กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 171-172
บทที่ 171 มือใหม่
หนิววาจื่อทำตัวเยี่ยงทหารที่ผ่านศึกสงครามมาแล้วและมันก็เป็นสิ่งที่ทหารเก่าควรจะทำก็คือการดูแลพวกทหารเกณฑ์ใหม่
นี่คือสิ่งที่ลุงอู๋ได้เคยบอกเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้และมันก็เป็นสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
ฮวงเฟิงรู้สึกซาบซึ้งในหัวใจถึงแม้ว่า ผู้บังคับกองพลที่อยู่ตรงหน้าของเขานี้จะยังเด็ก แต่เขาก็ปฏิบัติตัวเช่นผู้บังคับกองพลได้อย่างแท้จริงและร้องขอให้เขาทำเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าหนิววาจื่อจะยังไม่อยากจากไปเขายังคงยื้อทำหน้าที่ของเขาต่อไป แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็ดึงฮวงเฟิงเข้ามาและพูดว่า “ฉันยังไม่รู้จักชื่อของนายเลย”
“ฉันชื่อว่าฮวงเฟิง”ฮวงเฟิงกล่าว
“ฮวงเฟิงนายเป็นเพียงคนเดียวในกองพลที่สองของเราที่สามารถที่จะต่อสู้ได้ในตอนนี้ ฉะนั้นจงอย่าทำให้กองพลที่สองของเราต้องขายหน้านะ!” หนิววาจื่ออธิบาย
“เข้าใจแล้วไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะไม่ทำให้กองพลที่สองของเราต้องขายหน้า” ฮวงเฟิงกล่าว
“จริงๆแล้ว ถ้านายจะแอบไปร้องไห้มันก็คงจะไม่น่าอายสักเท่าไรหรอก” อยู่ๆ หนิววาจื่อก็พูดขึ้นมาเบาๆ กับฮวงเฟิง
ในตอนแรกที่เขาเข้าสู่สนามรบเขาเองก็ร้องไห้และลุงอู๋ก็ได้บอกเขาว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพราะเขารู้ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกของฮวงเฟิงนั่นเอง
ฮวงเฟิงรู้สึกขบขันและซึ้งใจในเวลาเดียวกัน
ในที่สุดหนิววาจื่อก็ยังคงยื้อเอาไว้ และไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นสาหัสหรือไม่
ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้มันเห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่ได้รับการรักษาที่ดี
ฮวงเฟิงเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเขานอนลงกับพื้นอีกครั้งและมองไปยังศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
ฮวงเฟิงสังเกตุเห็นว่าพลังการยิงของทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
อาวุธของพวกเขานั้นเห็นได้ชัดว่าขาดแคลนอยู่มากโขแต่ความตั้งใจของพวกเขานั้นเด็ดเดี่ยวมาก คนอย่างหนิววาจื่อที่ไม่ยอมจากไปแม้จะได้รับบาดเจ็บมีให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง
และเป็นเพราะเหตุนี้พวกเขาจึงสามารถปกป้องสถานที่แห่งนี้เอาไว้ได้
บางทีฮวงเฟิงอาจจะมีพรสวรรค์ในการยิงปืนแต่เขาเพิ่งเคยสัมผัสกับอาวุธปืนเช่นนี้
พลังลมปราณที่เขาเคยเรียนรู้มาก่อนและความช่วยเหลือของเวทมนต์ก็มีจำกัเขาทำได้เพียงทำให้จิตใจสงบลง
ดังนั้นจึงไม่มีความแตกต่างระหว่างเขากับทหารเกณฑ์ใหม่เพียงแต่ว่าเขาอารมณ์ดีขึ้น
“จิมูระซังทหารจีนอีกด้านยังคงต้านทานเอาไว้อยู่ มันคงจะยากมากที่คนของเราจะเข้าไปได้”
ผู้บัญชาการแห่งอาณาจักรหวอที่อยู่อีกด้านของสนามรบกำลังมองดูการสู้รบจากทางด้านข้าง
”แบค!”นี่เป็นเรื่องน่าโมโหมาก แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนพวกแกก็ยังไม่โจมตี ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยนี้คือ จิมูระ ที่ยืนอยู่ตรงกลางซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะโมโห
คงเป็นเรื่องแปลกถ้าเขาจะอารมณ์ดีหลังจากที่ถูกศัตรูต้านทานเอาไว้เป็นเวลานาน โดยศัตรูที่ด้อยกว่ากองทัพของเขาเอง
เขาระดมกำลังเพื่อทำการโจมตีอย่างเต็มที่แต่ก็ยังไม่มีผลมากนัก
ข่าวดีอย่างเดียวก็คือกระสุนของศัตรูใกล้จะหมดแล้วและการบาดเจ็บล้มตายนั้นแย่ยิ่งกว่าของพวกเขามาก
อย่างไรก็ตามในสถานการณ์เช่นนี้หากพวกนั้นสามารถต้านทานเขาได้ เขาก็จะยิ่งโกรธ
เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงแล้วจึงมีคนก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ท่านครับ นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว คนที่อยู่อีกด้านคงจะไม่สามารถต้านทานอยู่ได้นาน พวกเราสามารถส่งบางคนไปดูลาดเลา และหลังจากนั้น พอมืดแล้วพวกเราน่าจะจับพวกมันได้ในบัดดล! ”
“ฉันไม่ต้องการฟังอะไรที่เรียกว่าควรจะ สำหรับฉันต้องใช้คำว่า ต้อง! คำว่า ต้อง เท่านั้น!”
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดดูแล้วสิ่งที่ลูกน้องของเขาพูดก็สมเหตุสมผลอยู่
หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานเช่นนี้ผู้คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งจะต้องเหนื่อยล้า
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยใช้การโจมตีในตอนกลางคืนมาก่อนแต่มันมีผลกระทบบางอย่าง
อย่างไรก็ตามในเวลานั้นฝ่ายตรงข้ามยังคงเต็มไปด้วยพลังงานและเครื่องกระสุน
แต่ในตอนนี้พวกเขาเป็นกลุ่มทหารที่อ่อนล้าพวกเขาไม่มีกระสุนมากนัก และได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
”อ้อสั่งพวกเขาให้ถอยทัพก่อน พอมืดแล้ว แกก็พาคนไปด้วยและจับตัวมันมา พวกเราไม่สามารถที่จะลากยาวเรื่องนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ถ้าแกทำไม่ได้ก็จงไปขออภัยโทษกับองค์จักรพรรดิ์เองเถอะ!”
”ครับ!”คนๆ นั้นพยักหน้ารับคำสั่ง
”ถอยทัพพวกมันก็กำลังถอยกลับเหมือนกัน!”
ฮวงเฟิงและคนที่เหลือสังเกตเห็นความผิดปกติของอีกฝ่ายในทันทีและบางคนก็ตะโกนออกมาอย่างมีความสุข
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายโจมตีด้วยความรุนแรงสูงสุดซึ่งทำให้พวกเขาถูกกดดันอย่างมาก
ฮวงเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอกในช่วงเวลานั้นเขามีส่วนร่วมในการต่อสู้ตลอดเวลา
และหลังจากที่กระสุนทั้งหมดที่เขาพบก่อนหน้านี้ได้ถูกใช้ไปแล้ว
เขาก็กลับไปมองหาเพิ่มอีกสองสามกระบอกแต่เขาก็ได้มาไม่มากนัก
เขายังคิดด้วยซ้ำว่าถ้าหากฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ามาเขาก็จะต่อสู้กับพวกนั้นด้วยการใช้ดาบปลายปืน
โชคดีที่พวกเขาสามารถป้องกันเอาไว้ได้และฮวงเฟิงเองหลังจากที่ผ่านการต่อสู้มามากมายในช่วงเวลานี้
แม้เขาจะเริ่มคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่แต่เขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ มีเสียงปืนที่ดังอยู่ในหูของเขาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าพยายามบังคับให้เขาคุ้นเคยกับสถานที่นั้นให้จงได้
ทักษะการยิงปืนของเขาก็ดีขึ้นไม่น้อยเช่นกันแม้ว่าเขาจะยังคงยิงกระสุนเปล่า แต่มันก็น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก
อย่างไรก็ตามมีข่าวร้ายค่อนข้างมากเช่นกันประการแรกจำนวนผู้บาดเจ็บของฝ่ายเขายังคงเพิ่มขึ้น และแม้แต่กัปตันเองก็ได้รับบาดเจ็บเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคงยึดฐานที่มั่นเอาไว้ได้แต่คราวนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่า
พวกเขาบางคนต้องการที่จะวิ่งไปที่ด้านหน้าของสนามรบเพื่อเก็บเครื่องกระสุนแต่อีกฝ่ายก็ระมัดระวังเกินไปและไม่มีโอกาสเลย
พวกเขาทำได้เพียงรอจนกว่าจะมืดแล้วจึงจะใช้ความมือกำบังกายและไปอีกครั้ง
นอกจากนี้ทุกคนก็ทั้งเหนื่อยล้าทางจิตใจท้ายที่สุดพวกเขาต่อสู้มานานกว่ายี่สิบชั่วโมงโดยไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพาความมุ่งมั่นของตนเองเพื่อที่จะอดทน
ดังนั้นหลายคนจึงรู้สึกกดดันมาก
อย่างไรก็ตามไม่มีใครคิดที่จะถอยออกมาเห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
สถานการณ์ของฮวงเฟิงนั้นยังคงไม่เป็นอะไรเพราะว่าเขาเพิ่งจะมาถึงและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ และก่อนหน้าที่จะมาเขาก็ได้กินจนเต็มอิ่มแล้ว
หลังจากนั้นฮวงเฟิงก็เดินไปหานักรบอาวุโสสองสามคนและนั่งลงเพื่อทำความรู้จักกับพวกเขา
เขาถือโอกาสทำความเข้าใจข้อมูลบางอย่างของห้วงเวลาและอวกาศนี้อย่างช้าๆ
ในที่สุดฮวงเฟิงก็รู้ว่าประเทศที่เขาอยู่ก็คือจีนเช่นกันเพียงแต่ก็ยังแตกต่างจากประเทศที่เขาอยู่บนโลกนี้
ตามรอยประวัติศาสตร์แล้วมันก็ขาดไปอยู่นิดหน่อยแต่คนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้เป็นคนของอาณาจักรหวอไม่ใช่คนจากประเทศเกาะ (ญี่ปุ่น)
พวกเขาอยู่ในสงครามแห่งการรุกรานเช่นเดียวกันแต่เวลาที่พวกเขาเริ่มต้นดูเหมือนจะแตกต่างจากตอนที่ประเทศเกาะบนโลกเริ่มต้นขึ้น
บทที่ 172 การโจมตียามค่ำคืน
สำหรับกลุ่มที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้พวกเขาได้รับมอบหมายงานให้อยู่ที่นี่เป็นเวลาสี่สิบแปดชั่วโมง เวลาผ่านไปแล้วกว่ายี่สิบชั่วโมง แต่ยังไม่ถึงเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอดทนต่อไป
ฮวงเฟิงเข้าใจแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นมิติคู่ขนานกับบนโลกมีความคล้ายคลึงกันในหลายๆ ช่วงเวลา แต่ก็มีหลายสิ่งที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือศัตรูและเขายังคงเป็นสมาชิกของประเทศจีน
ฮวงเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างหลังจากมาถึงพื้นที่นี้
และดูเหมือนว่าเขาจะมีอะไรพิเศษที่เขาจะต้องทำก็เหมือนกับที่เขาเคยคิดมาก่อนการเดินทางผ่านห้วงเวลาและอวกาศ?
ฮวงเฟิงเองก็ไม่แน่ใจแต่ในขณะที่เขาอยู่ในสนามรบ เขาไม่มีทางเลือกมากนัก
สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือจบการต่อสู้ครั้งนี้ซะและยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องเอาชีวิตให้รอด
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง มีความแตกต่างระหว่างสถานที่นี้กับโลก
บนโลกท้องฟ้ามืดสนิทแล้วเขาทานอาหารเย็นมาก่อนแล้ว แต่ที่นี่ท้องฟ้าเพิ่งจะมืดลง
หลังจากนั้นก็มีคนมาเสิร์ฟอาหารเย็นให้พวกเขาอาหารเย็นเรียบง่ายมากเป็นเพียงแค่ซาลาเปาเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ซาลาเปาก็ยังไม่เพียงพอในสภาพแวดล้อมแบบนี้ผู้คนไม่สามารถขอจากคนอื่นได้มากนัก
แม้ว่าพวกเขาจะกินอาหารแล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้าออกจากที่ซ่อนนานเกินไปเพราะศัตรูสามารถเข้าโจมตีได้ตลอดเวลา
ไม่มีใครสงสัยในตัวตนของฮวงเฟิงถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานการณ์ แต่ในกลุ่มนี้มีการรับสมัครทหารใหม่เข้ามาจำนวนมากและผู้ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาใหม่ก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกันมากนักขณะที่พวกเขาเข้าสู่สนามรบกันอย่างเร่งรีบ
สำหรับกัปตันที่สามารถเปิดเผยตัวตนของฮวงเฟิงได้ตอนนี้เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ดังนั้น ฮวงเฟิงจึงสามารถอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว
”ระวังตัวด้วยข้าศึกอาจจะขึ้นมาในตอนกลางคืน” รองกัปตันลู่ต้าเปียวกำลังเดินกลับไปกลับมาในคู เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของเหล่านักรบ
ในเวลาเดียวกันเขาก็เตือนซ้ำๆด้วยความเป็นห่วง ทั้งกัปตันยังได้รับบาดเจ็บเท่ากับว่าตอนนี้เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่นี่
ฮวงเฟิงไม่ได้กินซาลาเปาเนื้อแข็งนั่นแต่ไม่ใช่เพราะเขาดูถูกมัน แต่เป็นเพราะเขาเพิ่งกินอิ่มมาและยังไม่หิวเขาจึงให้ซาลาเปาแก่นักรบตัวน้อยข้างๆ เขา
ผมของเขายุ่งเหยิงเหมือนรังไก่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะตอนที่เขาต่อสู้กับพวกนั้นเขาดุร้ายยิ่งกว่าคนที่อายุมากกว่าเขาเสียอีก
คนที่เรียกเขาก็คือเจิ้งหมิงและตามที่เขาพูดไว้ เขาได้รับการตั้งชื่อโดยนักปราชญ์ในหมู่บ้านของเขา
หลังจากที่ชาวหวอได้เข้ามาในหมู่บ้านพ่อแม่ของเขาและนักปราชญ์วัยชราทั้งคู่ก็เสียชีวิต
และเขาก็สามารถหลบหนีมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขาความเกลียดชังในใจของเขาของเขาที่มีต่อพวกชาวหวอไม่ได้ด้อยไปกว่าหนิววาจื่อเลย
“พี่ฮวงไม่กินงั้นเหรอ?” เจิ้งหมิงมองไปที่ซาลาเปาที่ฮวงเฟิงส่งให้และลังเลเล็กน้อย
ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นและความอยากอาหารของเขาก็มีมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
แม้ว่าเขาจะยังไม่อิ่มแต่เขาก็ไม่ได้ขออะไรเพิ่มและตอนนี้ที่ฮวงเฟิงให้ซาลาเปาแก่เขาโดยสมัครใจแม้ว่าเขาจะหิว แต่เขาก็คิดว่าฮวงเฟิงนั้นยังไม่ได้กิน
หลังจากการสนทนาสั้นๆในตอนนี้เขารู้ว่าพี่ฮวงคนนี้เป็นคนที่มีความรู้เช่นเดียวกับนักปราชญ์ในหมู่บ้าน
ตั้งแต่ยังเด็กพ่อแม่ของเขาสอนให้เขาเคารพคนที่มีความรู้เหล่านี้และเขาเองก็ชื่นชมคนที่เคยเขียนอ่านมาก่อน
”ฉันไม่หิวนายกินเถอะ” ฮวงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“งั้นฉันจะกินอันนึง พี่ฮวงก็กินอันนึงเหมือนกันนะ” เจิ้งหมิงต้องการให้อีกอันหนึ่งแก่เขา แต่เขายืนยันว่าไม่ต้องการ ดังนั้นฮวงเฟิงจึงร่วมกินไปกับเขาด้วย
“พี่ฮวงพี่เข้าสู่สนามรบได้อย่างไรกัน?” เจิ้งหมิงถามฮวงเฟิงขณะที่กินซาลาเปา
ในความคิดของเขานั้นนักปราชญ์แทบจะไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาอยู่ในแนวหน้าของสนามรบ
ตอนที่พ่อและแม่ของเขาอยู่นั้นพวกเขาบอกแล้วว่านักปราชญ์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศ ดังนั้นพวกเขาควรอยู่ในที่ที่พวกเขาต้องการมากที่สุดไม่ใช่สถานที่ที่มีอันตรายแฝงอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้
”ฉันเหรอ?ฉันมาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนของประเทศไง” ฮวงเฟิงกล่าว
“แต่ที่นี่อันตรายมากฉันคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าให้พี่ฮวงไปอยู่ที่อื่น” เจิ้งหมิงกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง: “เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พี่ฮวงจงเข้าไปในที่กำลังให้ลึกกว่านี้หน่อย”
ฮวงเฟิงรู้สึกตลกเล็กน้อยและรู้สึกอยู่เหมือนกันเขาเพิ่งจะมาที่นี่เพียงไม่นาน แต่เขาได้พบกับคนที่อายุน้อยกว่าเขาถึงสองระดับที่ต้องการที่จะปกป้องเขา
”ไม่ต้องห่วงนะฉันไม่เป็นไรหรอก” ฮวงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นทุกคนก็พักผ่อนในขณะที่คนอื่นๆ อยู่ยามเพราะพวกเขานอนไม่หลับ
ฮวงเฟิงก็ใช้แสงลางๆที่เกิดจากการเผาของสิ่งต่างๆ รอบตัวเพื่อสอนให้เจิ้งหมิงเขียนบนพื้นดิน
สิ่งนี้ทำให้เจิ้งหมิงมีความสุขมากเพราะการรู้วิธีเขียนเป็นสิ่งที่น่าประทับใจสำหรับ
”สองคำนี้เป็นชื่อของนาย”เจิ้งหมิง “” ฮวงเฟิงเขียนข้อความเหล่านี้ลงบนพื้น
หลังจากนั้นเจิ้งหมิงก็เริ่มเขียนคำที่เขาคัดลอกด้วยตัวเองอย่างตื่นเต้นเขาลากเส้นตามจังหวะและเลียนแบบงานเขียนของฮวงเฟิง
คำเหล่านั้นคดเคี้ยวและน่าเกลียดมากแต่ความสนใจของเจิ้งหมิงไม่ได้มีผลกระทบเลยแม้แต่น้อย
”เฮ้ย?”ฮวงเฟิงมองไปที่การเขียนของเจิ้งหมิงในตอนแรกเมื่อจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ มาจากระยะไกลที่ขอบสนามรบ
“พี่ฮวงมีอะไรงั้นเหรอ?” เจิ้งหมิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฮวงเฟิง
”จุ๊ๆดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง” ฮวงเฟิงกล่าวเบาๆ นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มฝึกฝนกำลังภายใน
การได้ยินของเขาก็ดีขึ้นตอนนี้การได้ยินของเขาไกลเกินกว่าคนธรรมดาและนั่นคือเหตุผลที่เขาได้ยินเสียงที่มาจากที่ไกลๆ
เจิ้งหมิงเองไม่ได้ยินอะไรเลยแต่เขาเชื่อในตัวของฮวงเฟิง
นับตั้งแต่ที่เขาพบว่าฮวงเฟิงเป็นนักปราชญ์เขาก็ชื่นชมและเชื่อมั่นในคำพูดของฮวงเฟิง ดังนั้นเขาจึงกระชับปืนของเขาทันทีและยังคงเฝ้าระวัง
ฮวงเฟิงชี้ไปทางเจิ้งหมิงหลังจากนั้นทั้งสองคนก็กลับเข้าไปในที่ซ่อนอย่างเงียบๆ และโผล่ศรีษะขึ้นมาเพียงเล็กน้อย
จริงๆแล้วมีคนยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ พวกเขาเช่นกันและมีอยู่ไม่กี่คน อย่างไรก็ตามคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามได้ระมัดระวังการเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นอย่างมาก โดยมีการเคลื่อนไหวน้อยมากประกอบกับที่ฮวงเฟิงและคนอื่นๆ เหนื่อยมาก พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะประมาท
ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าการได้ยินของฮวงเฟิงนั้นดีกว่าคนอื่นๆมันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้ยินเสียงนั้น
ฮวงเฟิงและเจิ้งหมิงนอนอยู่บนพื้นแต่พวกเขาไม่เห็นอะไรเลย ข้างนอกนั้นมืดสนิท
”ไปดับไฟเร็วเข้า”ฮวงเฟิงกล่าวกับเจิ้งหมิง
แม้ว่าฮวงเฟิงจะไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของเจิ้งหมิงแต่คำสั่งของ ฮวงเฟิง เจิ้งหมิงก็ยอมรับโดยไม่ลังเล
ในไม่ช้าฮวงเฟิงและคนอื่นๆก็ตกอยู่ในความมืดซึ่งทำให้พวกเขาค่อนข้างปลอดภัย
อย่างไรก็ตามหากพวกเขาอยากจะปลอดภัยจริงๆพวกเขาก็ต้องหาคนเหล่านั้นที่มาช่วยและกำจัดพวกเขาซะ