กลลวง นายสุดเท่ห์ ชาร์ลี เวธ - บทที่ 1007
กลลวง นายสุดเท่ห์ ชาร์ลี เวธ บทที่ 1007
ชาร์ลีหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาอัลเบิร์ต
อัลเบิร์ตเป็นราชาแห่งโลกใต้ดินของโอลรัส ฮิลล์ เขาต้องมีสายแจ้งข่าวมากกว่าใคร ๆ ในเมือง
เสียงแสดงถึงความเคารพของอัลเบิร์ตดังขึ้นทันทีที่รับสาย “ปรมาจารย์เวด มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”
ชาร์ลีพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เมื่อคืนที่สถานสงเคราะห์ โอลรัส ฮิลล์ มีเด็กอายุสองถึงสามขวบจำนวน 10 คนที่ถูกลักพาตัวไปโดยผู้ค้ามนุษย์ คุณเป็นเจ้าแห่งโลกใต้ดินมานานแล้ว ช่วยผมหาหน่อยว่ามีใครแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อเด็กหรือสอบถามเกี่ยวกับเด็กมาบ้างไหม”
หลายกรณีสามารถแก้ได้ ไม่ใช่เพราะประสิทธิภาพของผู้สืบสวนหรือเครื่องมือสืบสวนที่มีเทคโนโลยีสูงที่พวกเขาติดตั้ง แต่เพราะอาชญากรได้ทิ้งเบาะแสสำคัญไว้ในกลุ่มของตน
ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนถูกฆ่าตาย ตำรวจจะเริ่มการสอบสวนโดยระบุศพ และดำเนินการต่อจากที่นั่น แต่คนในโลกใต้ดินจะรู้ว่าใครคือศัตรูของเหยื่อ เขาเคยมีปัญหาอะไรมาบ้าง และใครน่าจะเป็นฆาตกร
อีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อมีคนทำรถหายในพื้นที่ และแจ้งความกับตำรวจ ตำรวจมักจะเริ่มสอบสวนว่ารถอยู่ที่ไหน ล่าสุดเห็นที่ไหน รถหายที่ไหน และใครติดต่อกับรถ ล่าสุดอิงจากกล้องวงจรปิด
อย่างไรก็ตาม หากคุณนำคดีนี้ไปแจ้งกับคนในโลกใต้ดิน พวกเขาจะเริ่มต้นทันทีโดยระบุตัวขโมยรถหรือใครก็ตามที่รับผิดชอบในการขายของที่ขโมยมา และคนที่เห็นรถเป็นครั้งสุดท้ายคือใคร โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาจะได้รับคำตอบที่แน่นอนในทันที
ที่สำคัญที่สุด โลกใต้ดินมีกฎเกณฑ์ และคำสั่งเป็นของตัวเอง การได้คำตอบไม่เท่าการไปถามใคร แม้ว่าคนวงในต้องการข้อมูลบางอย่าง แต่สถานะ และชื่อเสียงของเขาต้องตรงกับข้อมูลที่เขาค้นหา ไม่อย่างนั้ ความพยายามของเขาจะไม่เกิดผล
ตัวอย่างเช่น ถ้าคนธรรมดา ๆ ต้องการรู้ว่าอัลเบิร์ตทำธุรกิจประเภทใดอยู่ เขาพบใครมาบ้าง หรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ เขาจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าอัลเบิร์ตอยากรู้ว่าคนคนนั้นกำลังทำอะไรอยู่เมื่อไม่นานมานี้ และใครที่เขาติดต่อด้วยบ่อย ๆ มันจะง่ายเหมือนการดีดนิ้ว และลูกน้องของเขาจะได้คำตอบสำหรับตัวพวกเขาเอง
อัลเบิร์ตรู้ว่าชาร์ลีเติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงรู้ด้วยว่าชาร์ลีจะต้องโกรธมากที่มีเด็กโดนลักพาตัวจากสถานสงเคราะห์ ดังนั้นเขาจึงรีบดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ทันที
สิบนาทีต่อมา อัลเบิร์ตได้รับข้อมูลสำคัญชิ้นหนึ่ง
ชายคนหนึ่งชื่อว่ากิบสัน ลิตเติ้ล ได้ไปถามว่าเขาสามารถซื้อเด็ก ๆ ได้จากที่ไหนในโอลรัส ฮิลล์ได้บ้าง ในขณะที่เขากำลังเที่ยวกับเพื่อนของเขา
ชาร์ลีรีบถามอย่างเร่งรีบ “ใครคือกิบสัน ลิตเติ้ล?”
อัลเบิร์ตตอบว่า “เขาเป็นคนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวของเขามีส่วนร่วมในธุรกิจสีเทาแบบนี้ด้วย ก่อนที่เขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ เขาได้เข้าร่วมในงานที่ผิดกฎหมายและอาชญากรรมมากมาย ตั้งแต่การโจรกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ การปล้นอาวุธ ไปจนถึงการลักพาตัว คนคนนี้สามารถทำได้ทุกอย่างตราบเท่าที่เขาหาเงินได้”
“ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เด็กคนนี้และครอบครัวของเขาเริ่มมีส่วนร่วมในธุรกิจซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ และทำเงินได้บ้าง พวกเขาแอบเข้าไปในโรงภาพยนตร์ด้วยกล้องวิดีโอเพื่อบันทึกภาพยนตร์อย่างลับ ๆ จากนั้นก็คัดลอกลงในซีดีแล้วขายให้กับผู้คน ธุรกิจพวกเขาได้เริ่มต้นในเวลานั้น”
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง หัวหน้ามาเฟียได้ลงทุนในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ และมันถูกบันทึกลงในซีดีละเมิดลิขสิทธิ์ทันทีที่ออกวางจำหน่าย ต่อมาหัวหน้ามาเฟียสั่งให้คนตัดมือเด็กคนนี้ตั้งแต่นั้นมา เด็กคนนี้และครอบครัวก็ไม่กล้าที่จะทำธุรกิจนี้อีกเลย และเปลี่ยนไปโฟกัสที่การลักลอบขนสินค้า นั่นคือการค้ามนุษย์แทน”
“พวกเขาเชี่ยวชาญในการค้าเด็กและเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ส่วนใหญ่จะส่งเด็กไปยังกลุ่มขอทานในภาคใต้ บางครั้งพวกเขาลักพาตัวและเช่าเด็กเหล่านี้ให้กับองค์กรเหล่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ ตำรวจได้ดำเนินภารกิจกู้ภัยพิเศษ โดยมุ่งเป้าไปที่องค์กรที่ควบคุมเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเหล่านี้ และพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือเด็กจำนวนมาก ดังนั้นตอนนี้กลุ่มขอทานจึงพยายามซื้อเด็กมาอีกครั้ง และไอ้เด็กกิบสันคนนี้คือคนที่กำลังหาและส่งเด็ก ๆ ให้กับพวกเขา”
ชาร์ลีถามอย่างเย็นชาว่า “นายกำลังพูดว่าเด็กคนนี้ และครอบครัวของเขาทำธุรกิจค้ามนุษย์เหรอ?!”
“ใช่แล้วครับ!” อัลเบิร์ตตอบ “ทั้งหกคน พ่อแม่ของเขา พี่ชายสองคนและน้องสาว พวกเขาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ชาร์ลีกัดฟันด้วยความตกใจ “ไอ้เวรเอ๊ย! ไอพวกกากเดนสังคม!”
จากนั้นเขาก็ถามต่อว่า “อัลเบิร์ต นายรู้ไหมว่าตอนนี้พวกเด็ก ๆ อยู่ที่ไหน? ฉันอยากรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขาในสองวันที่ผ่านมา ทำอะไร ที่ไหน กับใคร ทุก ๆ อย่าง!”
อัลเบิร์ตตอบว่า “รับทราบครับ ผมจะขอให้คนของผมถามให้ทั่ว ผมจะได้คำตอบเร็ว ๆ นี้!”