กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่493 ฉันอยากได้ภรรยาชาวบ้าน
เห็นไป๋ยิ่นหนิงกำลังมองหลินซินเหยียน ประธานหลี่ที่คุยธุระกับเขาก็ได้ก้มหน้าถาม “คุณรู้จักเธอหรอ?”
ไป๋ยิ่นหนิงส่ายหน้า บอกว่า “ไม่รู้จัก”
ไม่ได้จงใจจะตัดความสัมพันธ์กับหลินซินเหยียน แค่ไม่อยากให้ประธานหลี่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินซินเหยียน ธุรกิจก็คือธุรกิจ เรื่องส่วนตัวเขาไม่อยากเผยแพร่ให้คนนอกรู้เลยแม้แต่น้อย
เขาสั่งเกาหยวนอย่างแผ่วเบา “ไปเถอะ”
เกาหยวนมองไปทางหลินซินเหยียนทีหนึ่งแล้วก้มหน้ามองไป๋ยิ่นหนิง ถอนหายใจในใจทีหนึ่ง ตามหลังเขาอยู่ทุกวัน จะไม่รู้จิตใจของเขาได้ยังไง
บนสีหน้าเย็นชาแค่ไหน ในใจก็เร่าร้อนแค่นั้น
หลินซินเหยียนมัวแต่แก้บรรยากาศที่อึดอัดเมื่อกี้ ไม่ได้สังเกตเห็นการปรากฏตัวของไป๋ยิ่นหนิง
เธอเอาแก้วน้ำผลไม้ที่ดื่มจนหมดแล้ววางลง มองทุกคนไว้ “ทุกคนต่างมาจากสถานที่แตกต่าง กลับมาเจอกันในที่นี้ ฉันรู้สึกว่านั้นเป็นโชคชะตา หวังว่าทุกคนจะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสอดคล้องกลมเกลียวกัน”
“เมื่อกี้ฉันเป็นคนผิดเอง ถามเรื่องที่ไม่ควรถาม” ผู้หญิงที่เป็นคนเปิดเรื่องรีบพูดต่อ เดิมทีเธอก็แค่สงสัย ไม่ได้คิดจะมีอคติกับใคร หลินซินเหยียนพูดก็ถูก ทุกคนยังต้องทำงานร่วมกัน ถ้าจะทะเลาะกันจริงๆ ต้องมองหน้ากันไม่ติดแน่ แต่ว่าทุกคนยังต้องทำงานร่วมกันอยู่ก็จะอึดอัด
“มาๆ พวกเรามาดื่มกันแก้วหนึ่ง แทนน้ำชาด้วยเหล้า ลืมเรื่องที่ผ่านมา ขนาดฟันของตัวเองยังมีเวลาที่กัดโดนลิ้นของตัวเองเลย การสะดุดก็ต้องมีอยู่แล้ว ดื่มน้ำแก้วนี้หมดแล้ว เรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไปแบบนั้นเลย ทุกคนยังเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี” ฉินยายกแก้วน้ำขึ้น ชูแก้วขึ้นเพื่อชนแก้วกับทุกคน หลินซินเหยียนกับฉินยาพูดถึงขนาดนี้แล้ว ใครก็ไม่ไปจับเรื่องนี้ไว้ไม่ปล่อย
กินข้าวเสร็จช่าวหยุนได้พูดกับทุกคนแทนหลินซินเหยียน ความใหม่ก็คือขอบคุณทุกคน แล้วก็หวังว่าทุกคนจะสามัคคีกันอย่างสมันฉัน
ต่อมาก็แยกย้ายกัน คนช่าวหยุนเป็นคนส่งกลับไปหมดเลย หลินซินเหยียนและฉินยาพาเด็กไปจากด้านหลัง
รู้สึกว่าเวลาที่กินข้าวนี้ไม่ได้นานเลย แต่ว่าฟ้าด้านนอกกลับมืดไปหมดแล้ว ตอนที่มายังสว่างอยู่เลย หลินซินเหยียนเปิดประตูรถที่จอดไว้ข้างทางให้เด็กทั้งสองคนขึ้นรถไปก่อน
“ขอพูดอะไรกับเธอหน่อยได้ไหม?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากด้านหลัง รู้สึกว่าคุ้นเคย แต่ก็ไม่กล้าแน่ใจ หลินซินเหยียนค่อยๆ หันหลังกลับมา ก็เห็นไป๋ยิ่นหนิงที่นั่งอยู่บนรถเข็น เธอรู้สึกอึ้ง ไป๋ยิ่นหนิงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
“ว่างไหม?” เห็นหลินซินเหยียนไม่ตอบ ไป๋ยิ่นหนิงก็ถามอีกทีหนึ่ง
หลินซินเหยียนพยักหน้าตอบตกลง เธอมองไปทางฉินยา “เธอพาเด็กทั้งสองคนกลับไปก่อน”
จงเหยียนเฉินดึงมุมเสื้อของเธอ “หม่ามี๊ต้องกลับมาเร็วๆ นะ ผมกับน้องรอหม่ามี๊อยู่”
ไม่ใช่ไม่ชอบไป๋ยิ่นหนิง แต่กลัวเขาจะฉวยโอกาสตอนที่แด๊ดดี้ไม่อยู่ แล้วแย่งหม่ามี๊ไป
ถ้าจะให้เลือก เขาก็ต้องเลือกแด๊ดดี้แท้ๆ อยู่แล้ว อีกอย่างหม่ามี้กับแด๊ดดี้ไม่ได้แยกกันอยู่เพราะความสัมพัรธ์แตกหัก ไป๋ยิ่นหนิงอยู่ๆ ก็ปรากฏตัวทำให้เธอไม่ระวังตัวไม่ได้
เขาต้องช่วยแด๊ดดี้ปกป้องหม่ามี๊ ไม่ให้คนที่ชอบหม่ามี๊แย่งไปได้
หลินซินเหยียนไม่คิดว่าลูกชายจะคิดเยอะขนาดนี้ นึกว่าเขาเป็นห่วงตัวเองเฉยๆ ยื่นมือไปจับหัวของเขา ยิ้มแล้วพูดว่า “รู้แล้ว หม่ามี๊จะรีบกลับไปนะ”
ฉินยามองที่ถนนไปทีหนึ่ง สักพักก็ดึงสายตากลับแล้วสตาร์ทรถจากไป
มองรถจากไปไกล หลินซินเหยียนถึงจะกลับมามองไป๋ยิ่นหนิง ถามข้อสงสัยในใจออกมา “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“มาคุยธุรกิจ บริษัทมีปัญหามากมาย ก็เลยต้องออกมาขยายธุรกิจ จะให้ธุรกิจของตระกูลไป๋มาล้มในมือของฉันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นฉันรู้สึกไม่ดีต่อพ่อบุญธรรมของฉัน” เขาพูดอย่างชิวๆ แต่ที่จริงแล้วช่วงเวลานี้เขาเหนื่อยมาก และก็ยุ่งมาก ถึงจะยังไม่ล้มละลายก็โดนถล่มหนัก และถอนตัวออกจากอสังหาริมทรัพย์
เมื่อก่อนหลินซินเหยียนไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่ว่าหลังจากที่เธอก่อตั้งโรงงานทอผ้าและซิ่วฟางแล้วก็รู้ว่าการจัดการธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ เลย
ถึงแม้ว่าในโรงงานของเธอจะมีเพียงไม่กี่คน แต่ว่าปัญหาที่เจอก็ไม่น้อยเลย
วันนี้ตอนที่กินข้าวก็แทบจะทะเลาะกันแล้วไม่ใช่หรอ ที่ที่มีคนย่อมมีการถกเถียงกันเป็นธรรมดา เรื่องนี้ไม่มีผิดเลย
“พวกเราไปเดินหน่อยไหม?” ไป๋ยิ่นหนิงเสนอ
หลินซินเหยียนบอกว่าได้ พวกเขาไม่ได้ไปเลือกเส้นทางเป็นพิเศษ แค่เดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมายปลายทาง
“ฉันกลัวว่าจะผิดสัญญาอีกแล้ว บอกแล้วว่าจะไม่เจอเธออีก แต่กลับเจอกันอีกครั้ง” เขาตาตก
เขาบอกว่าเขาจะไม่ก้าวเข้าไปในเมืองBอีก เป็นการตัดสินใจที่ใหญ่หลวงจริงๆ ใช้ความกล้าและมุ่งมั่นทั้งหมด บอกกับตัวเอง ควรปล่อยวางได้แล้ว
แต่พระเจ้ากลับให้พวกเขาเจอกันอีก นี่มันหมายความว่ายังไง?
เห็นเขายังไม่ต่ำต้อยอีกหรอ ยังจะล้อเล่นกับเขาแบบนี้อีกครั้ง?รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางที่จะสมดั่งปรารถนาก็ยังฝันอยู่อย่างนั้น?
หลินซินเหยียนไม่พูด แค่เดินข้างกายไปพร้อมกับเขาช้าๆ
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่” ที่จริงเขาอยากจะถามว่า มีปัญหาทางความสัมพันธ์กับจงจิ่งห้าวหรอ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะไม่ใช่คำพูดที่ดีอะไร
เธอไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียว ลูกทั้งสองก็อยู่ นี่ไม่ให้เขาไม่คิดมากไม่ได้
“มีเรื่องต้องทำ ก็เลยมา” หลินซินเหยียนไม่รู้ว่าจะพูดยังไง เธอเองก็รู้สึกว่าฐานะของตัวเองในตอนนี้เหลวไหลเกินไปแล้ว
ไป๋ยิ่นหนิงได้ยินก็รู้แล้วว่าหลินซินเหยียนไม่ได้พูดความจริง ลวกเกินไป
แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา เขาถามอย่างอ้อมค้อมว่า “เกี่ยวกับเขาไหม?”
พวกเขาต่างเข้าใจซึ่งกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมาว่า เขาคนนั้นที่พูดคือจงจิ่งห้าว
หลินซินเหยียนพูดอย่างเฉยๆ ว่า “พวกเรายังรักกันดี ไม่ต้องคิดมาก”
ไป๋ยิ่นหนิงยิ้ม “แอบดีใจอยู่เหมือนกันนะ หวังว่าที่เธอมาอยู่ที่นี่เพราะว่าเขาไปรักคนอื่น เธอเสียใจมากก็เลยมารักษาบาดแผลที่นี่ แล้วพระเจ้าก็จัดเตรียมให้พวกเราเจอหน้ากัน ให้ฉันมาดูแลเธอ”
“นายไปเขียนบทละครได้เลยนะ”
“ฉันก็อยากนะ ทิ้งงานในมือทั้งหมด ไปใช้ชีวิตที่สบาย แต่ว่าเป็นคนจะไร้สำนึกไม่ได้ จะหนีไปแบบนี้ไม่ได้” เขามองไปข้างหน้าด้วยความโศกเศร้า ไป๋ยิ่นหนิงที่ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็ชินกับใช้ยิ้มมาปกปิด แต่ตอนนี้กลับยิ้มไม่ออก
หลินซินเหยียนฟังที่เขาพูดเหมือนจะเจอปัญหา ก็เลยถามอย่างเป็นห่วง “บริษัทมีปัญหารึเปล่า?”
ความห่วงใยของเธอไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น เพียงแค่แสดงความรู้สึกต่อความรู้สึกธรรมดาเกี่ยวกับความยากลำบากของเขา
ไป๋ยิ่นหนิงอืมเบาๆ ทีหนึ่ง
“เป็นเพราะว่าการแข่งขันสูงเกินไปหรอ?” หลินซินเหยียนถาม
“ไม่ใช่ น่าจะระบายความโกรธส่วนตัว” ไป๋ยิ่นหนิงรู้ ว่านี่ไม่ใช่การแข่งขันธรรมดาระหว่างอาชีพเดียวกัน ธุรกิจหลักสามอันของไป๋ซื่อกรุ๊ปก็ถูกโจมตีพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าเหมือนแผนที่จะจัดการกับเขามากกว่า
หลินซินเหยียนยักคิ้ว ห้างสรรพสินค้าก็เหมือนสงครามที่ไร้ควัน เพื่อผลกำไรแล้วยอมทำทุกอย่าง
แต่ฟังคำพูดของไป๋ยิ่นหนิงนี้แล้วเป็นความคับข้องใจส่วนตัว “นายไปทอะไรให้เขามา?ถึงได้ทำให้คนอื่นเกลียดนายขนาดนี้?”
ไป๋ยิ่นหนิงเบรกรถเข็นหยุดไว้ หลินซินเหยียนเองก็หยุดลง เขาเงยหน้ามองเธอไว้ ไม่ได้พูดอะไร จ้องมองเธอไว้แบบนั้นอย่างเงียบๆ ผ่านแสงที่อ่อน
หลินซินเหยียนจับหน้าตัวเอง “ทำไมนายต้องมองฉันแบบนั้น บนหน้าฉันมีของอะไรหรอ?”
เขาส่ายหน้า ซ้อนอยู่ในแสงที่ไม่สามารถคาดเดาได้ “ฉันอยากได้ภรรยาของคนอื่น คนอื่นก็เลยทำแบบนั้นกับฉัน แบบนั้นฉันสมน้ำหน้าใช่ไหม?”