กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่1018 ผมดูแลเธอเอง
เมื่อพิธีสาบานสิ้นสุดลง พิธีกรก็เอ่ยปากพูดในตอนที่เสียงปรบมือเริ่มซาลง “ในวันที่งดงามนี้ พวกเราต่างก็เป็นสักขีพยานในพิธีสมรสของคุณเสิ่นและคุณจวง ณ ที่นี้ ผมขอให้ทั้งสองอยู่เย็น
เป็นสุข ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร สุขภาพพลานามัยแข็งแรง สง่างามเจิดจรัสทุกช่วงเวลา มีความสุขตลอดไป มีช่วงชีวิตที่มีสีสันและราบรื่นทุกประการ”
พิธีกรสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้ขอเรียนเชิญเจ้าบ่าว เจ้าสาว และผู้ใหญ่ของทั้งสองฝั่งขึ้นมากล่าวอวยพรให้กับคู่บ่าวสาวคู่ใหม่ของพวกเราหน่อยนะครับ”
ฉินยาสะกิดซางหยูและหลินซินเหยียนพร้อมกับรอยยิ้ม “เร็วเข้า ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเธอต้องขึ้นเวทีแล้ว”
วันนี้หลินซินเหยียนกับซางหยูต่างเลือกสีแดง อย่างไรเสียสีแดงก็เป็นสีแห่งการเฉลิมฉลอง ดังนั้นสีแดงจึงเหมาะสมที่สุด
ซางหยูสวมใส่ชุดเดรสสีแดงแบบอนุรักษ์นิยม ตรงอกติดดอกคำฝ่อยแม่เจ้าสาวไว้ เธอเกล้าผมมวยที่ดูเงียบง่ายและสง่งาม ช่างแพรวพราวสะดุดตาและดูเหมาะสม ตอนนี้เธอก็ขึ้นไปบนเวที
พร้อมกับเสิ่นเผยซวน
หลินซินเหยียนมองดูจงจิ่งห้าว เธอรู้สึกว่า วันนี้จิตใจของเขาไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เธอจึงใช่มือแตะตัวจงจิ่งห้าวเบาๆ
จงจิ่งห้าวกุมมือเธอไว้ “ผมกับเผยซวนตกลงกันแล้วว่า เผยซวนจะเป็นคนกล่าวคำอวยพรเอง”
จนถึงตอนนี้ก็ยังหาจงเหยียนเฉินไม่เจอ เพราะเขาดูไร้อารมณ์เสียจริง หลินซินเหยนรู้จักนิสัยเขาดี จึงไม่ได้เข้าไปยุ่ง เพราะใครพูดก็เหมือนกัน
“ไปกันเถอะ” จงจิ่งห้าวกุมมือเธอและลุกขึ้น
เธอก็ลุกตาม
วันนี้หลินซินเหยียนสวมชุดกี่เพ้าสีแดง คอเสื้อติดกระดุมถักแบบคลาสสิค เนื้อผ้าที่นุ่มและเบาถูกเย็บปักถ้กร้อยเป็นลวดลายแบบดั้งเดิม
ถึงลวดลายจะไม่ทันสมัย แต่ดูประณีตและพิถีพิถัน
แม้จะถึงวัยนี้แล้ว ทว่ารูปร่างของเธอก็ยังคงดูดี ถึงรูปร่างของเธอจะอวบกว่าสมัยวัยรุ่น แต่ก็ดูไม่อ้วน
ต้องยกคุณงามความดีให้กับจงจิ่งห้าว ที่ดูแลเธอเป็นอย่างดี
เธอเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับจงจิ่งห้าวด้วยรองเท้าสันสูงขนาดห้าเชนติเมตร
ชุดกี่เพ้าสามารถวางตัวเฉยกับโลกที่เต็มไปด้วยหยาดฝนที่นมัว กี่เพ้ามีความหันสมัยและสง่างาม มันมีความเรียบง่ายเหมือนการปล่อยจิตวิญญาณให้ไหลลื่นไปกับการทำสมาธิ และเดินทาง
ไปในสวนดอกไม้อย่างสงบนิ่ง
เช่นนี้ หลินซินเหยียน ผู้ผ่านวัยการใช้ชีวิตมาครึ่งหนึ่ง ก็ก้าวเท้าเดินด้วยท่าทางที่สุขุมสง่งาม บนใบหน้ามีร่องรอยที่กาลเวลามอบให้ไว้ ทว่ากลับดูไม่เปลี่ยนแปลงไป กลิ่นหอมแบบลึกลับที่
เผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ดูโบราณและสง่างาม ช่างดูมีเสน่ห์เหลือลัน
หลินซินเหยียนยืนอยู่ข้างลูกชายและยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะพูดกับลูกชายด้วยเสียงอันทุ้มต่ำ “ยินดีด้วยนะ”
จวงเจียเหวินยิ้มรับ
“โอกาสนี้ ขอเชิญคุณพ่อฝั่งเจ้าสาวกล่าวอวยพรให้กับคู่บ่าวสาวหน่อยครับ”
ในตอนนี้เองก็มีพนักงานยื่นไมโครโฟนมาให้เสิ่นเผยชวน วันนี้เขาไม่ได้สวมชุดสูท ทว่าชุดเครื่องแบบที่เขาใส่มากลับดูจริงจังและน่าเคารพ เขามองลูกสาวและลูกเขย จากนั้นก็พยักหน้าก่อน
จะเอ่ยปากพูด “จากนี้ไป พวกเธอก็เป็นผู้ใหญ่ต็มตัวแล้ว ในการเดินทางของเส้นทางชีวิตที่แสนยาวนานนี้ พวกเธอต้องสามัคคีกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน ในฐานะพ่อ พ่อขอ อวยพรให้พวกเธออย่างใจจริง และพ่อจะอวยพรให้พวกเธอมีความสุขตลอดไป”
เมื่อเขากล่าวคำอวยพรให้คู่บ่าวสาวเสร็จ ด้านล่างของเวทีก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือ
พิธีกรกลับมาพูดอีกครั้ง ” ขอให้ทั้งสองมีวันฉลองงานวิวาห์ที่เยี่ยมยอด เปี่ยมด้วยความหวัง ความรัก และความทรงจำอันงดงาม”
พิธีสมรสดำเนิมาถึงตรงนี้ นับว่าเกินครึ่งทางของลำดับพิธีการแล้ว ลำดับขั้นตอนที่เหลือก็คือ การชนแก้วเฉลิมฉลองในงานมงคล
เนื่องจากจวงเจียเหวินมีเพื่อนพ้องมากมาย ผู้บริหารในบริษัทก็มาร่วมงานงานแต่งนี้ไม่น้อย เขาจึงต้องชนแก้วหลายต่อหลายครั้ง บ้างก็บอกปัดได้ บ้างก็ยากที่จะบอกปัด จึงทำได้แค่ดื่มเหล้า
จงเหยียนซีขมวดคิ้วมองจวงเจียเหวินจากที่ใกล้ๆ “ดื่มแบบนี้ จะเข้าเรือนหอได้ไหมเนี่ย? จะต้องดื่มให้เมาเลยว่างั้น”
ซงเก้นดูเหมือนจะเข้าใจจวงเจียเหวิน “วันนี้เป็นวันดี เขาคงดีใจหนะ”
จงเหยียนซีมองเขา
“ผมพูดผิดหรือไง?” ซงเก้นถามกลับอย่างไร้ความรู้สึกผิดใดๆ
จงเหยียนซีไม่พูดไม่จาและเดินไปรับหน้าแทนน้องชาย เธอรับแก้วเหล้าที่อยู่ข้างหน้าจวงเจียเหวินมา “พวกคุณพอได้แล้วค่ะ ถ้าวันนี้เจ้าบ่าวดื่มจนเมาแล้ว พวกคุณจะหามกลับไปส่งไหมคะ?”
“ประธานจวงคอแข็งขนาดนี้ ไม่เมาหรอกครับ” มีคนตอบกลับ
“ไม่เมา?” จงเหยียนซีหยิบเหล้าทั้งขวดให้เขา “หากคุณดื่มหมดนี้แล้วไม่เมา ฉันก็จะเชื่อคุณ”
คู่สนทนาตรงข้าม “……”
“แก้วนี้ถือว่าฉันดื่มแทนเขาก็แล้วกัน ทุกคนอย่ามอมเหล้าเจ้าบ่าวจนเมาสิคะ เดี๋ยวก็เข้าเรือนหอไม่ได้หรอก”
จงเหยียนซึเงยหน้าดื่มเหล้าจนหมดแก้ว ทุกคนต่างก็พูดอะไรไม่ออก
“เดี่ยวเจ้าบ่าวหาประตูทางเข้าเรือนหอไม่เจอ จะเป็นความผิดของพวกเรานะคะ ค่อยดื่มครั้งหน้าก็แล้วกัน”
ด้วยเหตุนี้ คนโต๊ะนี้จึงยอมปล่อยตัวจวงเจียเหวิน
ทว่ายังทีอีกหลายโต๊ะที่ต้องไปชนแก้วเพื่อเฉลิมฉลอง
เพื่อไม่ให้น้องชายของเธอเมาก่อนเข้าเรือนหอ จงเหยียนซึจึงชนแก้วเพื่อเฉลิมฉลองกับแขกทุกคนแทนน้องชายตัวเอง
เสิ่นซินเหยาดูเป็นกังวล “ทำแบบนี้ได้เมาแน่ๆ”
“พี่ไม่เมา สามีของเธอต่างหากที่จะเมา !” ใบหน้าของจงเหยียนซีแดงก่ำ ว่าสติสต้งของเธอยังอยู่ครบ
จวงเจียเหวินไม่ได้ปรามเธอ เขากลับคิดว่า การเมาไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร อีกทั้ง ยังดีกว่าการที่เธอเก็บเรื่องไว้ในใจ แต่ไม่แสดงออกมา
แม้ว่าจงเหยียนซีจะไม่ได้แสดงอาการใดๆ แต่เขาก็รู้ว่า เธอต้องมีเรื่องที่อัดอั้นอยู่ในใจ
ดื่มให้เมามาย นอนหลับสักตื่น ก็ดีขึ้นแล้ว
เมื่อพิธีงานเลี้ยงฉลองค่อยๆจบลง ตัวเอกของงานวันนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะตัวเอกต่างก็มีคนมาจัดการให้ ว่า จวงเจียเหวินยังคงเป็นห่วงจงเหยนซี เพราะเธอดื่มเหล้าไปเยอะ
“เดี๋ยวผมดูแลเธอเอง” ซงเก้นกล่าว
“ไม่ต้อง ฉันไม่ต้องการการดูแล และใครก็อย่ามาดูแลฉัน” จงเหยนซี้โบกมือลา แม้สติเธอจะอยู่ครบ ทว่าร่างกายของเธอกลับไม่ซื่อสัตย์ แถมยังโอนเอนไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
ซงเก้นประคองตัวเธอไว้ “คุณเมาแล้ว”
“ไม่เมา” ไม่รู้ว่าคนที่ดื่มเหล้าเมาแล้ว มักจะพูดแบบนี้ไหม
เธอมองไปที่น้องชายแล้วพูดต่อ “เธอกลับได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงพี่”