กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่1032 ไม่มีความอดทน
เฉินช็อหานหลบตาเขาแม่โดยรู้ว่าจงเหยียนเฉินมองไม่เห็น แต่เธอก็ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ “เธอบอกว่ามีธุระต้องจัดการ ก็เลยกลับไปก่อน”
“อะไรนะ?” เห็นได้ชัดว่าจงเหยียนเฉินไม่เชื่อ “เธอไม่มีญาติที่ไหน แล้วเธอจะกลับไปทำไม?”
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เฉินชื่อหานเดินเข้าไปในครัวหลังจากพูดจบ
จงเหยียนเฉินถูกทิ้งให้นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง เป็นเพราะดวงตาของเขามองไม่เห็น แม้ว่าในใจ จะมีความสงสัยขนาดไหนเขาก็ไม่สามารถไปหา มู่เยวียนเอ๋อร์ เพื่อถามคำถามเหล่านั้นได้ใน
ขณะนี้
ใบหน้าของเขาดูไม่สงบเหมือนก่อนหน้า กลับกลายเป็นความมืดมนเข้ามาแทนที่
ผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ภายใต้การจัดการของเหวินเสี่ยวจี้ พวกเขาได้พากันขึ้นเครื่องบินและมุ่งหน้าไปยังเมืองC แต่เมื่ไม่เห็น มู่เยวียนเฮอร์ เขาจึงถามขึ้นว่า “ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน?”
จงเหยียนเฉินนั่งอยู่ริมหน้าต่าง รูม่านตาสีดำของเขาราวกับค่ำคืนอันมืดมิดที่ไร้ร่องรอยของอารมณ์ใด เหวินเสี่ยวจี้จึงถามขึ้นอีกว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินช็อหานพูดว่า “เธอบอกว่ามีบางอย่างต้องทำจึงกลับไปก่อนแล้ว เหยียนเฉิงน่จะ…..ไม่ค่อยมีความสุขเพราะเธอกลับไปแล้วมั้งคะ”
เหวินเสี่ยวจี้ขมวดคิ้ว “เธอกลับไปทำไมล่ะ? เธอช่วยชีวิตเหยียนเฉินเอาไว้นะ ยังไม่ทันได้ขอบคุณเธอเลย จู่ๆก็กลับไปหรือ? เสียมารยาทไปหน่อยหรือเปล่า”
จงเหยียนเฉินยังคงไม่แสดงท่าทีใดออกมา
เฉินช็อหานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอรู้สึกว่าจำเป็นต้องคุยกับจงเหยียนเฉินอย่างจริงจัง “เหยียนเฉิน ชอบผู้หญิงคนนั้นเหรอ?”
จงเหยียนเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่เขาหมายความตามนั้น
“เธอเป็นเด็กกำพร้า คุณเองก็มองไม่เห็น จะไปชอบเธอได้อย่างไร?” เฉินช็อหานถามอีกครั้ง
“เหยียนเฉิน พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกันหรอก ประการแรกภูมิหลังครอบครัวของแตกต่างกันมาก……”
“คุณพูดอะไรกับเธอใช่ไหม?” จงเหยียนเฉินพูดขัดจังหวะเธอ น้ำเสียงของเขาดูแปลกไป
เฉินซือหานมองดูเขา “ใช่ ฉันพูด ฉันบอกเธอเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวของเรา ฉันทำผิดอะไร?”
เหวินเสี่ยวจี้ขมวดคิ้วและถามอย่างเข้มงวดกับภรรยาของเขา “คุณมีสิทธิ์อะไรไปพูดแบบนั้นกับคนอื่น?”
“ฉันเป็นคนนอกเหรอ?” เฉินช็อหานถามกลับ
“เธอช่วยเหยียนเฉินเอาไว้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของเรา……”
“แต่เธอมีเจตนาไม่ดี ตอนนี้เหยียนเฉินมองไม่เห็น ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงชอบเธอได้ ถ้าเธอไม่ได้ใช้วิธีการสกปรก?” เฉินชื่อหานพูดอย่างแน่วแน่ ไม่คิดว่าตนผิดแม้แต่น้อย แต่กลับคิดว่าสิ่งที่
เธอทำนั้นถูกต้อง
“ฉันทำอย่างนี้เพื่อเหยียนเฉิน ฉันกลัวว่าเขาจะถูกหลอกและไม่รู้……
“คุณนี่มันบ้าไปแล้ว!” เหวินเสี่ยวจี้ดุเธอ “ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ไม่ใซสิ่งที่คุณต้องไปจัดการ เหยียนเฉินไม่มีพอหรือแม่หรือไง? เขาต้องให้คุณมาจัดการเรื่องนี้เหรอ?”
“ฉันทำไปก็เพื่อเหยียนเฉินไม่ใช่เหรอ? หรือจะให้ฉันทนดูเขาถูกหลอกโดยไม่พูดอะไรเลย ฉันผิดเหรอ!” เฉินช็อหานยังคงไม่รู้สึกว่าเธอทำอะไรผิดไป เธอยังคงยืนยันว่าการที่เหยียนเฉินรู้สึกชอบ
หญิงสาวคนนั้นทั้งๆที่ตามองไม่เห็น เป็นเรื่องผิดปกติ
“คนเราจะชอบใครก็ต้องรู้จักหน้าตากันก่อนไม่ใช่หรือไง?”
“ชอบที่นิสัยไม่ได้เหรอ? ถ้าเป็นแบบที่คุณบอกว่าต้องชอบกันที่หน้าตา แล้วคนขี้หร่ในโลกนี้จะไม่ต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตเหรอ?” เหวินเสี่ยวจี้โกรธไม่เบา “ทำไมถึงได้คิดตื้นๆขนาดนี้?”
เฉินซือหานตกตะลึงพูดไม่ออก
เธอไม่มีอะไรมาห้กล้าง
ทำได้เพียงนั่งอยู่ที่นั่นท่ามกลางความงุนงง
เหวินเสี่ยวจี้สูดหายใจเข้าลึกและตบไหล่จงเหยียนเฉิน”อย่าไปถือสาป้เลย เมื่อเรื่องจัดการเสร็จสิ้นแล้ว ผมจะไปตามเธอกลับมาให้”
“ไม่เป็นไรครับ” จงเหยียนเฉินพูด “บางทีผมอาจคิดผิดเอง ผมควรบอกให้เธอเข้าใจตั้งแต่แรก”
เขารู้ว่าแม้ว่ามู่เยวียนเอ๋อร์จะไม่มีญาติ แต่เธอก็เก่งและมีศักดิ์ศรี
เมื่อรู้ว่าครอบครัวของเธอกับเขามีความแตกต่างกันมากขนาดนี้จึงทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
เขาจะไปอธิบายให้เธอฟังอย่างชัดเจน
“เอาเถอะครับ พวกคุณอย่าทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้เลย มันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเพราะผมเป็นตันเหตุ”
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณ เป็นเพราะคำพูดของป้าที่ไม่รู้จักระมัดระวังปากจนเธอหนีไป” เหวินเสี่ยวจี้เข้าใจเฉินชื่อหานดี
“โอเค ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง!” เฉินช็อหานเก็บความคับแค้นไว้ในใจ เธอยังไม่รู้สึกว่าเธอทำอะไรผิด
เธอคิดว่าเธอทำไปเพื่อผลดีต่อจงเหยียนเฉิน
“สาวป่ที่เติบโตมาในชนบทแบบนั้น เหมาะสมกับเหยียนเฉินที่ไหนกัน?”
หากเหวินเสี่ยวจี๋ไม่เห็นแก่ว่าที่นี่คือพื้นที่สาธารณะก็คงตำหนิเฉินช็อหานไปแล้ว ด้วยวัยขนาดนี้การทะเลาะกันให้คนอื่นเห็นคงเหมือนเล่นตลก แต่ถ้าไม่ดูเธอเลยก็คงจะคับข้องใจ
“คุณต้องการอะไรกันแน่?” เหวินเสี่ยวจี้พยายามระงบอารมณ์ของเขา แต่ด้วยเพราะโกรธมากจึงทำให้น้ำเสียงไม่สามารถสงบลงได้เลย “ทำไมคุณถึงใจกว้างสักหน่อยไม่ได้นะ?”
“คุณจะบอกว่าฉันใจแคบหรือไง?” เฉินซือหานมองมาที่เขาและถามอย่างโกรธจัด
เหวินเสี่ยวจี้รู้ว่าถ้ายังฝืนคุยกับเธอต่อคงได้ทะเลาะกันแน่ จึงแกล้งทำเป็นหลับไป
เฉินซือหานถามออกมาอย่างไม่สนใจว่า “พูดสิ?”
“ผมไม่อยากพูด!” เหวินเสี่ยวจี้หงุดหงิดมาก “เนิ่นนานขนาดนี้แล้ว ทำไมนิสัยคุณไม่เปลี่ยนไปทางที่ดีบ้างนะ?”
“คุณรังเกียจฉันเหรอ?” เฉินชื่อหานถามออกมาอย่างอึดอัดใจ “เสียใจที่แต่งงานกับฉันใช่ไหม?”
เหวินเสี่ยวจี้รู้สึกว่าเธอกำลังจะเป็นบ้า “เราแต่งงานกันมาตั้งหลายปีแล้ว มาพูดเอาป่านนี้มีประยชน์เหรอ? ให้คนอื่นเห้นเราเป็นตัวตลกหรือไง? คุณช่วยใจกว้างหน่อยได้ไหม ตอนที่มีคนนอกอยู่
ด้วยช่วยให้เกียรติผมหน่อยได้หรือเปล่า?”
เฉินซื้อหานตาแดงเธอหันศีรษะไปด้านข้าง เห็นได้ชัดว่ากำลังงอนเหวินเสี่ยวจี้อยู่
เหวินเสี่ยวจี้กัมหน้าลงอย่างเบื่อหน่าย ผู้หญิงคนนี้เธอเป็นคนดีทีเดียวในตอนปกติ แต่ติดนิสัยเสียเรื่องไร้ความอดทนและเอาแต่ใจตนเอง
การทะเลาะวิวาทของพวกเขาทำให้จงเหยียนเฉินอึดอัดมากกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าควรจะเงียบหรือพูดอะไรออกมาดี
แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาไม่ควรจะพูดอะไรออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร
เมื่อเครื่องบินลงจอด พวกเขาก็ลงจากเครื่องบิน จวงเจียเหวินและเสิ่นชินเหยาเดินทางมารับถึงสนามบิน
เมื่อเห็นพวกเขาออกมาจากประตูทางออก จวงเจียเหวินก็วิ่งไป “พี่ใหญ่”
“เจียเหวิน?” จงเหยียนเฉินจำเสียงของเขาได้
จวงเจียเหวินกอดเขา “ผมได้ยินมาว่าพี่ได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือพี่จะ…..”
“เปล่าหรอก ไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”จงเหยียนเฉินพูด
เหวินเสี่ยวจี้โทรศัพท์มาบอกกับทุกคนว่าจงเหยียนเฉินออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการและได้รับบาดเจ็บกลับมา ส่งผลให้ดวงตาข้างหนึ่งของเขามองไม่เห็นชั่วคราว
แต่ไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดระหว่างนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่รับรู้
“พี่ใหญ่คะ” เสิ่นชินเหยายืนอยู่ด้านข้างจวงเจียเหวิน เธอมองดูจงเหยียนเฉินเรียกขึ้น
จงเหยียนเฉินเลิกคิ้ว “เหยาเหยา?”
“ค่ะ ฉันเอง” เธอเดินไปจับแขนอีกข้างของเขา “กลับบ้านกันเถอะค่ะ”
จงเหยียนเฉินพูดว่า “งานแต่งงานของทั้งสองคนผมไม่ได้มาร่วมงานด้วย ขอโทษด้วยจริงๆ”
“เจียเหวินกับฉันไม่โทษคุณหรอกค่ะ เรารู้ว่าคุณงานยุ่ง”
“ผมยังไม่ได้เตรียมของขวัญแต่งงานให้ด้วย” จงเหยียนเฉินพูดอีกครั้ง
เสิ่นซินเหยาพูดว่า “แค่พี่ปลอดภัยกลับมาก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้วค่ะ อะไรจะมีความสุขไปกว่าการรวมตัวของครอบครัวเราละคะ?”
“เหยาเหยา ปากหวานขึ้นทุกวันแล้วนะ ลูกน้อยสอนมาหรือไง?”
จวงเจียเหวิน “…..”
เสิ่นซินเหยาปิดปากของเธอเอาไว้ “ไม่มีใครสอนหรอกค่ะ ฉันหมายความอย่างนั้นจริงๆ อ้อใชสิ คุณแม่คิดถึงพี่มากเลย พี่กลับมาหาพ่อแม่ได้ในตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องอุ่นใจมากแล้วค่ะ”