กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่487 โลกนี้มันมหัศจรรย์มาก
“นายพูดบ้าอะไร?” เสิ่นเผยซวนผลักซูจ้านออก นี่มันเป็นพี่น้องตรงไหนเนี่ย ตัวทำเรื่องพังชัดๆ
ซูจ้านโบกมือให้ซางหยู “ฉันไปล่ะ ถ้ามีเวลาว่างก็ให้เผยซวนพาเธอมาเที่ยวหาเราบ่อยๆนะ”
พูดจบถือโอกาสตอนที่เสิ่นเผยซวนยังไม่ทันโกรธ ก็รีบขึ้นรถและรีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว
เสิ่นเผยซวนกุมขมับตัวเอง แล้วอธิบายออกมา “โทษทีนะ เพื่อนฉันคนนี้ค่อนข้างชอบพูดจาไร้สาระ”
ซางหยูยืนอยู่ตรงเสาไฟถนน หันมามองเสิ่นเผยซวน สีหน้าเย็นชา “ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจ ฉันแยกบุญคุณความแค้นออก เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่คุณ ฉันเกรงว่า… ขอบคุณมากๆนะ แต่ว่าหลังจากนี้ฉันไม่อยากเจอคุณอีก”
เธอยักไหล่ พูดว่า “ลาก่อน”
พูดจบก็กลับหลังหันเดินไปตามถนน เดิมทีเธอประทับใจผู้ชายที่มีความเป็นผู้ใหญ่และซื่อตรงคนนี้ ไม่ใช่ความชอบแบบชายหญิง แต่เป็นเพราะเสน่ห์ส่วนตัวที่มาจากตัวผู้ชาย ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
แต่ว่าวันนี้เจอกันเป็นครั้งที่สองในสถานการณ์แบบนี้ รู้สึกดีๆที่เจอกันครั้งแรกนั้น พ่ายแพ้อย่างหมดจดให้กับครั้งนี้ รู้สึกว่าเขาก็เป็นจำพวก ต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง
เสิ่นเผยซวนขมวดคิ้ว เขาทำอะไรผิด?
เขาก็ไม่ใช่ว่าจะยอมรับท่าทางแบบนี้ของซางหยูไม่ได้ เขาแค่อยากทำให้เข้าใจ ทำไมเธอถึงรู้สึกไม่พอใจในตัวเขา ด้วยเหตุนี้เขาเลยตามไปสองสามก้าว “เธอก็ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เธอขอร้องไว้ ฉันคงไม่ยุ่งเรื่องของเธอหรอก วันวันคนเลือกเดินทางผิดมีตั้งมากมาย ฉันยุ่งได้สักกี่คน? ชีวิตของใครคนนั้นก็เลือกเอาเอง”
ซางหยูหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเขา “แม่ฉันขอร้องคุณ?”
แม่คือคนบนโลกที่เธอห่วงแหน เป็นคนที่สนิทที่สุดแล้ว ทุกครั้งที่พูดถึง ยากเสมอที่จะซ่อนความเจ็บปวดในใจนั้นได้
แม้ว่าเธอจะแสดงออกมาอย่างนิ่งสงบ แต่ถึงอย่างไรก็ยังอายุน้อย ยิ่งผ่านความลำบากก็จะเป็นผู้ใหญ่ได้เร็ว แต่ต่อหน้าเสิ่นเผยซวน ก็ยังเด็กเกินไปหน่อย
คิดเอาเองว่าตัวเองสุขุมมากพอ แต่ที่จริงไม่รู้ แววตาได้ขายตัวเองไปตั้งนานแล้ว
เสิ่นเผยซวนพูดนิ่งๆ “ใช่ บอกว่าเธอคนเดียวอยู่ที่เมืองนี้หาเลี้ยงตัวเองมันไม่ง่าย ดังนั้นเลยมาฝากฝังฉัน เธอคิดว่าฉันชอบเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านงั้นหรอ เรื่องอะไรก็อยากเข้าไปยุ่ง?”
ขณะพูดเขาเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาดำเปล่งประกายมีชีวิตชีวา ร่างที่ยืนตัวตรงอยู่ใต้แสงไฟหลากสีดูโดดเด่นองอาจห้าวหาญ “เธอผู้หญิงตัวคนเดียว ระวังตัวเองให้มาก ไม่ใช่ว่าทุกครั้งจะโชคดีแบบนี้เสมอไป” ขณะพูดเขาหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง “ฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดจากำกวมกับฉัน”
ซางหยูเม้มปาก อยากจะพูดขอโทษ แต่กลับพูดไม่ออก ทำได้แค่ยืนอยู่ที่เดิม สองมือกำแน่นไม่รู้จะทำตัวยังไง
“ทำไมถึงมาที่นี่?” เสิ่นเผยซวนถาม
เขาไม่มีความคิดอื่นใด มีแต่ความรับผิดชอบล้วนๆ เขารู้ว่าเธอก็แค่เด็กมหาวิทยาลัยที่ยังไม่จบ ต้องหาเลี้ยงตัวเองนั้นไม่ง่ายเลย เขารับปากแม่ของเธอไว้ว่าจะช่วยเหลือเธอเมื่อเจอเรื่องลำบาก ดังนั้น ถึงถามเธอ
ซางหยูก้มหน้า พูด “ไม่มีอะไร”
แม้จะยังไม่ได้ทำงาน ไม่มีรายรับที่แน่นอน ได้แค่พึ่งเงินจากการทำงานพาร์ทไทม์ แต่เธอก็ยังมีความภาคภูมิใจในตนเอง และไม่อยากแสดงสภาพลำบากของตนเองต่อหน้าใครไปเรื่อย
เสิ่นเผยซวนก็ไม่อยากบังคับเธอ ใครบ้างไม่มีศักดิ์ศรีในตนเอง?
เขาแบมือ “มีโทรศัพท์มั้ย?”
“คุณจะทำอะไร?” ซางหยูเตรียมป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ เบิกตากว้าง มองเขาอย่างระแวดระวัง
เสิ่นเผยซวนหัวเราะเล็กน้อย “ถ้าเธอระวังตัวได้แบบนี้ตลอดล่ะก็ คงไม่เอาตัวเองไปตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนั้นหรอก ที่ถามขอโทรศัพท์เธอน่ะ แค่อยากให้เธอเก็บเบอร์ฉันเอาไว้ ถ้าเจอเรื่องลำบากก็โทรหาฉันได้ ไม่ต้องคิดมาก ฉันทำดีกับเธอไม่ได้มีความหมายอื่น แค่รับปากคนอื่นเอาไว้ ไม่อยากผิดคำพูด”
ซางหยูปล่อยเวลาผ่านไปไม่ยอมหยิบโทรศัพท์ออกมา เสิ่นเผยซวนขมวดคิ้ว “ไม่เชื่อฉัน?”
เขาไม่ชอบบังคับ “โอเค เธอกลับคนเดียวก็ระวังหน่อย ฉันไปล่ะ”
พูดจบเขาก็ก้าวยาวๆไปยังถนนฝั่งตรงข้าม เตรียมโบกรถเพื่อไปบริษัท จงจิ่งห้าวกำลังรอเขาอยู่ คงจะมีเรื่องที่จะคุยกับเขา
เขาไม่มีเวลาจะมาโอ้เอ้อยู่ที่นี่
“คือว่า เดี๋ยวก่อน” ซางหยูเรียกเขาให้หยุดอย่างกะทันหัน เสิ่นเผยซวนหันกลับมา เด็กสาวที่ยืนอยู่ใต้เสาไฟนั้น ผอมบางไม่สูงมาก ผิวพรรณถือว่าขาวพอสมควร ดวงตาทั้งสองกลับมีชีวิตชีวาดุจนางฟ้า
“คุณบอกเบอร์คุณมาให้ฉันเถอะ ฉันจำได้”
เสิ่นเผยซวนถึงพึ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่ใช่ไม่ยอมหยิบโทรศัพท์ออกมา น่าจะเป็นเพราะเธอไม่มี ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงบอกเบอร์ให้กับเธอไป และยังตักเตือนเธอ “โลกนี้มันมหัศจรรย์มาก ยังมีสิ่งล่อตาล่อใจอีกมากมาย จะเดินไปทางไหน ก็เลือกด้วยตัวเอง แต่ตอนที่เลือกนั้นจะต้องคิดให้ถี่ถ้วน”
เขาและเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ค่อยสนิทกัน สิ่งที่จะช่วยเธอได้นั้นมีจำกัด เส้นทางในอนาคตยังคงต้องเลือกด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาจึงทำแค่ให้คำแนะนำ แต่จะเดินไปทางไหนนั้น เธอต้องเป็นคนเลือกเอง
ในตอนนี้เองมีรถผ่านมาคันหนึ่ง เขาเอื้อมมือโบกรถ เปิดประตูรถออกและเงยหน้ามองเธอครู่หนึ่ง “ระวังตัวด้วย”
พูดจบเขาก็ก้มตัวเข้าไปในรถ
ซางหยูยืนอยู่ข้างถนน มองดูรถแท็กซี่ที่กำลังจะขับออกไป แล้วตะโกนออกมาว่า “ฉันจำไว้แล้ว”
เธอไม่รู้ว่าเสิ่นเผยซวนจะได้ยินไหม เพียงแค่อยากบอกเขา เพื่อเป็นมารยาท
เสิ่นเผยซวนได้ยินแล้ว และไม่ได้ลดกระจกรถลงเพื่อตอบ แต่บอกคนขับรถว่าตัวเองจะไปว่านเยว่
ในเวลานี้ย่านธุรกิจนี้ กลับเงียบสงัด ไม่เร่งรีบเหมือนตอนกลางวัน คนบนถนนสายนี้เมื่อตอนกลางวัน ล้วนเดินเร็วกว่าคนปกติ พอถึงตอนดึก ที่ที่ครึกครื้น มีเพียงแสงนีออนที่มีสีสันริบหรี่ในคืนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน
เสิ่นเผยซวนจ่ายเงินและลงจากรถ เดินเข้าไปในลิฟต์ขึ้นไปข้างบน
มีเพียงห้องทำงานของจงจิ่งห้าวที่ยังเปิดไฟอยู่ เขาผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
จงจิ่งห้าวยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่างเบย์ แสงจากอีกฝั่งสาดเข้ามา เผยแสงสะท้อนสลัวๆภาพหนึ่ง ซูจ้านนั่งอยู่บนโซฟา นั่งไขว่ห้าง ลืมตาครึ่งหนึ่งเหมือนกับกำลังจะหลับแต่ก็ไม่หลับ แค่พักผ่อน
“กู้เป่ยจะต้องให้คนไปตรวจสอบที่ฉันพูดไปแน่นอน นายหาคนสะกดรอยตามคนที่เขาส่งไป แล้วหาโอกาสโยนเบาะแสให้เขาเป็นครั้งคราว”
เสิ่นเผยซวนตอบว่าเข้าใจ อะไรที่ควรให้กู้เป่ยตรวจสอบเจอ อะไรที่ไม่ควรจะให้ตรวจสอบเจอ ในใจของเขารู้ดี ขอแค่กู้เป่ยเชื่อว่าเหวินชิงไปหาเขาเพื่อลักพาตัวคน เพื่อไม่ให้เรื่องสาวมาถึงตัวในสถานการณ์ดุเดือดนี้อีก นั่นเป็นเหตุผลที่มาหาเขา
และทำให้เขาเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ว่าที่เฉินชิงตกอยู่ในสภาพแบบนี้เกี่ยวข้องกับเหวินชิง
ความสัมพันธ์ของเหวินชิงและเฉินชิงทุกคนต่างรู้ดี ว่าค่อนข้างดี ถ้าจุดจบของเฉินชิงมีลายมือเหวินชิงอยู่ เกรงว่ากู้เป่ยจะมั่นใจว่าเหวินชิงหลอกใช้ตัวเอง
ถึงตอนนั้นละครหมากัดกัน ดูท่าจะน่าดูทีเดียว
“เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเถอะ” เสิ่นเผยซวนคิดดูดีแล้ว โยนข่าวปลอมให้คนของกู้เป่ยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
จงจิ่งห้าวตอบอืมเบาๆ “ระวังด้วย อย่าให้เขาจับได้”
“เข้าใจแล้ว” เสิ่นเผยซวนตอบ
เขานั่งบนโซฟา มองแผ่นหลังของจงจิ่งห้าว เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ตอนแรกอยากจะถาม กับเหวินชิงนั้นจะให้เมตตาเขาไหม ยังไงก็เกี่ยวข้องกับหลินซินเหยียน
แต่พอนึกถึงการจากไปของหลินซินเหยียน ก็เหมือนจะเข้าใจเหตุผลที่เธอจากไป เกรงว่าเป็นเพราะไม่อยากให้จงจิ่งห้าวเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ขั้นนี้ของเหวินชิงกับเธอแล้วรู้สึกแย่
ในเมื่อพวกเขาตัดสินใจไปแล้ว เขาก็จะไม่พูดมาก
“พวกนายกลับไปเถอะ” ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างเบย์พูดออกมาเบาๆ