กลลวง นายสุดเท่ห์ ชาร์ลี เวธ - บทที่ 1150
กลลวง นายสุดเท่ห์ ชาร์ลี เวธ บทที่ 1150
เลียม วีเวอร์หนาวสั่นพร้อมกับพยามจะสูดน้ำมูกเข้าไป และเพื่อเป็นการปิดบังตำแหน่งที่รวมกลุ่มกันอยู่ตรงนั้น เฮลิคอปเตอร์ที่พาพวกเขาทั้งสี่ขึ้นไปบนยอดเขากอลมินจึงต้องจากไป ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็อาจใช้เฮลิคอปเตอร์เป็นที่กำบัง เพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายได้
หลังจากรออยู่ไม่กี่นาที ชาร์ลี เวดก็มองเห็นแสงไฟส่องสว่างบนถนนสู่ยอดเขาที่มีลมแรง แสงสว่างนั้นมาจากรถยนต์สองคันซึ่งกำลังขับขึ้นไปบนเขา
ไอแซคก็มองเห็นลำแสงจากรถยนต์เหมือนกัน จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนว่า “นายน้อยครับ นั่นน่าจะเป็นไอ้พวกนั้น!”
ชาร์ลีพยักหน้าแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “รอมาตั้งนานจนเกือบหลับไปแล้วนะ”
อัลเบิร์ตชักปืนออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกัดฟันกรอด “ให้ตายสิ! วันนี้ฉันจะได้เห็นความเจ๋งของไอ้พวกแปดผู้ยิ่งใหญ่ซะที!”
ชาร์ลีตอบอย่างไม่สนใจว่า “อัลเบิร์ตเก็บปืนซะ ไม่มีประโยชน์จะใช้กับพวกนั้นหรอก”
อัลเบิร์ตยืนตัวตรงและเริ่มจะเข้าใจในทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ในอดีตเขาเคยเห็นปรากฏการณ์อันเหลือเชื่ออย่างนี้มาก่อน ซึ่งก็รวมถึงการที่ชาร์ลีเป็นผู้บงการสายฟ้าด้วย ฉะนั้นด้วยการฝึกวิชาที่มากพอ จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ลูกกระสุนจะทำอะไรคนบางคนไม่ได้
ไอแซคถามว่า “นายน้อยครับ เราจะทำอย่างไรต่อไปดี? ได้โปรดอย่าลังเลที่จะสั่งเราถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ”
ชาร์ลียิ้มอย่างอ่อนโยน “พวกคุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ยืนอยู่ข้างหลังผมก็พอ”
อัลเบิร์ตโพล่งคำถามออกมาอย่างรวดเร็ว “ปรมาจารย์เวดครับ ทำไมคุณไม่เรียกสายฟ้าออกมาผ่าเปรี้ยงปร้างสักสองสามที แล้วผ่าไอ้พวกแปดผู้ยิ่งใหญ่นั่นให้เป็นผุยผงเหมือนไอ้แจ็ค เยลแมนเลยล่ะครับ?”
ชาร์ลีหัวเราะเบาๆ “ฉันเบื่อที่ต้องฟาดฟันผู้คนด้วยสายฟ้าฟาด แถมวันนี้ผู้ร่วมวงยังเป็นยอดนักรบอีก ฉันควรใช้โอกาสนี้เป็นช่วงเวลาซ้อมมือสักหน่อยก็พอ”
ไอแซคไม่เคยเห็นชาร์ลีฟาดสายฟ้าใส่แจ็คในอดีตมาก่อน และทุกสิ่งอย่างที่ไอแซครู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้น ก็เป็นการบอกเล่าจากปากต่อปาก อย่างไรก็ตาม ไอแซคก็รู้สึกว่าสายฟ้าฟาดอาจเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะเขาไม่เคยเห็นใครสามารถควบคุมสายฟ้าฟาดได้มาก่อน
ตระกูลเวดรู้จักผู้คนที่มีพรสวรรค์อันเหลือเชื่ออย่างนี้มากมาย แต่ไม่เคยได้ยินว่าใครมีพลังวิเศษแบบนี้มาก่อน
ตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องไปที่รถยนต์สองคัน ซึ่งกำลังแล่นไปตามถนนบนภูเขาที่มีลมแรง เมื่อรถสองคันนั้นแล่นเข้ามาในระยะใกล้ ชาร์ลีก็เดินออกไปที่กึ่งกลางถนน และเริ่มเดินลงไปยังรถที่กำลังแล่นขึ้นมา
ส่วนที่เหลืออีกสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วรีบวิ่งตามชาร์ลีไป
เอมิเลียโน่ซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับรู้สึกทำท่าจะหลับมิหลับแหล่ แต่คนขับมองไปที่เขาซึ่งเป็นผู้ขับรถร่วมกัน แล้วพูดว่า “พี่ชาย เราใกล้จะถึงแล้วครับ”
เอมิเลียโน่ตอบกลับด้วยคำถามอย่างรวดเร็ว “อีกไกลแค่ไหน?”
“ผมเดาว่าอีกประมาณห้ากิโลเมตรครับ”
เอมิเลียโน่บิดตัวเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงบ่นพึมพำ “ในที่สุดเราก็ใกล้จะถึงแล้ว พี่น้องทุกคนโปรดระวังตัวด้วย ไม่ว่าศัตรูของเราจะอ่อนแอสักแค่ไหน เราก็ไม่ควรประมาทโดยเด็ดขาด”
สมาชิกรุ่นน้องคนหนึ่งของเขานำเครื่องรับส่งวิทยุออกมา แล้วพูดว่า “ทุกคนเตรียมตัว เราใกล้จะถึงที่หมายแล้ว!”
รถคันที่อยู่ด้านหลังได้รับข้อความนั้น แล้วตอบกลับมาว่า “รับทราบ เราทำการอุ่นเครื่องพร้อมแล้ว”
รถยนต์สองคันยังคงแล่นต่อไป แต่ขณะที่กำลังเลี้ยวโค้งอยู่นั้น ไฟรถได้ส่องไปที่เค้าโครงของคนที่กำลังยืนอยู่กลางถนน
คนขับที่นั่งอยู่ข้างเอมิเลียโน่พลันตื่นตระหนกและร้องตะโกนออกมาว่า “ไอ้บ้าเอ๊ย! นั่นมันคนหรือผีกันแน่วะ?”