กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม - บทที่530 เขาเป็นโรคหัวใจ
เขารู้ว่านั่นคืออะไร ต่อจากนี้ไปไม่มีทางจะซื้อของจำพวกนี้อีก เพียงแค่ครั้งที่แล้ว หม่ามี๊ก็โกรธอยู่นานแล้ว
แต่ว่าจงเหยียนซีไม่รู้ไง กล่องห่อเสียดูดีมาก อีกทั้งยังวางอยู่บนชั้นตรงเคาน์เตอร์จ่ายตังค์ เธออยากซื้ออยู่หลายครั้ง ก็ถูกหม่ามี๊ตีมือไปเสียทุกครั้ง แต่แด๊ดดี้ตามใจเธอ จะต้องซื้อให้เธอแน่
ดังนั้นแล้วเธอก็เลยหยิบใส่ไปในรถเข็นไปหลายกล่องโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตใคร
เห็นสายตาของแด๊ดดี้แล้วเธอถามไปอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
ในตอนนี้พนักงานแคชเชียร์ดันกรอบแว่นบนสันจมูก มองของที่อยู่ในมือของเขา เอ่ยเร่งออกมา “ช่วยรีบหน่อยได้มั้ยคะ? ด้านหลังยังมีลูกค้าคนอื่นอีกนะคะ”
แต่ในใจกลับค่อนแคะออกมา ซื้อก็ซื้อมาแล้ว ทำไมตอนจ่ายเงินยังจะมาทำกระมิดกระเมี้ยนเขินอายขึ้นมาอีก?
จงจิ่งห้าวไม่ได้สนใจการเร่งและสายตาของพนักงานแคชเชียร์ เอาของที่ลูกสาวใส่มาในรถเข็นวางกลับไปบนชั้นสินค้า
ตลอดมาเธอต้องการอะไรแด๊ดดี้ก็ให้หมดทุกอย่าง ไม่เคยปฏิเสธมาก่อน
“แด๊ดดี้ หนูอยากได้อันนี้” จงเหยียนซีชี้ไปยังของที่อยู่บนชั้นสินค้า
เป็นครั้งแรกที่จงจิ่งห้าวเจอกับการออดอ้อนของลูกสาวแล้วไม่ได้ยิ้มไม่ได้กอดกลับไป จากนั้นก็เอาของที่เหลือวางลงไปบนเคาน์เตอร์จ่ายตังค์ หลังจากที่จ่ายตังค์แล้ว ก็เอาของวางกลับลงไปในรถเข็นใหม่ มือหนึ่งอุ้มเธอ อีกมือหนึ่งเข็นรถเข็นออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตขึ้นลิฟต์ไปยังลานจอดรถชั้นบน
จงเหยียนเฉินตามมาอย่างเรียบร้อย
แต่จงเหยียนซีกลับจิตใจไม่สงบอย่างมาก ดวงตาที่ส่องประกายคู่นั้นเคลือบไปด้วยคราบน้ำออกมาบางๆ แต่ก็ไม่กล้าร้องไห้ออกมา
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จงจิ่งห้าวแสดงสีหน้าที่เย็นชาให้กับเธอ ในใจของเธอกลัวมาก
กลัวแด๊ดดี้จะเกลียดตน กลัวว่าแด๊ดดี้จะไม่ชอบตนแล้ว
มาถึงลานจอดรถ จงจิ่งห้าวพาลูกสาวไปวางด้านในรถ จากนั้นก็เอาของที่ซื้อไปวางในกระโปรงหลังรถ จงเหยียนเฉินขึ้นรถด้วยตัวเอง มองน้องสาวไปแวบนึง ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
ในใจก็คิดว่าทำไมเธอถึงไม่จำเลยนะ? เพราะว่าเธอเอาสิ่งนั้นมาวางในรถเข็น ถูกหลินซินเหยียนตีมือไปหลายครั้ง ต่อมาเธอก็ไม่หยิบแล้ว
ก็คงจะจำไว้แล้ว ทำไมวันนี้ถึงได้ทำผิดอีก?
จงจิ่งห้าวเอารถเข็นไปจอดกลับที่จุดของรถเข็น เขายืนอยู่ข้างรถอยู่สักพัก ไม่ได้ขึ้นรถ เขาไม่รู้ว่าจะไปอธิบายยังไง
เธอในวัยนี้ไม่อาจจะสอนเรื่องเพศศึกษาให้ได้
เขาไม่เคยหนักใจขนาดนี้มาก่อนเลย เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าการเลี้ยงลูกที่แท้มันก็ยังต้องเจอกับปัญหาอย่างนี้มาด้วย
เด็กผู้ชายยังดีกว่าหน่อย แต่ลูกสาวจะไปขัดเกลายังไงอีก และก็ไร้หนทางที่จะหาคำที่เหมาะสมไปอธิบายกับลูกสาวได้ด้วยเช่นกันว่าของสิ่งนั้นมันเป็นของใช้ทำอะไร
เขาคิดว่าเขาควรจะอ่านหนังสือประเภทการเลี้ยงลูกให้เยอะ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่รู้จริงๆว่าจะไปสั่งสอนเด็กๆได้ยังไง
“แด๊ดดี้” จงเหยียนซีเรียกออกมาอย่างขลาดๆ ไม่กล้าออดอ้อนออกมาอีก “หนูอยากกลับบ้านแล้ว”
เด็กอ่านสีหน้าเป็นกันทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของจงจิ่งห้าวไม่ดีเลย
อันที่จริงเขาไม่ได้โกรธลูกสาวเลย อายุอย่างเธอมีความอยากรู้อยากเห็นต่อหลากหลายเรื่องนี่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เขาโกรธ ตอนที่ตัวเองเผชิญกับเรื่องอย่างนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าจะไปจัดการยังไง
“ต่อจากนี้ไปหนูไม่เอาแล้ว แด๊ดดี้อย่าโกรธเลย” ถูกหลินซินเหยียนตีมือไปหลายครั้ง ก็ยังไม่ฝังลึกเท่าครั้งนี้เลย
ตามใจเธอมาโดยตลอด แด๊ดดี้ที่รักใคร่ทะนุถนอมเธอโกรธขึ้นมาเลย อย่างนั้นแล้วจะต้องไม่ใช่ของที่เธอสามารถต้องการได้จริงๆอย่างแน่นอน ต่อจากนี้ไปก็จะไม่กล้าหยิบอีกแล้ว
จงจิ่งห้าวมองลูกสาวผ่านทางหน้าต่างรถ ผ่านไปได้สักพักนึงเขาก็ดึงประตูรถเข้าไปนั่ง
เขาเอ่ยกับลูกสาวไปด้วยอารมณ์ที่สงบนิ่ง “แด๊ดดี้ไม่ได้โกรธลูก แด๊ดดี้กำลังโกรธตัวเองอยู่”
จงเหยียนซีกะพริบตาออกมา ไม่เข้าใจว่าแด๊ดดี้หมายความว่าอะไร
แต่เธอจำเอาไว้แล้ว เธอไม่อยากเห็นแด๊ดดี้มีใบหน้าเย็นชาออกมาอีก
“ดึกมากแล้ว แด๊ดดี้จะส่งพวกลูกกลับไป” เขาสตาร์ทรถ
ในระหว่างที่ขับรถอยู่นั้นเองโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น สายที่โทรเข้ามาปรากฏออกมาเป็นหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขหนึ่ง ไม่ปรากฏชื่อออกมา เขาจอดเทียบข้างทางแล้วรับโทรศัพท์ เป็นเฉิงยู่เวินโทรเข้ามา “สุขภาพของพ่อนายไม่ดี เข้านอนโรงพยาบาลแล้ว”
ตั้งแต่ที่จงฉีเฟิงไปไป๋เฉิง พวกเขาไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน
ตั้งแต่เฉิงยู่ซิ่วตายไป สุขภาพของเขาก็ไม่ดี เขาเป็นโรคหัวใจ ร่างกายไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยร้ายแรงอะไร ครั้งนี้ให้เฉิงยู่เวินโทรหาจงจิ่งห้าว บอกว่าเขาเข้าโรงพยาบาล อันที่จริงแล้วเป็นเพราะจงฉีเฟิงอยากเจอเขา
“อยู่โรงพยาบาลอะไร?” จงจิ่งห้าวถาม
จงฉีเฟิงอยู่ที่ไป๋เฉิงเขารู้ ในเมื่อเข้าโรงพยาบาล อย่างนั้นแล้วตอนนี้ก็ควรจะอยู่ที่โรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่งในไป๋เฉิง
เพราะว่าไป๋เฉิงเป็นสถานที่เล็กๆ ประชากรน้อย ก็เลยไม่มีสนามบิน เขาเกรงว่าจะต้องขับรถไป
มีที่อยู่แล้ว เขาสามารถตรงไปได้เลย
“ฉันส่งตำแหน่งไปที่โทรศัพท์นายทางข้อความแล้ว”
จงจิ่งห้าวส่งเสียงอืมไปคำนึง จากนั้นก็วางสายไป
ถึงแม้ว่าจะรู้สถานะของเฉิงยู่เวินแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรเลยด้วย ถึงยังไงก็ไม่เคยได้อยู่ร่วมกันมาก่อน
ดังนั้นแล้วท่าทีที่มีต่อกันจึงจืดจางอย่างมาก
“คุณปู่ป่วยเหรอฮะ?” จงเหยียนเฉินถาม เมื่อก่อนหน้านี้เคยพักอยู่ด้วยกันมาช่วงหนึ่ง คุณย่าไม่อยู่แล้ว เขาเสียใจอยู่นาน ตอนนี้คุณปู่ป่วยก็เลยอยากจะไปเยี่ยมเขา
“ผมคิดถึงคุณปู่ ผมอยากไปเยี่ยมเขา”
จงจิ่งห้าวยังไม่ทันได้ตอบลูกชาย ลูกสาวก็ชิงพูดออกมาก่อน “แด๊ดดี้ หนูกับพี่ชายไปเยี่ยมคุณปู่กับแด๊ดดี้ได้มั้ยคะ?”
แน่นอนว่าเขาจะต้องอยากพาลูกทั้งสองคนไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทางหลินซินเหยียนนั้นอธิบายได้ไม่ง่ายเลย
ตอนที่ข้างกายจงฉีเฟิงไม่มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อน เห็นพวกเขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ อาจจะมีส่วนช่วยในอาการป่วยด้วยก็ได้
เขาจมอยู่กับความคิดไปสักพักนึง จากนั้นก็เอ่ยออกมา “ได้”
เด็กทั้งสองคนยิ้มดีใจกันออกมา พวกเขาไม่ได้เจอคุณปู่มานานมากแล้ว และก็ไม่ได้เจอคุณอาเสิ่นมานานมากแล้วเหมือนกัน แล้วก็ยังมีคุณยายอีกคน อยากจะกลับไปในสถานที่ที่เคยอยู่เมื่อก่อน ที่นั่นมีคนที่คุ้นเคยกันอยู่เยอะมาก
เขาส่งลูกทั้งสองคนไปที่เขตหมู่บ้าน “พวกลูกกลับไปก่อน แด๊ดดี้จะให้ซูจ้านไปรับพวกลูก”
เด็กทั้งสองคนเงียบ รู้ว่าจะต้องฟังแผนของเขา
เขาจอดรถสนิท ฉินยาก็เดินเข้ามา เธอนั่งอยู่ในสวนหมู่บ้านอยู่สักพักนึง ตอนนี้อารมณ์ได้สงบลงแล้ว
เธอยิ้มพลางเข้าไปอุ้มจงเหยียนซีลงจากรถ
จงจิ่งห้าวเองก็ลงจากรถมาเหมือนกัน “ฉันอยากพาพวกเขาทั้งสองคนออกไปสักครั้งนึง รออีกสักพักนึง ฉันจะให้ซูจ้านมารับพวกเขา”
ฉินยานิ่งค้างไปสักพักนึง ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมา
หรือว่าเขาต้องการจะเจอหน้ากับหลินซินเหยียนแล้วงั้นเหรอ?
“งั้นตอนนี้คุณเข้าไปก็ได้แล้ว” ฉินยาเอ่ยออกมา
จงจิ่งห้าวเปิดกระโปรงหลังรถ เอาของที่อยู่ด้านในหิ้วส่งไปให้ฉินยา “ซูจ้านจะใช้แบบแผนที่ดูเหมือนว่าผมอยากเจอลูกเพื่อไปรับพวกเขาทั้งสองคน”
ถึงตอนนั้นแล้วก็บอกว่าเขาคิดถึงลูก ก็เลยสืบหาที่อยู่ของเธอ
ซูจ้านก็เลยรู้ว่าอยู่ที่นี่
เห็นท่าทางของเขาที่ดูเหมือนได้มีการวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ฉินยาก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายมือหนึ่งหิ้วถุง มือหนึ่งจูงจงเหยียนซีเอาไว้ “โอเค ฉันพาพวกเขากลับไปก่อน”