กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 145-146
บทที่ 145 บุก
อย่างมากครั้งต่อไปที่เขาพบชายที่น่ารำคาญคนนั้นเขาจะไม่บอกลูกพี่ของเขา ไม่มีอะไรต้องกลัวสำหรับคนที่ขี้ขลาดยิ่งกว่าเหลาหยู
ชายหนุ่มจะได้รู้ในเร็วๆนี้ว่าทำไมเขาถึงได้กลัวและคำเตือนของพี่เปียวนั้นถูกต้อง แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
เมื่อเขาพูดจบก็มีเสียงอื้ออึงดังมากจากด้านนอกตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน
“เกิดอะไรขึ้น?!”พี่เปียวถามลูกน้องของเขา
ในเวลานี้ที่ด้านนอกของบาร์ยังไม่ได้เปิดให้บริการดังนั้นจึงไม่น่าจะมีใครเข้ามาได้
เสียงฝีเท้าเสียงกรีดร้อง เสียงตะโกนและแม้แต่เสียงการต่อสู้ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
มีใครบางคนกำลังก่อเรื่องแล้ว!
นี่คือความคิดแรกที่แว่บเข้ามาในใจของพี่เปียวและชายหนุ่มพวกเขาไม่คุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้
พวกเขาเคยไปที่อื่นเพื่อก่อกวนและแน่นอนว่าพวกเขามีแต่ไประรานคนอื่นแต่ในเวลาเช่นนี้ ความแข็งแรงของพี่เปียวได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและไม่มีใครกล้าที่จะมาสร้างปัญหาให้เขาถึงที่เช่นนี้ พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีใครมาในวันนี้
“ไปกันเถอะออกไปดูข้างนอกด้วยกัน” พี่เปียวลุกขึ้นยืนและพูดขึ้นมา แล้วลูกน้องของเขาทั้งหมดที่อยู่ในห้องก็พากันลุกขึ้นยืน
แต่ก่อนที่พี่เปียวจะทันได้ออกไปข้างนอกประตูของห้องส่วนตัวก็ถูกกระแทกให้เปิดออกและลูกน้องตัวเล็กของเขาก็ลอยเข้ามาจากทางด้านนอก
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เพราะเขาลอยเข้ามาเองแต่มีใครบางคนได้ถีบเขาเข้ามา
พี่เปียวเดินทะลุประตูที่ถูกกระแทกให้เปิดออกและมองดูเหตุการณ์ด้านนอก
ลูกน้องของเขาหลายคนถูกน๊อคกองอยู่บนพื้นส่งเสียงครวญครางและกรีดร้อง
สภาพโดยรอบถูกทุบจนกระจายและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบาร์หลายคนที่ถูกน๊อคจนล้มลงกับพื้น
ใบหน้าของพี่เปียวหม่นลงทันทีนี่เป็นสถานการณ์ด้านเดียวโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เขาจะรับลูกน้องมาอย่างไม่จำกัดจำนวนและไม่ได้เข้มงวดเหมือนเมื่อก่อน และความแข็งแกร่งของลูกน้องทั้งหมดนั้นก็อยู่ในระดับปานกลาง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้
ในเวลานี้มีชายหนุ่มสองสามคนเดินเข้ามาจากด้านนอกและขวางประตูเอาไว้พี่เปียวและลูกน้องของเขาไม่มีทางที่จะออกไปได้
ชายหนุ่มที่นำมากำลังเคี้ยวหมากฝรั่งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
หลังจากที่เดินเข้ามาเขาก็ตรงเข้าเหยียบเข้าที่ใบหน้าของลูกกระจ๊อกของพี่เปียวและเตะเขาจนกลิ้งไปสองสามรอบทำให้ลูกน้องคนนั้นถึงกับร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด
“พวกแกเป็นใครกัน?”แม้ว่าจะมีคนของเขาอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ต่อต้านได้
ที่นี่มีคนยี่สิบถึงสามสิบคนและเนื่องจากอีกฝ่ายเตรียมการในวันนี้มาดีจึงเป็นที่ยอมรับว่าเขาไม่สามารถที่จะเอาชนะพวกเขาได้เขาอยากรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายแล้วจึงนำคนของตัวเองไปแก้แค้น
“นี่แกคิดว่าแกมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรู้จักพวกเราอย่างนั้นหรือ?”ชายหนุ่มถ่มหมากฝรั่งในปากของเขาใส่หน้าของลูกน้องพี่เปียวที่กองอยู่บนพื้น จากนั้นก็มองมาที่พี่เปียวด้วยสายตาเหยียดหยัน
“พวกเราไม่รู้จักกันมาก่อนใช่ไหม? พวกเราไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน แล้วทำไมพวกแกถึงได้มาทำร้ายคนของฉัน?” พี่เปียวถาม
“ฮ่าฮ่า”ชายคนนั้นหัวเราะและจากนั้นก็ชี้ไปที่พี่เปียวและพูดว่า “
“ปกติแล้วพวกเราไม่เคยรังแกใครก่อนนะถ้าไม่ใช่การต่อสู้กัน?แกคงจะไม่ใช่ไก่อ่อนที่ไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”
พี่เปียวพูดอะไรไม่ออกเขารู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นถูกต้อง แต่ในเวลานี้เขายังไม่ได้รับทราบข่าวอะไรเลยแม้แต่น้อยและอยู่ๆ ก็โดนระเบิดลง
“พอได้แล้วหยุดคิดมั่วซั่วได้แล้ว ไม่เป็นไรงั้นฉันจะบอกแกให้นะ แต่แกจะยังอยากไปแก้แค้นพวกเราหรือเปล่าล่ะ?” ชายหนุ่มที่นำทีมมากล่าว “อย่างไรก็ตาม พวกเราจะให้เกียรตินี้แก่แกก่อน!”
จากนั้นแค่เพียงเขาโบกมือ คนสองสามคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็เร่งตรงเข้ามาหาพี่เปียวและคนที่เหลือ
เขาไม่ได้นำคนมาด้วยมากมายแต่สามารถที่จะเอาชนะลูกน้องของพี่เปียวกว่ายี่สิบสามสิบคนได้ เขาต้องมีพลังมากจริงๆ
ในตอนนี้พี่เปียวยังคงมีลูกน้องอีกสองสามคนอยู่ข้างๆ เขา แต่ครึ่งหนึ่งของพวกเขาล้มลงกับพื้นทันทีที่พวกเขาสัมผัสกัน
ชายหนุ่มที่ติดตามพี่เปียวมาตลอดตอนนี้หน้าซีดไปหมดด้วยความหวาดกลัว
มันคงไม่เป็นไรที่เขาจะสอนบทเรียนให้คนธรรมดาแต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เพียงพอสำหรับเขาที่จะเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้
โดยปกติเมื่อเขาพบการชกต่อยเขาก็จะไปซ่อนตัวอยู่ไกลๆหรือตะโกนพร้อมกับโบกธงไปด้วย
“อย่าตีฉันเลยฉันเป็นผู้บริสุทธิ์นะ ฉันเป็นแค่ลูกน้องของพี่เปียว มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันเลย”
เมื่อชายหนุ่มเห็นว่ามีใครบางคนกำลังวิ่งตรงมาหาเขา
เขาก็คุกเข่าลงทันทีและร้องขอความเมตตา
ช่างเป็นคนที่ขี้ขลาดอะไรเช่นนี้แล้วยังจะกล้ามาเป็นอันธพาลอีกงั้นหรือ?
นี่เป็นเรื่องน่าอับอายอย่างยิ่งการเป็นจิ๊กโก๋เป็นเรื่องธรรมดา มักจะเอาเปรียบคนอ่อนแอกว่า
แต่นี่เป็นอย่างอื่นโดยสิ้นเชิงคนที่อ่อนแออย่างเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
แม้ว่าคนรอบข้างจะมองมาที่เขาด้วยความรังเกียจแต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจ
เขาเห็นแล้วว่าคนที่มาในวันนี้แข็งแกร่งมากและเขารู้ดีว่าถ้าเขาขืนสู้ก็เท่ากับเขารนหาที่ตาย
ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าอย่างน้อยเขาอาจจะต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสักพัก
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการที่จะทุกข์ทรมานจากเรื่องทั้งหมดนี้นอกจากนี้เขาได้วางแผนไว้แล้วในใจว่าตอนนี้พี่เปียวอาจจะโกรธเขา
แต่สมองของพี่เปียวไม่ค่อยดีนักแต่ถ้าเขาหว่านล้อมไปเรื่อยๆ เขาก็จะรอดตัวจากเรื่องนี้ไปได้
ถ้าเขาสามารถผ่านการทดลองนี้ได้อย่างง่ายดายแน่นอนว่าเขาไม่เต็มใจที่จะได้รับความเจ็บปวด
เมื่อคนที่มาจากข้างนอกเห็นเขาทำตัวขี้ขลาดขนาดนี้พวกเขาก็ไม่อยากเอาชนะเขาอีกต่อไป
พวกเขาหันไปจัดการกับคนอื่นๆก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาหวนกลับมาทำร้ายเขาหรือไม่
ทีละคนที่อยู่รอบๆพี่เปียวนั้นถูกทุบจนร่วง แต่พี่เปียวเองก็ยังคงยืนหยัดหยู่ เขารู้สึกละอายใจมากที่ลูกน้องของเขาคุกเข่าอ้อนวอนขอการให้อภัย ทำไมเขาต้องยอมรับลูกน้องแบบนี้?
เมื่อเขาคิดว่าฮวงเฟิงและเทียนจุ้นเพิ่งจะมาที่นี่ได้อย่างไรนั่นก็เพราะลูกน้องคนนี้หักหลังเขาและไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวกับสองคนนั้น พี่เปียวรู้สึกโกรธเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
“เมื่อเรื่องนี้จบลงฉันจะขับไล่เขาไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” พี่เปียวกล่าวอย่างดุเดือดในใจ
ดังนั้นเขาจึงเป็นคนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่อย่างไรก็ตามผู้คนรอบตัวเขาก็ล้มลงทีละคน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้สูญเสียเลยแม้แต่คนเดียว
พี่เปียวรู้ดีว่าวันนี้เขาได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและบางทีเขาก็อาจจะพ่ายแพ้
เพียงแค่นั้นก่อนที่พี่เปียวจะคิดจบเขาก็เห็นร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
เขายกมือขึ้นเพื่อที่จะปัดป้องแต่เขาก็ถูกคนนั้นเตะจนลอยออกไป!
บทที่ 146 ต้องการขาของแก
“เขาทนไม่ได้แม้แต่หมัดเดียวด้วยซ้ำ!”ร่างนั้นยังคงยืนอยู่กับที่และปากของเขาก็เต็มไปด้วยคำพูดเยาะเย้ย
คำพูดซึ่งปกติแล้วจะต้องเป็นคำพูดของพี่เปียว
พี่เปียวไออยู่สองสามครั้งบนพื้นและพยายามที่จะลุกขึ้นยืน
อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังยกร่างของเขาขึ้นน ร่างนั้นก็พุ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้งและเตะเข้าที่ศรีษะของเขา
เวลานี้เขาไม่มีโอกาสที่จะปัดป้องเขาจึงโดนเตะ ร่างของเขาไถลไปกับพื้นเป็นระยะไกล
“พี่เปียว!”
“พี่เปียว!”
แน่นอนนอกเหนือไปจากชายหนุ่มที่คุกเข่าในตอนแรก เขาก็ไม่กล้าที่จะมองพี่เปียว
หัวใจของเขายิ่งสับสนมากขึ้นประการแรกเพราะความโหดเหี้ยมของอีกฝ่าย และประการที่สองเพราะพี่เปียวได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ยิ่งถูกทุบตีก็ยิ่งรู้สึกแย่และหลังจากนั้นเขาก็จะยิ่งไม่ได้รับการให้อภัย!
พี่เปียวเหงื่อออกมากเขารู้สึกว่าคอของเขากำลังจะแตก
ในเวลานี้ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำเข้ามาอยู่ข้างๆเขาอีกครั้งและแววตาแห่งความกลัวก็ฉายผ่านดวงตาของพี่เปียว
ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถรับมือได้ถ้าเทียนจุ้นยังอยู่ที่นี่เขาอาจจะสู้ได้แต่พี่เปียวเองก็รู้สึกว่าชายคนนี้แข็งแกร่งกว่าเทียนจุ้นมากนัก
“เพียะ!”ชายคนนั้นก้าวขึ้นไปเหยียบเข้าที่หน้าของพี่เปียวและจากนั้นก็ออกแรงบิดเอวของเขา
เขามองดูพี่เปียวและพูดว่า“เป็นไงบ้างล่ะ? รู้สึกดีไหมที่ถูกเหยียบแบบนี้?”
“แกต้องการอะไร?”พี่เปียวถาม
“ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?คนของแกชอบเหยียบบนหน้าคนอื่นแบบนี้ไม่ใช่เหรอไง? ฉันก็กำลังเหยียบหน้าแกอยู่ตอนนี้และดูสิว่าแกรู้สึกดีไหม แกควรจะบอกฉันสิว่ามันดีหรือเปล่า” ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเบาและนุ่มนวล
“ฉันไม่รู้ว่าแกหมายถึงอะไร”
“ไม่รู้งั้นเหรอ?ฮ่าฮ่า แกไม่รู้งั้นเหรอ?!” ชายหนุ่มออกแรงกระทืบหนักกว่าเดิม ทำให้ใบหน้าของพี่เปียวบิดเบี้ยว
“แกจะไม่รู้ได้ยังไงเล่า!เมื่อวานนี้คนของแกเก่งนักไม่ใช่เหรอ? ถ้าแกกล้าที่จะต่อสู้แม้แต่กับนายน้อยถง แกก็คงจะเก่งพอตัว ในมณฑลชิงนี้ฉันไม่เคยเห็นใครเจ๋งเท่าแกมาก่อนเลย!”
“นายน้อยถง?นายน้อยถงคนไหน?”
หัวใจของพี่เปียวเต้นไม่เป็นจังหวะหรือว่าพวกเขาจะกลายเป็นปรปักษ์กับนายน้อยถงไปแล้วจริงๆ ซึ่งถงเฉียนนั้นไม่ได้มีความสามารถมากนักและรู้แค่วิธีที่จะจีบสาวเท่านั้น แต่เขามีพ่อที่ดีและเขาก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็มองไปที่ลูกน้องคนที่ก่อนหน้านี้ได้บอกว่าเขาได้ทำร้ายชายคนหนึ่งที่มีนามสกุล ถง เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นคนเดียวกัน?
ในเวลานี้ชายหนุ่มได้สิ่งที่อีกฝ่ายพูด หัวใจของเขาก็เต้นรัว หรือว่านี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ?
เมื่อวานนี้เขาได้ทำร้ายคนที่นามสกุลถงหรือว่าพวกเขาจะมาเพื่อล้างแค้น? เป็นไปไม่ได้! ไม่ว่าลูกน้องคนนั้นจะมองยังไง มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ไปได้อย่างไรกัน?
“นั่นคือนายน้อยถงคนที่แกกำลังนึกถึงนั่นแหละ! คนของแกช่างกล้านักที่เหยียบหน้าของนายน้อยถงแบบนี้ และยังจะมีหน้ามาถามว่านายน้อยถงคนไหน นายน้อยถงจะฉีกแกออกเป็นชิ้นๆ ด้วยเท้าของเขา! แล้วดูซิว่าแกจะกล้าเหยียบหน้าพวกเราอีกไหมในอนาคต!” ชายคนนั้นกล่าว
ชายหนุ่มที่เป็นลูกน้องของพี่เปียวยิ่งดูลุกลี้ลุกลนมากขึ้นเพราะว่าเมื่อวานนี้เขาได้เหยียบเข้าที่หน้าของชายหนุ่มที่มีนามสกุลถงจริงๆ
จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปยังชายหนุ่มลูกน้องของพี่เปียวและกล่าวว่า
“ก็มันนั่นไงคนที่เหยียบหน้าเขา แต่ยังไงก็เถอะ ฉันไม่ได้เรียกมันออกมา ฉันแค่บอกให้มันไปสั่งสอนบทเรียนให้แก่คนอื่น และมันก็เป็นคนลงมือเองและยังทำร้ายนายน้อยถงอีกด้วย”
ไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มที่เป็นลูกน้องของพี่เปียวได้ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงแม้จะเป็นอดีตไปแล้วแต่เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองจากการได้รับบาดเจ็บ เขาจึงไม่ลังเลใจที่จะขายเจ้าลูกน้องคนนี้และในวันนี้เขาก็ไม่ได้มีแรงกดดันใจมากนัก
เดิมทีเขาได้วางแผนที่จะขับไล่อีกฝ่ายออกไปหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้
แต่ในตอนนี้เขาไม่คาดคิดเลยว่าชายหนุ่มคนนี้จะสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้แก่เขาดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะหักหลังมันเสีย
ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าพี่เปียวจะโทษว่าเป็นความผิดของเขาเช่นนี้เขายืนตะลึงไปชั่วขณะและเมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาที่เขาเขาก็ถึงกับตื่นตระหนก
“ไงล่ะแกเห็นไหม? แกนี่ช่างใจกล้าเสียจริง กล้าที่เหยียยหน้าของนายน้อยถง ฉันเห็นแกคุกเข่าและฉันก็คิดว่าแกนี่ช่างขี้ขลาดเสียงจริง แต่ไม่คิดเลยว่าแกจะใจกล้าขนาดนี้!” ชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามกล่าวขณะที่เขาเดินออกจากด้านข้างของพี่เปียวและมุ่งตรงไปหาคนที่กำลังลุกลี้ลุกลน
“ไม่ใช่นะเข้าใจผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันไม่รู้จักนายน้อยถงเลยด้วยซ้ำ ถ้าฉันรู้ถึงแม้ว่าฉันจะมีความกล้ากว่านี้สักร้อยเท่า ฉันไม่กล้าตีเขาหรอก”
“เข้าใจผิดงั้นหรือ?์เข้าใจผิดครั้งเดียวก็เกินพอแล้วล่ะ?” ชายหนุ่มเดินไปที่ด้านข้างของเขาและเตะเข้าไปที่ปลายคางจนเขาล้มลง
“แกจะมาเหยียบฉันง่ายๆด้วยคำที่ว่าเข้าใจผิดได้ไหมล่ะ? ก็เพราะว่าเป็นแก งั้นก็เอาเลยสิ แบบนี้ไง นายน้อยถงยังบอกด้วยว่าเขาต้องการขาของแก ส่วนแก ฉันจะหักแกขาของแกเสียข้างหนึ่ง!”
ชายหนุ่มกล่าวสำหรับคำถามสุดท้ายนั้น มันสำหรับพี่เปียว
“ไม่นะ!”
“ไม่นะ!”
พี่เปียวและลูกน้องของเขาตะโกนออกมาพร้อมๆกัน และเขาก็ยิ่งเสียใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ว่าลูกน้องของเขาพยายามที่จะมีเล่ห์เหลี่ยมกับเขาเขาก็คงจะขับไล่เขาไปตั้งนานแล้ว
เพราะเขาไม่ได้มีความสามารถอะไรเลยเพียงแค่ประจบประแจงเขาไปวันๆเท่านั้น
อีกฝ่ายไม่ได้เจตนาที่จะละเลยคำพูดที่มีต่อพี่เปียวและบรรดาลูกน้องทั้งหลายเลยจิตใจของพวกเขาเหี้ยมโหดยิ่งกว่าพวกพี่เปียวเสียอีก!
จากนั้นคนสองคนก็เดินไปหาพี่เปียวทั้งสองคนเดินแยกกัน พร้อมกับถือไม้เบสบอลไว้ในมือ พวกเขากำลังจะหักขาของพวกนั้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่นะได้โปรด อย่า ฉันรู้ฉันผิดไปแล้ว” ชายหนุ่มลูกน้องของพี่เปียวเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาและก็เริ่มร้องขอความเมตตา
เขาไม่กล้าแม้แต่จะยืนขึ้นและพยายามถอยหลังไปบนพื้นแต่พื้นที่นั้นก็ช่างเล็กนัก
“แม่งเอ้ยไอ้สวะนี่มันฉี่ราดว่ะ ฮ่าฮ่า!” ในเวลานี้ชายคนที่ถือไม้เบสบอลเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่าที่ขาของชายหนุ่มนั้นเปียกชุ่มและมีกลิ่นฉี่โชยมา
“ฮ่าฮ่า!”
คนสองสามคนที่อยู่อีกด้านพากันหัวเราะเสียงดัง
อีกด้านหนึ่งนั้นพี่เปียวและคนที่เหลือพากันเงียบกริบมีเพียงไม่กี่คนที่ดูถูกชายคนนี้เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายเกินไป
“ไม่นะปล่อยฉันไป ฉันไม่อยากโดนหักขา” ชายหนุ่มยังคงร้องขอความเมตตา
อย่างไรก็ตามการร้องขอของเขาก็ดูจะไม่มีประโยชน์ ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขายิ้มด้วยรอยยิ้มที่โหดเหี้ยม เขายกไม้เบสบอลขึ้นสูงบนอากาศและฟาดลงมาอย่างไรความปราณี!
“อ๊าก!”ไม่ใช่ว่าเพราะเขากำลังอดกลั้น แต่เป็นเพราะเขาเจ็บปวดจนสลบไป อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะสลบไปแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่ปล่อยเขาไป ไม้เบสบอลยังคงถูกทุบเข้าที่ขาของเขาและเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด
เสียงโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง!