กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่460 ให้ผมกอดอยู่อย่างนี้สักพักนะ
ถ้าเป็นช่วงปกติยังพอพูดได้ แต่ ณ จุดจุดนี้ ในใจของจะเขาเจ็บปวดมากแค่ไหนนะ?
หลินซินเหยียนจับแขนของเสิ่นเผยซวน เล็บจิกไปที่เนื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว เอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาและร้องไห้สะอึกสะอื้น
เสิ่นเผยซวนไม่สนใจความเจ็บปวดที่แขนของเขา พยายามที่จะปลอบโยนเธอ “อย่าเสียใจมากไป ตอนนี้คุณท้องอยู่ อารมณ์แปรปรวนมากไปมันจะไม่ดีต่อสุขภาพของคุณ”
หลินซินเหยียนไม่ฟัง เธอควบคุมตัวเองไม่ได้ ในความทรงจำเฉิงยู่ซิ่วพยายามอย่างใช้แรงดันอยู่ข้างบนตัวเธอ เพื่อที่จะให้เธอไม่โดนทับจากป้ายโฆษณานั้น เลือดสีแดงสดไหลจากคอของเธอลงมา ทีละหยด ทีละหยด จนเธอเหมือนจะขาดใจ หายใจรวยริน…
มือของเธอกุมที่หัวใจ สะอื้นเงียบๆ
เสิ่นเผยซวนหมดปัญญา เตือนก็เตือนไม่ได้ จึงได้แค่ตามใจเธอ
ต่อมาเธอร้องไห้จนเหนื่อย เสิ่นเผยซวนจึงอุ้มเธอกลับไปที่ห้อง
เธอนอนอยู่บนเตียงโดยหันข้างดวงตามองออกไปทางหน้าต่างอย่างสิ้นหวัง มองไปบางแห่ง สายตาไม่ได้หยุดอยู่ที่เดียว มองอย่างไร้จุดหมายและเลือนราง
เสิ่นเผยซวนไม่กล้าไป เป็นห่วงเธอกลัวจะเสียใจมากเกินไป อารมณ์เธอแปรปรวนมากเกินไป กระทบต่อเด็กในครรภ์ อีกทั้งเคยมีภาวะแท้งมาก่อนด้วย
“ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยฉันไว้ เธอก็คงไม่ตาย……” เสียงของเธอแหบแห้งอย่างหนัก และเชื่องช้
เสิ่นเผยซวนยืนอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ
“ถ้าให้โอกาสฉันอีกครั้ง ฉันจะบอกจิ่งห้าวเป็นอย่างแรกเกี่ยวกับสถานะของเธอ อย่างน้อยเธอจะได้ไม่เสียใจ จิ่งห้าวเองทั้งชีวิตนี้ก็ไม่ต้องแม้แต่เรียกแม่ผู้ให้กำเนิดว่าแม่สักครั้งก็ไม่มี
เฉิงยู่ซิ่วพูดอยู่ตลอดว่าตัวเองไม่ได้เสียใจ แต่ว่าคนเป็นแม่ไม่ได้หวังให้ลูกเรียกตัวเองว่าแม่สักคำจริงๆหรือ?
“อย่าโทษตัวเองมากเกินไป ใครก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อีกอย่าง ในตอนนั้นคุณเองก็ทำเพื่อเขา ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ก็เป็นความคับแค้นใจของรุ่นที่แล้ว เกี่ยวข้องอะไรกับคุณรึไง? ตอนนี้สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ ดูแลตัวเองให้ดี ให้เขาจัดการเรื่องงานศพของเฉิงยู่ซิ่วให้เสร็จ เพื่อคนที่ตายไปแล้ว จะได้จากไปอย่างสงบ” เสิ่นเผยซวนยืนอยู่หัวเตียง และพูดปลอบเบาๆ
เขาถอนหายใจ “พักผ่อนเยอะๆ มีเรื่องอะไร ผมจะเรียกคุณ รักษาจิตใจให้หายดีถึงจะช่วยเขาจัดการเรื่องที่ตามมาต่อได้”
หลินซินเหยียนรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แม้ว่าเรื่องที่เฉิงยู่ซิ่วคือแม่แท้ๆของจงจิ่งห้าวยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ว่าเธอเป็นภรรยาของจงจิ่งห้าว และเป็นลูกสะใภ้ของเฉิงยู่ซิ่ว แน่นอนว่างานศพจะน้อยหน้าไม่ได้
“ฉันรู้” เธอตอบเสียงแหบแห้ง ค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าร้องไห้หรือเปล่า รู้สึกแสบตามาก หลับตาลงถึงจะรู้สึกดีขึ้น
หลังจากนั้นเธอได้ยินเสียงเสิ่นเผยซวนออกจากห้องผู้ป่วยไป เธอไม่ได้ลืมตาขึ้น เพียงแค่จู่ๆน้ำตาก็ไหลรดจมูกลงมาอีกครั้ง
ตอนกลางวันเสิ่นเผยซวนส่งของกินมาให้เธอ เธอทานไม่ลงจริงๆ แต่กลับถามเขา จงจิ่งห้าวเป็นอย่างไรบ้าง
เสิ่นเผยซวนไม่ออกมา
“คุณไม่ต้องห่วงหรอก เขาต้องการเวลานิดหน่อย อย่างไรเสียนี่ก็กะทันหันเกินไป แถมเรื่องก็ดันเกิดพร้อมๆกันอีก”
เสิ่นเผยซวนให้เธอกินข้าว “คุณไม่อยากกิน อย่างน้อยก็กินสักหน่อยเพื่อเด็กในท้อง”
หลินซินเหยียนอ้าปากฝืนกินไปสองคำ ต่อมาก็รู้สึกอยากอาเจียน ข้าวที่พึ่งกินไปสองคำก็อ้วกออกมา อาเจียนหนักกว่าแต่ก่อนมาก ในท้องไม่มีอะไรให้อ้วกออกมา จึงอ้วกเอาน้ำกรดเปรี้ยวออกมา หลังจากนั้นก็น้ำขม คนเองก็หมดแรง
เสิ่นเผยซวนให้พยาบาลมาฉีดวิตามินให้เธอ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะไม่ไหว
ตอนบ่ายเธอก็เหนื่อยมากแล้ว จึงหลับไป
ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น ในห้องมืดมาก ฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว เธอขยี้ตาที่เจ็บ ลองลุกขึ้นนั่งดู ทันใดนั้นก็เห็นร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่แถวหน้าต่าง
เธอตั้งสติ มองร่างดำนั้นอย่างชัดเจน สักพักเธอก็ดึงผ้าห่มออกแล้วเดินลงจากเตียง กอดเขาจากทางด้านหลังโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ แม้จะไม่พูดคุยกัน แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกต่อกัน
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาเอื้อมมือลูบที่หัวของเธอ “พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
เธอตอบ “ค่ะ”
เสิ่นเผยซวนขับรถ เธอควงแขนของจงจิ่งห้าวนั่งที่เบาะหลัง ตลอดทั้งเส้นทางเขาเงียบไม่พูดอะไรเลยสักคำ
หลังจากกลับถึงบ้าน เขาไปที่ห้องหนังสือ หลินซินเหยียนรู้ว่าตอนนี้เขาต้องการความเงียบ เลยไม่ไปรบกวนเขา
วันที่สอง จงฉีเฟิงปรากฏตัวที่วิลล่า อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นเพราะอุบัติเหตุ หรือเป็นเพราะมีคนทำ หยุดสืบสวนไว้ชั่วคราว ไม่ใช่ว่าจะหยุดตรวจสอบเลย แต่เป็นเพราะว่าต้องส่งวิญญาณเฉิงยู่ซิ่วไปอย่างสงบเสียก่อน
เขาบอกว่าเรื่องงานศพนั้นจัดขึ้นอีก3วัน ถึงจะเหมาะสมที่จะจัดพิธีฝัง
สุสานจงฉีเฟิงเป็นคนเลือก อยู่ตำแหน่งไหน งานศพจัดที่ไหน ล้วนเป็นเขาจัดการ
หลังจากพูดจบ เขาก็ถามถึงจงจิ่งห้าว
หลินซินเหยียนตอบว่าอยู่ที่ห้องหนังสือ ขังตัวเองอยู่ในนั้น จงฉีเฟิงถอนหายใจแรง แค่ข้ามคืนเขาดูแก่ขึ้นมาก เดิมที่ร่างที่สูงใหญ่ ก็ซูบลงกะทันหัน
นัยน์ตาของเขาหม่นหมอง พูดเสียงต่ำ “เธอพูดกับเขาละกัน”
หลินซินเหยียนตอบตกลง
หลินซินเหยียนไปห้องหนังสือพร้อมกับของว่าง เขานั่งบนเก้าอี้ตรงขอบหน้าต่าง ในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา เธอเปิดไฟ แล้วเดินเข้ามาพร้อมกับวางของว่างไว้ที่โต๊ะ เธอเดินไปตรงหน้าของเขา “วันนี้คุณพ่อมาหา บอกว่างานศพจะจัดขึ้นในอีกสามวันหลังจากนี้……”
ทันใดนั้นจงจิ่งห้าวก็ดึงมือของเธอ กางแขนออก และกอดเอวเธอไว้ ไม่ยอมปล่อยมือ
“เหยียนเหยียน ให้ผมกอดอยู่อย่างนี้สักพักนะ” เสียงของเขาทุ้มต่ำ แต่ไม่มีใครเห็นสีหน้าของเขา ซุกอยู่ตรงท้องของหลินซินเหยียน
หลินซินเหยียนยืนนิ่งไม่ขยับ เธอเอื้อมออกไปกอดเขา โดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ และก็ไม่ได้มองเขา เพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ หวังแค่ว่าเขาจะผ่านช่วงเวลาแย่ๆนี้ไปได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอก็จะยืนอยู่ข้างเขาเสมอ……
เวลาผ่านไปเร็วมาก สามวันมานี้จงจิ่งห้าวไม่ค่อยพูดจา แต่ก็ออกมา มากอดลูกสาวพาเธอเข้านอน
ดูเหมือนปกติทุกวัน นอกจากแค่เงียบลงมาก ไม่ค่อยชอบพูดจา นอกนั้นก็ดูไม่ออกว่ามีอะไรผิดปกติ
วันนี้ ท้องฟ้ามืดครึ้มฝนตกปรอยๆ เป็นงานศพของเฉิงยู่ซิ่ว
สวนสีเขียว ล้อมรอบไปด้วยพืชพรรณสีเขียว ป่าเขียวขจี อาจเป็นเพราะโดนน้ำฝน ลมเลยหนาวเย็นเป็นพิเศษ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
เพราะว่าเฉิงยู่ซิ่วแต่งงานกับจงฉีเฟิงในฐานะเป็นแค่เมียน้อย พวกผู้มีสกุลดีก็เลยไม่ค่อยชอบติดต่อสัมพันธ์กับเธอ เธอเองก็ชอบความสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย ดังนั้นเลยไม่ค่อยมีเพื่อน ที่มางานศพของเธอเลยมีแต่ตระกูลจง และตระกูลเฉิงที่โดดเดี่ยวที่มีเพียงแค่เฉิงยู่เวิน
นอกจากนี้แล้ว ก็เป็นญาติของตระกูลจง ถึงบอกว่าเป็นญาติ แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ส่วนมากเป็นรุ่นอื่นๆ นั่นเพราะตระกูลจงยิ่งใหญ่ ส่วนมากก็คุ้นเคยกันดี ยังมีเพื่อนร่วมธุรกิจบางส่วนมาด้วย ส่วนมากล้วนเป็นคนที่มีหน้ามีตาและมีชื่อเสียง
ในคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าใครพูดขึ้นมาว่า “จงจิ่งห้าวทำไมไม่มา? จะว่าไงดีล่ะ นี่ก็ถือเป็นแม่เหมือนกันนะ แม่เลี้ยงก็ถือว่าเป็นแม่ ไม่มาคงจะไม่เหมาะสมมั้ง”
ใช่แล้ว จงจิ่งห้าวรู้ว่าวันนี้เป็นงานศพของเฉิงยู่ซิ่ว จึงไม่มา
เหวินชิงสวมชุดสูท หลี่จิ้งยืนอยู่ข้างเขา พูดต่อกลับไปว่า “เขาเป็นคนของตระกูลเหวิน เกี่ยวข้องอะไรกับคนตระกูลเฉิง? ”
หลินซินเหยียนมองเหวินชิงอย่างเย็นชา โดยที่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น วันนี้เป็นวันส่งวิญญาณของเฉิงยู่ซิ่ว เธอจึงไม่อยากให้เฉิงยู่ซิ่วจากไปอย่างไม่สงบ
เธอเป็นตัวแทนจงจิ่งห้าวถือภาพเหมือนของเฉิงยู่ซิ่ว หลินซีเฉินและหลินลุ่ยซีสวมเสื้อผ้าและหมวกสีขาวตามหลินซินเหยียน
ตอนนี้หลี่จิ้งรู้สึกเห็นอกเห็นใจเฉิงยู่ซิ่วนิดหน่อย ดึงแขนเสื้อของหลินซินเหยียน “เรียกจิ่งห้าวมาเถอะ ถึงทั้งชีวิตเธอจะไม่ได้เลี้ยงดูเขามา เห็นแล้วมันทำให้รู้สึกปวดใจ ให้เขามาส่งเธอเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้าเขาอยากมา เขาจะมาเองค่ะ” หลินซินเหยียนตอบเบาๆ สายตาไม่ได้มองไปยังร่างของหลี่จิ้ง
คนพวกนี้ที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นเพียงแค่พวกคนเย็นชา มีใครเสียใจกับผู้หญิงคนนี้ด้วยใจจริงบ้างล่ะ?