กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 137-138
บทที่ 137 ขโมยอีกครั้ง
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบความสำเร็จ
แม้ว่าเขาจะไม่อาจล้มล้างอาณาจักรนี้ได้เพราะว่าเขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานในใจมากถึงเพียงนั้น
แต่ก็ยังคงเป็นไปได้ที่เขาจะกลายเป็นผู้ปกครองภูเขาและเป็นเจ้าเมือง
เมื่อเขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่รัฐบาลจักรวรรดิจะไม่คิดที่จะกำจัดเขาแต่อย่างใดแต่เป็นคำสั่งของจักรวรรดิ
ในเวลานั้นถ้าเขาไม่ต้องการก่อกบฏเขาก็สามารถยอมรับคำสั่งของจักรพรรดิได้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ผู้คุ้มกันชิวก็รู้สึกว่าเลือดของเขาเดือดพล่าน
ในปีนี้มีคนจำนวนมากที่ไม่มีที่อยู่อาศัยและอดอยากตราบเท่าที่ถ้าเขาสามารถทำให้พวกเขามีกินและมีอยู่ได้ก็จะมีคนจำนวนมากที่จะมาหาเขา
แน่นอนว่าทุกอย่างต้องยากลำบากในช่วงแรกเพราะเขาไม่มีเงินในมือเลยในตอนนี้และไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ
ถ้าเขาคิดที่จะก่อกบฏนั่นก็คงเป็นเรื่องเพ้อฝันดังนั้นเขาต้องกำจัดสองสิ่งนี้เสียก่อน
เพื่อหารายได้ในช่วงเวลาสั้นๆผู้คุ้มกันชิวไม่ได้มีวิธีการที่มากมายนัก
สำหรับเงินทุนตั้งต้นที่เขาคิดได้ก็คือขโมยมันมา แต่โชคดีที่ในตอนแรกมีคนติดตามเขาน้อยลงและความต้องการเงินก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น
เมื่อมีคนมาเข้าข้างเขามากขึ้นเขาก็จะสามารถนำเงินเหล่านี้มาใช้จ่ายได้มากเท่าที่เขาต้องการ
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ในภายหลังผู้คุ้มชิวก็ไม่มีอารมณ์ที่จะกินอีกต่อไป
ในเวลานี้ผู้คุ้มกันของที่ปรึกษากระทรวงจางที่ไล่ล่าเขามาตลอดเวลาได้จากไปแล้ว
เมื่อท้องฟ้าค่อยๆมืดลงผู้คุ้มกันชิวได้มองหาบ้านสองสามหลังเพื่อเป็นเป้าหมาย
บ้านเหล่านี้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประตูสูงและสนามหญ้าขนาดใหญ่นั้นต้องร่ำรวยอย่างแน่นอน
แต่บ้านหลังนี้มีต้องความสามารถในการป้องกันตัวเองอย่างแน่นอนและความเป็นไปได้ที่จะมีผู้คุ้มกันที่เข้มงวด
อย่างไรก็ตามผู้คุ้มกันชิวเองก็มั่นใจในทักษะของเขาถึงแม้ว่าเขาจะล้มเหลวในการขโมยแต่ก็ไม่มีใครหยุดเขาได้
และเมื่อเขาตัดสินใจได้แล้วผู้คุ้มกันชิวก็จะไม่เปลี่ยนใจอย่างง่ายๆ
เมื่อตกกลางคืนผู้คุ้มกันชิวได้เปลี่ยนเป็นชุดกลางคืนแล้วและมาถึงลานที่เขาเลือกไว้ในตอนกลางวัน เขามองไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น
ระดับความมั่งคั่งของครอบครัวนี้คงจะใกล้เคียงกับที่ปรึกษากระทรวงจาง
สถานที่ที่เขาไปอยู่นั้นอยู่ใกล้กับสวนขนาดใหญ่ดอกไม้และต้นไม้ที่บานสะพรั่งช่วยให้เขาซ่อนตัวได้ดี ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนอื่นจะเห็นเขาได้
ขณะที่ผู้คุ้มกันชิวกำลังจะจากไปเขาก็มองเห็นแสงที่กำลังจะส่องมาที่ตัวเขา
เขาจึงได้เข้าไปซ่อนตัวในพุ่มดอกไม้เขาหวาดกลัว และมองเห็นกลุ่มคนที่ดูคล้ายกับทีมผู้ค้มกัน พวกเขาถือตะเกียงและกำลังลาดตระเวนไปทั่วบริเวณ
อย่างไรก็ตามทัศนคติในการทำงานของคนพวกนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้จริงจังนัก เพราะถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะไม่ค่อยสงบสุขนักแต่สถานที่แห่งนี้ก็ยังค่อนข้างปลอดภัย ด้วยสภาพแวดล้อมที่ดูปลอดภัยจึงทำให้พวกเขาคุ้มกันอย่างหละหลวม
เมื่อผู้คุ้มกันชิวเห็นท่าทางของคนพวกนั้นเขาก็เริ่มที่จะคิดบวกเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำในเวลานี้
ด้วยรูปร่างท่าทางของผู้คุ้มกันเหล่านั้นมันก็คงไม่เป็นไรถ้าพวกเขาจะกลัวคนธรรมดาแต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะไม่ทำให้ศัตรูได้ไหวตัวทันเขาจึงรอให้ผู้คุ้มกันทั้งหลายจากไปก่อนที่จะลุกขึ้น
เขาวิ่งวนอยู่ภายในเงามืดเพื่อมองหาทางไปสู่สนามหลังบ้าน
ในที่สุดเขาก็ไปถึงที่สนามหลังบ้านจำนวนของหน่วยลาดตระเวนที่นี่นั้นน้อยกว่าที่สนามหน้าบ้านเป็นอย่างมาก
ผู้คุ้มกันชิวมองไปที่แสงภายในบ้านทีละดวงทีละดวงแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเขาก็ทำการค้นหาอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ครอบครัวนั้นกำลังพักผ่อนและเมื่อเขาพบห้องที่มีสมบัติเก็บอยู่มันก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครเลย
ผู้คุ้มกันชิวรู้สึกมีความสุขอย่างเหลือล้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดว่ากองทหารจะสามารถทำให้เขาต้องเจอกับปัญหาได้ ซึ่งมันก็เป็นการดีที่เขาไม่โดนจับได้
หลังจากที่ผู้คุ้นกันชิวสำรวจภายในห้องแล้วเป็นเพราะว่าเขามาที่นี่เพียงลำพังดังนั้นเขาจึงขนเอาสิ่งของไปได้ไม่มากนัก
หลังจากที่หยิบฉวยสิ่งของต่างๆมาแล้ว เขาก็ได้หยิบเอาอัญมณีมาบางส่วน รวมไปถึงภาพวาดและการคัดลายมือ และมีชิ้นหนึ่งที่ค่อนข้างจะดึงดูดความสนใจของเขาเป็นพิเศษ
การคัดลายมือและภาพวาดที่ไม่ได้แขวนอยู่บนผนังแต่มันถูกเก็บอยู่ในกล่องเย็บปักถักร้อย
กล่องเย็บปักถักร้อยใบนั้นดูพิเศษมากแต่ในตอนนี้มันถูกใช้เพื่อเก็บภาพวาดและการคัดลายมือบางส่วน
ก่อนที่เขาจะมองดูรอบๆอย่างระมัดระวัง เขาก็พบว่ามันไม่เหมาะถ้าเขาจะอยู่ที่นี่นานเกินไป หลังจากที่หยิบฉวยสิ่งของได้แล้ว ผู้คุ้มกันชิวจึงหลบหนีไป
หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินออกไปจากสนามและกลับไปยังที่พักชั่วคราวของเขาและเขาใส่ทุกอย่างเข้าไปในอกเสื้อของเขา
เมื่อมองดูข้าวของที่วางอยู่เต็มโต๊ะอารมณ์ของผู้คุ้มกันชิวก็ดีเป็นอย่างมาก
ผู้คุ้มกันชิวไม่ได้เข้านอนในทันทีแต่เตรียมตัวเดินทางอีกครั้ง
เพราะว่ามันยังพอมีเวลาและก็ยังไม่ดึกเกินไปนักซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่จะทำเช่นนั้น
สำหรับข้าวของที่เขาขโมยมานั้นเขาก็ได้เก็บมันไว้ เผื่อว่าเขาจะเอาไปขายพรุ่งนี้ เพราะว่าเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกลและเขาก็เพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่จึงไม่มีใครสังเกตเขา
ผู้คุ้มกันชิวออกไปเพื่อทำงานของเขาต่อและไม่ทันได้สังเกตให้ดีว่าภาพวาดที่อยู่ในกล่องเย็บปักถักร้อยนั้นได้มีแสงวาบเกิดขึ้นก่อนที่มันจะหายไป
และได้มีภาพวาดที่ดูแตกต่างมาแทนที่มันและยิ่งไปกว่านั้นภาพวาดนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นงานของใครสักคนที่ไม่ได้รู้เกี่ยวกับการวาดภาพเลยและยังเป็นผลงานที่แย่มากอีกด้วย
มันเป็นเพียงแค่กระดาษชิ้นหนึ่งเป็นเพียงแค่กระดาษบางๆ ชิ้นหนึ่ง
ในคืนนั้นผู้คุ้มกันชิวได้ขโมยของมาสามสิ่งก่อนที่เขาจะจากมา
เขาไม่คิดว่าการที่เขาจะไปขโมยของมานั้นมันจะง่ายดังนั้นเขาจึงหยิบมาเพิ่ม
เขารู้ว่าสถานการณ์นี้จะไม่ยั่งยืนเมื่อข่าวขโมยนี้แพร่ออกไปในวันพรุ่งนี้จากทั้งสามตระกูล ตระกูลอื่นๆ ในเมืองนี้ก็จะระวังตัวมากขึ้น
ถึงแม้ว่าเขาจะย้ายไปที่อื่นแต่ก็ยังมีหลายครั้งที่เขาได้ทำผิดพลาด
นอกจากนี้การเป็นขโมยไม่สามารถทำได้ในที่โล่งการเป็นกบฏย่อมจะดีกว่า ถ้าเขามีเงินมีฐานะและมีลูกน้องมากมาย แค่คิดถึงมันก็ทำให้เขารู้สึกดีแล้ว
บทที่ 138 ไม่ให้ความร่วมมือ
“มันเป็นใคร?!”มันเป็นใครกันแน่? ใครกันที่มีความสามารถซ่อนตัว ที่มักจะซ่อนหัวและแสดงหางของเขา เขาเป็นตัวประหลาดแบบไหนกัน!”
เสียงตะโกนที่รุนแรงด้วยความโกรธดังออกมาจากห้องของผู้คุ้มกันชิวโชคดีที่เขาอาศัยอยู่ในที่เปลี่ยวไม่เช่นนั้นแล้วเสียงที่ดังเช่นนั้นคงจะทำให้เพื่อนบ้านตื่นเป็นแน่
ผู้คุ้มกันชิวรู้สึกเหมือนเขากำลังจะเป็นบ้าเขาคิดที่จะหนีไปยังเมืองอื่น ซึ่งเขาจะสามารถหนีไปจากผู้ติดตามไล่ล่าเขาได้
ความจริงแล้วเขาก็หลบหนีจากการไล่ล่าอของผู้คุ้มกันจากจวนของที่ปรึกษากระทรวงจางจริงๆ นั่นแหละ
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครตามเขามา
ประเด็นสำคัญก็คือเขาไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนและทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกหนาวจับใจ
ถ้าอีกฝ่ายต้องการจะเข้าโจมตีเขาด้วยทักษะของคนเหล่านั้น เขาก็คงจะไม่มีโอกาสที่ต้านทานได้ และไม่แม้แต่ที่จะสังเกตเห็นพวกนั้น
ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่รอบๆตัวเขา แต่ผู้คุ้มกันชิวยังคงเดินวนไปรอบๆ ห้องด้วยความโกรธเคืองและรำคาญ ราวกับว่าเขากำลังถูกจับตามองอยู่รอบๆ และเขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
เหตุผลที่ว่าทำไมผู้คุ้มกันชิวถึงได้รู้สึกว่ามีคนตามเขามาและมีคนจับจ้องอยู่ก็เพราะว่าตอนที่เขากลับจากบ้านหลังที่สามเขาก็คิดได้ว่าเขาลืมบางอย่างซึ่งนั่นก็คือกล่องเย็บปักถักร้อย
ในเวลานั้นเขามีความสุขมากขณะที่เปิดกล่องเย็บปักถักร้อยออกและเตรียมที่จะหยิบภาพวาดออกมาเชยชมอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดเลยว่าภาพวาดนั้นจะอยู่ๆก็หายไปและกลายเป็นภาพวาดกะโหลกกะลาวางไว้แทนที่
ทันใดนั้นผู้คุ้มกันชิวก็หวนคิดถึงพระหยกและไข่มุกราตรีที่เขาขโมยมาจากจวนที่ปรึกษากระทรวงจาง
และในตอนนี้ของสองสิ่งก็ได้ถูกขโมยไปอย่างไร้ร่องรอยดังนั้นเมื่อเขาเอาทุกอย่างมาปะติดปะต่อกัน เขาก็คิดว่ามันต้องเป็นการกระทำของคนๆ เดียวกันอย่างแน่นอน
ดูเหมือนว่านิสัยพิเศษของอีกฝ่ายจะแสดงออกมาอีกครั้งและนั่นก็คือเขาจะขโมยเพียงสิ่งเดียวทุกครั้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ขโมยไข่มุกราตรีในครั้งนี้ แม้ว่าจะขโมยเพียงอย่างเดียวทุกครั้ง แต่ถ้าเขาเพิ่มจำนวนครั้งเขาก็จะต้องสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน
ผู้คุ้มกันชิวมองไปรอบๆอย่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด้านนอก เขากลัวว่าอยู่ๆ เจ้าหน้าที่จากจวนจะโผล่เข้ามา
เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นสามารถที่จะขโมยของๆเขาได้อย่างเงียบๆ มาตลอด
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกไล่ล่ามาตลอดทางดังนั้นการฆ่าเขาก็ไม่ใช่งานยากสำหรับพวกเขาและขณะเดียวกันถ้าพวกนั้นไปแจ้งเจ้าหน้าที่เขาก็คงจบเห่
โชคดีที่หลังจากที่สังเกตอยู่สักครู่เขาก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ที่ด้านนอก
หลังจากนั้นผู้คุ้มกันชิวก็ค่อยๆสงบสติอารมณ์ลง เขาเริ่มคิดถึงตัวตนและวัตถุประสงค์ของอีกฝ่าย
มันค่อนข้างยากที่จะเดาว่าอีกฝ่ายเป็นใครเพราะว่าเขาได้มาขโมยสิ่งของของเขาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยแสดงตัวออกมาเลย
และเขาก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะทำให้ทราบว่าคนนั้นเป็นใคร
อย่างไรก็ตามแรงจูงใจของอีกฝ่ายสามารถคาดเดาได้ง่ายมา
อีกฝ่ายได้ปรากฎตัวขึ้นมาสามครั้งอย่างต่อเนื่องกันและแต่ละครั้งก็ได้ขโมยของของเขาไปด้วย มันเห็นได้ชัดว่าทำไปเพื่อเงิน
ในขณะเดียวกันคนๆ นั้นก็ไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่มาจับเขา
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอันตรายอะไรเขาเลย ในตอนที่เขามาขโมยไข่มุกราตรีไปนั้น เขากำลังหลับสนิทและไข่มุกราตรีก็ถูกขโมยไปเสียอย่างนั้น
ถ้าคนที่มาขโมยไข่มุกราตรีต้องการที่จะทำร้ายเขาเขาก็คงจะตายไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นผู้คุ้มกันชิวก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าชีวิตของเขายังคงปลอดภัยอยู่ ถ้าอีกฝ่ายต้องการที่จะเอาชีวิตของเขา ก็คงจะไปแจ้งกับทางการตั้งนานแล้ว
ด้วยทั้งหมดที่กล่าวมาก็ทำให้ผู้คุ้มกันชิวปวดหัวแล้วถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตั้งใจที่จะทำอันตรายเขา แต่เขาก็ยังไม่วางใจ
เพราะว่าเขาไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยขณะที่อีกฝ่ายได้เข้ามาฉกฉวยเอาข้าวของไป
แล้วเขาจะรวบรวมเงินได้อย่างไรเขาจะทำการก่อกบฎได้อย่างไร?
ดังนั้นผู้คุ้มกันชิวจึงพูดลอยๆ กับอากาศรอบตัวว่า “ฉันสงสัยว่าถ้าผู้ที่ช่ำชองจะมาหาฉันและเราได้พูดคุยกัน และหากท่านประสงค์สิ่งใด ฉันก็เต็มใจที่จะจัดหาให้นะ”
ผู้คุ้มกันชิวกำลังตื่นตัวแต่เขาก็รอคอยอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะปรากฎตัวขึ้นมา
ในที่สุดเขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับความจริงว่าอีกฝ่ายนั้นจากไปแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตามตัดสินใจว่าคืนนี้เขาจะไม่นอนถ้าอีกฝ่ายหวนกลับมาขโมยของของเขาอีกเขาก็จะลองคุยกับอีกฝ่ายดูเผื่อจะหาลู่ทางที่เหมาะสมของทั้งสองฝ่ายได้
ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับอีกฝ่ายเลย
อย่างไรก็ตามการรอคอยของผู้คุ้มกันชิวนั้นไร้ผล เพราะเขาไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าหัวขโมยที่มาขโมยของของเขานั้นไม่ได้อยู่ในโลกนี้และก็ไม่อาจที่จะมาปรากฎตัวในตอนนี้ได้
และมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพูดคุยกับอีกฝ่ายได้
ในวันนั้นเองฮวงเฟิงไม่ได้ทำอะไรมากนักเขาแค่ทำความคุ้นเคยกับงานของแผนกรักษาความปลอดภัย
เพราะว่าก่อนหน้าที่ตอนที่อยู่ที่ออคิดบีนกรุ๊ปนั้นภาระงานด้านความปลอดภัยของโรงงานต่างๆ ที่อยู่ในสังกัดนั้นยากมาก และเขาก็ต้องดูแลงานพวกนั้น
ไม่เช่นนั้นฮวงเฟิงก็คงจะไม่วางแผนที่จะไปที่โรงงานต่างๆด้วยตัวเองและพักอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่งเป็นแน่
แน่นอนว่าฮวงเฟิงได้เตรียมที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยการใช้กำลังบังคับ การต่อกรกับอันธพาลพวกนี้มันเปล่าประโยชน์ที่จะเสียเวลาไปพูดด้วย
อย่างไรก็ตามยังไม่ใช่เวลานี้ เมื่อเขาเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับแผนกรักษาความปลอดภัยแล้ว ฮวงเฟิงก็กลับไปยังออฟฟิศเก่าของเขา ที่ที่เป็นที่พวก รปภ. ธรรดาอยู่และส่ง รปภ.ไปยังโรงงานต่างๆ ด้านล่างเพิ่มอีกสองสามคน
เพราะว่าบริษัทก็ไม่ได้มีงานมากนักแต่ รปภ. มีจำนวนมากและหลายคนก็ว่างมาก
มันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้นในบริเวณนี้
แต่เห็นได้ชัดว่าที่ด้านล่างนั้นสำคัญกว่าและพวกเขาต้องการความปลอดภัยมากกว่านี้
ดังนั้นฮวงเฟิงจึงสามารถทำได้เพียงย้ายพวกเขาไปทำงานในเวลาที่ควรจะเป็นและนำพวกเขากลับมาหลังจากที่หลายอย่างในโรงงานลงตัวแล้ว
เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในแผนกรักษาความปลอดภัยจะไม่ให้ร่วมมือกับการปรับตัวง่ายๆเช่นนี้
”ผู้จัดการฮวงฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ดังนั้นฉันอาจจะไม่สามารถไปที่โรงงานได้ ฉันกำลังจะขอลางานอยู่เหมือนกัน” ฮวงเฟิงจำได้ว่าเขาคนนั้นชื่อ หยางกวาง
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาดูแล้ว สหายคนนี้ได้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง