กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 217-218
บทที่ 217 ขับสุรา
“คุณก็รู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้วแล้วทำไมคุณถึงไม่ไปสืบเกี่ยวกับบริษัทนี้ล่ะ?” ชิวหนิงช่วงถาม
“ถึงแม้ว่าหลินจื่อเฉิงจะเกี่ยวข้องกับลุงหลี่แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะเหมารวมได้ว่าลุงหลี่นั้นทำผิดกฎหมาย เปลือกนอกนั้นบริษัทของเขายังคงทำธุรกิจแบบปกติและก็ไม่ได้มีหลักฐานที่จะมัดตัวพวกเขาด้วย” เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าว
ชิวหนิงช่วงพยักหน้าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการจับตัวหลินจื่อเฉิงให้ได้ ตามคำให้การของทั้งสองคนนั้น หลินจื่อเฉิงคนนี้เป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดและไม่ว่าเขาจะทำอะไรให้กับลุงหลี่หรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็จะไขข้อสงสัยได้หลังจากที่จับตัวหลินจื่อเฉิงมาสอบสวนได้
แต่ตอนนี้ได้มีคนมาขอประกันตัวพวกเขาทั้งสองคนออกไปซึ่งชิวหนิงช่วงไม่เห็นด้วยเลยและก็เป็นไปตามคำพูดของชิวหนิงช่วง เพราะคนๆนั้นได้กลับไปมือเปล่า
ในตอนแรกลุงหลี่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนัก เขาเพียงแค่ต้องการเอาตัวคนของเขาออกมาให้ได้เสียก่อนค่อยหารืออีกที
แต่เขาก็ไม่คาดคิดเลยว่าคนของเขาที่ถูกส่งไปที่สถานีตำรวจจะกลับมาโดยประสบความสำเร็จซึ่งเขาไม่ได้เห็นคนทั้งสองนั้นเลย
จากนั้นลุงหลี่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเขาจึงเริ่มให้ความสนใจกับเรื่องนี้
จากนั้นเขาก็เริ่มใช้เส้นสายเพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
”อะไรนะลูกสาวของท่านชิวเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้? และเกือบถูกฆ่างั้นเหรอ?” โอเค หัวหน้าแผนกลี ขอบคุณมาก เอาไว้ฉันมีเวลาฉันจะเลี้ยงข้าวคุณนะ”
หลังจากวางสายแล้วหน้าตาของลุงหลี่ก็ดูค่อยไม่ดีนัก เขาไม่คาดคิดว่าไอ้เจ้าสวะสองคนที่แส่หาเรื่องนั้นจะเป็นลูกสาวของท่านชิวจริงๆ
แล้วท่านชิวก็เป็นหัวหน้าตำรวจทั้งหมดในมณฑลชิงแห่งนี้แล้วลูกสาวของเขากลับมามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้และเกือบจะถูกฆ่า
ไม่ต้องคิดเลยว่าจะต้องสอบส่วนเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ลุงหลี่ก็รู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง เขาจึงรีบโทรหาถงเฉียนจุ้นในทันที
เพราะว่าเขาเป็นคนเดียวที่เกี่ยวข้องกับเรืืองนี้ไม่เช่นนั้นหากตำรวจยังคงสอบสวนต่อไป เขาจะถูกเปิดโปงอย่างแน่นอน
”โอยฉันปวดหัวจริงๆ ผู้หญิงบ้าคนนั้นช่างแสบจริงๆ ฉันก็แค่ตะโกนใส่เธอแค่นั้นเอง แต่เธอกลับทำให้ฉันเมากลิ้งอยู่บนโต๊ะเสียได้”
ภายในโรงแรงฮวงเฟิงตื่นขึ้นหลังจากที่หลับไปสองสามชั่วโมง อย่างไรก็ตามเพราะเขาเมามากเกินไปเมื่อช่วงบ่าย เขาจึงยังปวดหัวอยู่และยังไม่ตื่นเต็มตานัก
อย่างไรก็ตามในโอกาสเช่นนี้ มันก็ยากที่จะปฏิเสธดังนั้นเขาจึงทำได้แค่ดื่มเหล้าเข้าไป ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็คงไม่ใช่แค่การปฏิเสธที่จะดื่มเหล้ากับเซี่ยเมิ่งเจียว แต่เป็นการปฏิเสธการดื่มกับเพื่อนร่วมงานทั้งหลายของเขาด้วย
“อ้อใช่ นี่ฉันควรใช้กำลังภายในขับสุรานี่นา?” ดูเหมือนว่าในทีวีจะมีการกำลังภายในเพื่อขับฤทธิ์เหล้าออกไปจากตัว” จู่ๆ ฮวงเฟิงก็คิดได้ว่าเขารู้วิธีใช้กำลังภายในและละครเทพเซียนเหล่านั้นก็ใช้กำลังภายในเพื่อขับไล่แอลกอฮอล์ออกจากร่างกายของเขา
ดังนั้นฮวงเฟิงจึงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง พยายามไหลเวียนกำลังภายในของเขาและบีบอัดฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกายของเขาเข้าด้วยกัน
หลังจากนั้นเขาก็รวบมันไว้ที่มือขวาและเห็นว่ามีหยดน้ำปรากฏอยู่บนนิ้วของเขาและค่อยๆหยดลง
“เป็นไปได้จริงเหรอเนี่ย?!”ฮวงเฟิงตะโกนด้วยความประหลาดใจหยดน้ำพวกนี้ที่ถูกขับออกจากร่างกายแท้จริงแล้วเป็นแอลกอฮอล์
แต่เนื่องจากฮวงเฟิงไม่ได้ฝึกฝนกำลังภายในของเขามาเป็นเวลานานแล้วและเนื่องจากกำลังภายในร่างกายของเขาเพิ่งฝึกฝนได้ไม่นานนัก ดังนั้นอัตราการปลดปล่อยแอลกอฮอล์จึงไม่เร็ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฮวงเฟิงไม่รู้ก็คือไม่ใช่ทุกคนที่ฝึกฝนกำลังภายในที่จะสามารถใช้กำลังภายในเพื่อขับไล่แอลกอฮอล์ออกจากร่างกายได้
ทักษะกำลังภายในแบบธรรมดาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้และกังฟูไร้พ่ายของดาวเคราะห์ทั้งเจ็ด ที่เขาฝึกฝนมาก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
แต่เนื่องจากเขาได้ฝึกฝนเวทมนตร์ไปด้วยในเวลาเดียวกันดังนั้นพลังเวทย์มนตร์และกำลังภายในจึงก่อให้เกิดพลังงานใหม่ซึ่งทำให้เขาทำเช่นนี้ได้
หลังจากใช้เวลาประมาณสิบนาทีฮวงเฟิงก็บังคับให้แอลกอฮอล์ออกจากร่างกายของเขาไปจนหมด ตอนนี้เขาตื่นเต็มที่แล้วและหัวของเขาก็ไม่ปวดอีกต่อไป
“เฮ้ยนี่ฉันยังต้องไปบ้านประมูลตอนบ่ายนี่นา” จู่ๆ ฮวงเฟิงก็นึกขึ้นได้ว่าเขาได้ตกลงกับผู้อาวุโสชิวไว้แล้วเมื่อวานนี้เพื่อไปที่บ้านประมูลศาลาสมบัติเพื่อประมูลภาพวาดของเขา
ดังนั้นฮวงเฟิงจึงลุกขึ้นจากเตียงอย่างเร่งรีบโดยไม่สนใจที่จะถามว่าใครเป็นคนพาเขามาที่โรงแรม เขารีบขึ้นรถแท็กซี่และไปที่ถนนสวนตะวันตกในทันที
”ฉันขอโทษด้วยอาวุโสชิว ฉันมาสาย” ภายใน “ศาลาสมบัติ” ฮวงเฟิงได้เห็นอาวุโสชิวได้มาถึงก่อนแล้ว สำหรับผู้เฒ่าเฟิงนั้นดูเหมือนว่าเขาจะกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการประเมินราคา
อาวุโสชิวมองดูฮวงเฟิงพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
เหตุผลที่เขาช่วยฮวงเฟิงเอาไว้เมื่อวานนี้ก็เป็นเพราะมันเป็นเรื่องบังเอิญและเพราะเขาชอบภาพวาดและไม่อยากที่จะปล่อยให้มันถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น เขาจึงเป็นต้นคิดที่จะติดต่อบ้านประมูลให้กับฮวงเฟิง
อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าวันนี้ฮวงเฟิงจะมาสายและดูเหมือนว่าฮวเงฟิงเป็นคนที่มาขอความช่วยเหลือจากเขาซึ่งสิ่งนี้ทำให้ อาวุโสชิวไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
“คนหนุ่มสาวต้องรู้จักเวล่ำเวลาหน่อยสิ” อาวุโสชิวกล่าว
”ใช่ใช่ครับ อาวุโสชิวเป็นความผิดของฉันเองที่ล่าช้า ฉันทำให้คุณต้องรอนาน” ไม่ใช่เพียงเพราะเขาต้องการให้อาวุโสชิวช่วยแนะนำเขา แต่ที่สำคัญกว่านั้นฮวงเฟิงรู้ว่าเขาคิดผิด
”เอาล่ะในเมื่อคุณก็มาแล้วงั้นก็ไปกันเถอะ” อาวุโสชิวกล่าว แต่เขาไม่ได้เปลี่ยนใจเพราะความล่าช้าของฮวงเฟิง
ฮวงเฟิงรู้สึกขอบคุณอย่างมากอยู่ในใจเขาไม่ได้สนิทสนมกับอีกฝ่าย และตอนนี้เขาก็มาสายด้วยเหตุผลส่วนตัวซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยเขา ดังนั้นฮวงเฟิงจึงรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจ
“ขอบคุณครับอาวุโสชิว”ฮวงเฟิงขอบคุณเขาอีกครั้ง
บางทีอาจเป็นเพราะท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอของฮวงเฟิงความโกรธในใจของอาวุโสชิวจึงลดลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาจึงดีขึ้นกว่าเดิม
อาวุโสชิวพาฮวงเฟิงไปที่ร้านค้าหลักของบ้านประมูลศาลาสมบัติในมณฑลชิงร้านค้าหลักแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในศาลากลางของจังหวัดเจียง
สำหรับบ้านประมูลทั้งหลายภายในประเทศสามารถเรียกได้ว่าที่นี่ติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ ซึ่งเป็นบ้านประมูลที่มีชื่อเสียงเก่าแก่และเป็นที่ยอมรับของผู้คนมากมาย เมื่อมีการจัดประมูลแต่ละครั้ง ก็จะมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมการประมูลนั้น
ทั้งหมดนั้นฮวงเฟิงได้ประจักษ์กับตาแล้วเมื่อวานนี้หลังจากที่ได้รู้ประวัติของบ้านประมูลศาลาสมบัติแล้ว ก็ทำให้ฮวงเฟิงคาดหวังมากขึ้นว่าภาพวาดของเขาจะขายได้ราคาดี
และแน่นอนว่าเขายิ่งรู้สึกขอบคุณต่ออาวุโสชิวเพราะถ้าไม่ใช่เพราะเขาแล้ว ก็คงจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับฮวงเฟิงที่จะนำภาพวาดนั้นเข้าร่วมการประมูลได้
บทที่ 218 นัดเจอ
เมื่อฮวงเฟิงและอาวุโสชิวมาถึงก็เห็นว่ามีผู้คนมากมายอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งทำให้ฮวงเฟิงยิ่งมั่นใจว่าชายชราคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโสชิวคุณมาแล้วหรือ?” เมื่อชายวัยกลางคนเห็นอาวุโสชิว เขาก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพ
“อืมขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนคุณแล้วผู้จัดการเหวิน” อาวุโสชิวกล่าว
“ทำไมท่านถึงได้พูดเช่นนั้น?เป็นเกียรติแห่งบ้านประมูลของเราที่ผู้อาวุโสชิวมาที่นี่” ชายวัยกลางคนกล่าว จากนั้นก็มองไปที่ฮวงเฟิงและพูดว่า “นี่คงจะเป็นคุณฮวงสินะ”
อาวุโสชิวพยักหน้าฮวงเฟิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าและกล่าวว่า “ ผู้จัดการเหวิน สวัสดีครับ ผมชื่อว่าฮวงเฟิง”
“คุณเฟิงสวัสดีครับ ขอบคุณที่เลือกบ้านประมูลของเรา” ผู้จัดการเหวินกล่าว
หลังจากนั้นคนทั้งสามก็เข้าไปภายในบ้านประมูลและภายในห้องโถง ฮวงเฟิงก็ได้เห็นคำแนะนำสิ่งของต่างๆ มากมาย พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นของที่มีชื่อเสียงและได้ถูกขายไปจากบ้านประมูลศาลาสมบัติแห่งนี้
และฮวงเฟิงก็ยังได้เห็นภาพวาดที่มีราคาซื้อขายมากกว่า50 ล้านเหรียญ ซึ่งมันเป็นภาพวาดสีน้ำมันแบบตะวันตก
ฮวงเฟิงนั้นไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้และไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่มันเป็นเพียงแค่ว่าเขาตกใจกับราคาซื้อขายนั้น
ซึ่งแน่นอนว่ายังมีข้าวของอื่นๆที่แพงกว่านี้อีก เพียงแต่ว่าฮวงเฟิงเองก็ต้องการประมูลภาพวาดเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงให้สนใจพื้นที่นี้มากกว่า
ผู้จัดการเหวินพาฮวงเฟิงและผู้อาวุโสชิวไปที่ห้องทำงานของเขาซึ่งมีคนรอพวกเขาอยู่แล้วและคนที่รออยู่ก็เป็นคนที่ต้องการประเมินราคาสิ่งของที่ฮวงเฟิงนำมาด้วย
แม้ว่าจะเป็นเพราอาวุโสชิวแต่สิ่งที่ฮวงเฟิงนำมาด้วยนั้นก็สามารถนำไปประมูลได้อย่างแน่นอน
แต่บ้านประมูลของพวกเขาก็จำเป็นต้องมีทำความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับข้าวของทุกสิ่งที่ถูกประมูลและจากนั้นพวกเขาก็จะได้ กำหนดราคาของมันได้หรืออะไรทำนองนั้น
ฮวงเฟิงส่งภาพวาดที่เขานำติดตัวไปด้วยให้อีกฝ่ายและเมื่อพวกเขาประเมินแล้วพวกเขาก็พบปัญหาเช่นเดียวกันกับที่อาวุโสชิว
ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าภาพวาดนั้นพิเศษแต่พวกเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครคือผู้วาดภาพนี้
เห็นได้ชัดว่าผู้ประเมินรู้จักกับอาวุโสชิวและเมื่อเขาประเมินภาพวาดแล้วเขาก็จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชายชรา
“ภาพวาดของคุณฮวงนี่เป็นผลงานชิ้นเอกจริงๆแต่น่าเสียดายที่ภาพวาดเก่าแก่นี้ไม่มีประสบการณ์มากนักและก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กหวู่ตงคนนี้เป็นใคร” หลังจากนั้นไม่นานนักผู้ประเมินประเมินภาพวาดเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นยืนและพูดกับฮวงเฟิง
จากนั้นก็บอกกับผู้จัดการเหวินว่าภาพวาดสามารถเข้าสู่การประมูลได้อย่างสมบูรณ์
ราคาเริ่มต้นที่ผู้ประเมินให้ก็คือห้าแสนเหรียญเช่นกันจากนั้นผู้จัดการเหวินก็ถามความคิดเห็นของเขาจากฮวงเฟิง ท้ายที่สุดหากราคาเริ่มต้นสูงเกินไปและไม่มีใครเสนอราคา งานก็จะถูกขายซึ่งอาจจะทำให้ผู้ขายขาดทุน
ที่”ศาลาสมบัติ” แห่งนี้ ราคาน่าจะอยู่ที่ห้าแสนเหรียญ ถ้าหากว่าขายได้ที่นี่ และถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะขอต่อรองราคาลง แต่เขาก็จะยังคงขายมันได้ ฮวงเฟิงจึงไม่ขัดข้องแต่ประการใด
ดังนั้นผู้จัดการเหวินและฮวงเฟิงจึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็น
ฮวงเฟิงจึงได้เก็บภาพวาดไว้และจากคำบอกเล่าของผู้จัดการเหวินก็พบว่าการประมูลจะเริ่มขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้และคนที่ได้รับเชิญจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่มีชื่อเสียงในมณฑลชิง รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกแห่งการสะสม
คืนนั้นจะมีงานเลี้ยงอีกด้วยและในฐานะเจ้าภาพของการประมูลผู้จัดการเหวินก็เชิญฮวงเฟิงด้วย
แน่นอนว่าเหตุผลส่วนหนึ่งของการเชิญในครั้งนี้เป็นเพราะอาวุโสชิวซึ่งฮวงเฟิงก็ไม่ปฏิเสธ
แม้ว่าเขาจะคิดถึงเรื่องนี้ก็ตามแต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาอยากรู้มากเกี่ยวกับการประมูลและต้องการเห็นว่าภาพของตัวเองจะขายได้ในราคาเท่าไร
“อาวุโสชิวขอบคุณมากสำหรับวันนี้” หลังจากขั้นตอนต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว ฮวงเฟิงและอาวุโสชิวก็จากไป
ที่ด้านนอกบ้านประมูลฮวงเฟิงแสดงความขอบคุณต่ออาวุโสชิวอีกครั้ง
”โอเคสหายน้อย คุณไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก สำหรับเรื่องนี้ฉันก็แค่ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำอีก ดังนั้นวันนี้ฉันขอตัวก่อนนะ” อาวุโสชิวกล่าว
ฮวงเฟิงมองตามหลังของอาวุโสชิวและยิ้มอย่างขื่นๆขณะที่เขาพึมพำกับตัวเองว่า”ฉันทุกข์ทรมานขนาดนี้เพราะผู้หญิงบ้าคนนั้นคนเดียวเลย”
ฮวงเฟิงพูดถึงเซี่ยเมิ่งเจียวอยู่ในใจเพราะถ้าไม่ใช่เพราะเธอแล้ว เขาก็คงไม่เมาหนักและคงไม่มาสายในวันนี้และปล่อยให้อาวุโสชิวรู้สึกแย่กับเขา
อย่างไรก็ตามมาคิดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วฮวงเฟิงทำได้เพียงแค่คิดว่าสักวันเขาจะมีโอกาสได้แก้ตัว
ในขณะที่ฮวงเฟิงยังคงคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะประสานความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาวุโสชิว
ในอีกด้านหนึ่งผู้คุ้มกันชิวดูเหมือนจะอิ่มเอมใจไม่น้อย
นับตั้งแต่ที่เขาได้หนีออกมาเขาก็ได้ใช้ทักษะของเขาขโมยข้าวของมาจากตระกูลใหญ่ๆ หลายแห่ง
จากนั้นก็ใช้ทรัพย์สมบัติที่เขาได้มาเอาไปขายเป็นเงินซึ่งเงินพวกนี้ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จในการรวบรวมผู้คน
ในสังคมปัจจุบันภัยธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่เคยลดน้อยลงและรัฐบาลของจักรวรรดิต้องจ่ายภาษีสูงลิบลิ่ว
ทำให้หลายคนไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไปและต้องอดตาย
ดังนั้นความจริงก็เป็นอย่างที่ผู้คุ้มกันชิวได้จินตนาการไว้
ตราบใดที่ยังมีอาหารหลายๆคนก็ยินดีที่จะทำตามเขาแม้ว่ามันจะงานล่าหัวคน แต่ก็มีคนเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น
ดังนั้นผู้คุ้มกันชิวจึงใช้เงินที่มีอยู่ในมือเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมของตัวเองอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามในตอนแรกเขาไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่ากำลังจะก่อกบฏ
อย่างไรก็ตามแผนไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้เขาจึงต้องการสะสมพลังอย่างช้าๆ จากนั้นค่อยประกาศการกบฏของเขา
เฉพาะในความขัดแย้งกับกรมตำรวจคนของพวกเขาบางคนก็ฆ่า เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่ได้ตั้งใจและแน่นอนว่าพวกเขาสามารถทำได้โดยตั้งใจเช่นกัน
ท้ายที่สุดคนเหล่านี้ถูกรังแกโดยตำรวจในพื้นที่ ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเกลียดชังต่อตำรวจ
ในขั้นต้นผู้คุ้มกันชิวต้องการที่จะจัดการเรื่องนี้แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เขาไม่เคยคิดว่าผู้คนจากเมืองโดยรอบจะได้ยินเรื่องนี้และคิดว่าผู้คุ้มกันชิวกำลังจะก่อกบฏ และมีคนพาคนมาขอความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นผู้คุ้มกันชิวจึงเปลี่ยนความคิดเดิมของเขาโดยใช้โอกาสที่จะประกาศการก่อกบฏ และด้วยความช่วยเหลือของผู้คนจากมณฑลนี้เข้าบุกเมืองในครั้งเดียว ภายในรัศมีไม่กี่สิบไมล์เขาก็จะได้รับตำแหน่งที่เหนือกว่า
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันผู้คุ้มกันชิวได้เปลี่ยนจากสำนักคุ้มกันฝ่ายนอกธรรมดา เป็นผู้นำขนาดเล็กที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายหมื่นคน แน่นอนว่าเนื่องจากความสับสนวุ่นวายของโลกยังคงมีผู้นำมากมายเช่นเขาอยู่ทั่วประเทศ และเขาก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น