผชิญหน้ากับคนนอกทีละนิด แม้แต่ตนเองที่อยู่ทำงานกับเขามาเป็นเวลานาน เขาก็จะไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมา
แต่ครั้งนี้ เขากลับแสดงด้านนั้นของเขาออกมาต่อหน้าคนอื่น
“ผมมีเรื่องจะบอกกับคุณครับ”