กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 231-232
บทที่ 231 เจิ้งฉ่วย
”พี่ชายเอาแต่จ้องอยู่อย่างนั้น ทำไมถึงไม่กินล่ะครับ?” ชายหนุ่มพูดกับฮวงเฟิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ครู่หนึ่ง
ฮวงเฟิงมองไปที่อาหารอีกครึ่งจานตรงหน้าแล้วดันมันออกห่าง บอกไม่ถูกแหะ เขาอยากกินต่อนะ แต่นายก็ช่วยปล่อยให้ฉันกินดีๆได้ไหมล่ะ “ไม่ล่ะ ฉันยังไม่หิว”
”โอ้อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ จริงๆ ผมก็ไม่หิวเหมือนกัน” ชายหนุ่มว่าขณะที่เคี้ยวอาหารเต็มปาก ฮวงเฟิงล่ะไม่เข้าใจสิ่งที่หมอนี่ต้องการจะสื่อเลยสักนิด
”พี่ชายตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ล่ะ? ทำไมผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน” ชายอ้วนหันไปถามฮวงเฟิงด้วยความสงสัย แน่นอนว่าถึงเขาจะถามคำถามฮวงเฟิง แต่สองมือก็ยังตักอาหารเข้าปากไม่หยุด
”หืมนายรู้จักทุกคนในงาน?” ฮวงเฟิงถาม
”ก็ไม่เชิงแต่ส่วนใหญ่ก็รู้จักนะ ถึงยังไง พวกมีตำแหน่งสูงๆของเมืองชิงมีแต่บุคคลสำคัญทั้งนั้น โดยเฉพาะหลานๆอย่างผม ใช่ว่าคุณจะได้พบผมเป็นการส่วนตัวได้ การพบปะกันในวันนี้ งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ ผมถึงดีรู้จักพวกเขา” ชายอ้วนพูดต่อว่า “แต่สำหรับคุณ ผมก็เหมือนคนแปลกหน้าคนหนึ่ง”
”คงงั้นก็ฉันไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกับพวกนาย วันนี้ฉันเลยไม่ได้พาใครมายังไงล่ะ” ฮวงเฟิงตอบอย่างไม่ตรงไปตรงมา ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องอาย
“อืมก็คงจะจริงอย่างที่พี่ว่า ฉันนึกว่านายจะความจำเสื่อมซะแล้ว เจ้าอ้วนเอ้ย!” ชายหนุ่มร่างท้วมกล่าวต่อ “เรื่องนั้นช่างมันเถอะครับ หลังจากนี้ พี่ไปกับผมสิ ผมจะปกป้องพี่เอง!”
เห็นท่าทางกล้าหาญและสูงส่งของชายอ้วนฮวงเฟิงก็ยิ่งไม่เข้าใจ
อย่างไรก็ตามเด็กอ้วนรีบพาฮวงเฟิงไปดูว่าเขารู้จักแขกในงานจริงๆ และเตรียมตัวปกป้องฮวงเฟิง เพราะเขาช่วยแนะนำฮวงเฟิงให้รู้จักกับแขกคนอื่นภายในงาน
จากคำแนะนำของเขาฮวงเฟิงเลยได้รู้จักผู้คนมากมายภายในงาน แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นลูกรุ่นหลาน
”คนพวกนี้เป็นคนรุ่นสองของเมืองชิงของเราแน่นอนว่ามีบางคนที่ไม่ได้มางานนี้ และคนที่ใหญ่ที่สุดในงานก็เป็นคนรุ่นสองที่มีชื่อเสียงมากที่สุด พี่รู้ไหมว่าเขาคือใคร?” เยาวชนอ้วนกล่าว
“ไม่รู้”ฮวงเฟิงตอบอย่างตรงไปตรงมามาก
“โธ่เขาก็ต้องเป็นบุตรชายของคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองชิงไง บุตรชายของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองชิง ถงเฉียน!”
”โอ้ทำไมเขาไม่มางานนี้ล่ะ?” ฮวงเฟิงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจแล้วถามกลับไป
“ผมได้ยินมาว่าเขาถูกทำร้ายน่าเศร้าที่ขาของเขาหัก แต่หมอนั่นก็สมควรโดนแล้ว ผมไม่ชอบหมอนั่นมาตั้งนานแล้ว เขาชอบทำตัวหยิ่งแถมชอบทำให้คนอื่นหมั่นไส้ ครั้งนี้ผมเลยไม่รู้ว่าเขาถูกใครทำร้าย ก็หมอนั่นเล่นสร้างศัตรูไว้เยอะนี่นา” เมื่อกล่าวถึงเรื่องที่ถงเฉียนถูกทำร้ายแล้ว น้ำเสียงของอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยความสุข
”ทำตัวหยิ่งแบบนั้นใช้ไม่ได้เลยแหะ” ฮวงเฟิงว่า เขารู้เรื่องของถงเฉียนดีกว่าใครๆ แต่ความนิยมของสหายคนนี้ดูท่าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าเขาคงจะมีคนคอยประคบประหงมอยู่ตลอด ใครคนนั้นคงจะเป็นคนที่อยู่ที่คลับเฮาส์ในวันนั้นด้วยแน่นอน วันนั้นเขามองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ เลยไม่รู้ว่าวันนี้เขามาร่วมงานหรือเปล่า
”ใช่!พวกรุ่นสองหลายคนไม่ชอบเขา แต่ใครขอให้พ่อเขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองชิงล่ะ ต่อให้ไม่ชอบเขา พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทนต่อไป แต่ครั้งนี้ที่เขาถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็มีคนสะใจอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ” หนุ่มอ้วนกล่าว
หลังจากนั้นชายหนุ่มตัวอ้วนก็พูดคุยเรื่องรุ่นสองกับฮวงเฟิงหลายเรื่องอาทิเช่นการแข่งรถ การต่อสู้ การต่อสู้ของพวกผู้หญิง และอื่นๆอีก เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรุ่นสองทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่าสหายคนนี้ช่างเจรจามากไม่รู้ว่าเขาเห็นฮวงเฟิงถูกใจ หรือปกติแล้วเขาเป็นคนประเภทนี้อยู่แล้ว วันนี้เขาถึงได้พูดคุยกับฮวงเฟิงหลายเรื่อง
แต่หลังจากนั้นไม่นานพ่อของเขาก็เดินมาเจอแล้วเรียกตัวเขาไป
”พี่ชายนี่ นามบัตรของผม ในอนาคต ถ้าพี่ต้องการความช่วยเหลือจากผม พี่จะโทรหาผมก็ได้นะ!” ก่อนจากไป ชายหนุ่มได้ทิ้งนามบัตรไว้ให้วงเฟิง แล้วเดินจากไปอย่างน่าเสียดาย
”เจิ้งฉ่วย?ชื่อแปลกชะมัด แต่ในเมื่อพ่อของเขาเป็นคนตั้งชื่อ ใครจะไปคิดว่าเขาจะกลายเป็นแบบนี้กันล่ะ” ฮวงเฟิงมองดูนามบัตรแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ จากชายหนุ่มที่เคยมีหน้าตาหล่อเหลาก่อนหน้านี้ กลายเป็นชายหนุ่มที่นอกจากจะอ้วนแล้วยังมีใบหน้าที่แสนจะธรรมดาอีก เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด
แน่นอนว่าอีกฝ่ายยังคงมอบความรู้สึกดีๆให้กับเขาชายคนนั้นพูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนมและท่าทางของเขาก็ดีมาก ไม่เหลือความเย่อหยิ่งของคนรุ่นสองที่ร่ำรวยอยู่เลย พออีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ได้มาจากแวดวงเดียวกัน เขาก็ไม่ได้พูดจาดูถูกออกมาสักแอะ
”นายกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”โดยไม่ทันตั้งตัว ซูหยูโม่ได้ก็ได้กลับมาตรงนี้แล้ว ส่วนเซี่ยเมิ่งเจียวกับถังมู่เสวี่ยยังไม่กลับมา
จริงๆแล้วเหตุผลที่ซูหยูโม่กลับมาก่อนเวลาเป็นเพราะเธอกลัวว่าฮวงเฟิงจะเบื่อเสียก่อนเธอเลยกลับมาหาเขาก่อน ส่วนเรื่องทำความรู้จักคนอื่นๆในงาน ให้เซี่ยเมิ่งเจียวจัดการก็น่าจะใช้ได้แล้ว
”เปล่าไม่มีอะไรหรอก” ฮวงเฟิงตอบ
”เขาเป็นเพื่อนนายเหรอ?”ในตอนที่ซูหยูโม่เห็นชายที่ยืนอยู่ข้างกายฮวงเฟิงเดินจากไป เธอจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนรู้จักของฮวงเฟิง
”เปล่าผมเพิ่งพบกับเขาครั้งแรก ผมว่าเขาเป็นคนที่นิสัยดี” ฮวงเฟิงกล่าวขณะที่โบกนามบัตรที่อยู่ในมือ
”เจิ้งฉ่วย?ชื่อแปลกจัง” ซูหยูโม่กล่าว เธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้
ซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวได้ติดต่อกับรุ่นสองเหล่านี้มาสองถึงสามปีแล้วแม้พวกเขาจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับพวกเธอ และถึงรุ่นสองเหล่านี้จะเคยได้ยินชื่อของพวกเธอมาบ้าง พวกเขาก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสานสัมพันธ์กับรุ่นสองในงานนี้
อันที่จริงซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวได้พบเจอรุ่นสองเพียงไม่กี่ครั้งในตอนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง เห็นได้ชัดว่าคนรุ่นสองพวกนั้นนิสัยดีกว่าคนที่นี่ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนแบบไหน ทั้งสองก็ไม่ชอบอยู่ร่วมกับพวกเขาเท่าไหร่ และคนที่นี่ก็มีจำนวนน้อยกว่ามาก
”อืมก็แค่หน้าตาของเขาไม่ค่อยเข้ากับชื่อสักเท่าไหร่” ฮวงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
”อ๊ะจริงสิ นายบอกว่านายนำของมาให้ผู้จัดการเหวิน ฉันขอถามได้ไหมว่าของสิ่งนั้นคืออะไร…” นี่เป็นสิ่งที่ซูยู่โม่เป็นกังวล
บทที่ 232 นายชอบภาพนี้งั้นหรอ?
เนื่องจากวัตถุโบราณที่ฮวงเฟิงส่งมาขายที่นี่ส่วนใหญ่เป็นของเก่าแก่และราคาของวัตถุโบราณนั้นแตกต่างกันมาก ถ้าวัตถุโบราณที่ฮวงเฟิงขายเป็นของเก่าที่ทรงคุณค่า เขาอาจได้รับเงินจำนวนมากถึงขนาดขอลาออกจากบริษัท ด้วยเหตุนี้ ในใจของซูหยูโม่จึงเต็มไปด้วยความสงสัย เธออยากรู้ว่าทำไมฮวงเฟิงถึงได้ครอบครองวัตถุโบราณ ทั้งๆที่เธอไม่จำเป็นต้องคิดมากกับเรื่องนี้เลย
”ก็แค่ของเล็กๆน้อยๆน่ะ”ฮวงเฟิงตอบ จริงๆเขาก็ไม่รู้ว่าภาพวาดผืนนั้นจะขายได้กี่ราคา เขาเลยไม่อยากพูดถึงมันมากนัก
ฮวงเฟิงมีแค่ความคิดที่ว่าเขาจะไม่ลาออกและไม่ขายวัตถุโบราณแสนล้ำค่าอีกสำหรับฮวงเฟิง เขาไม่จำเป็นต้องทำงานในตำแหน่งรปภ.ที่บริษัทเลยสักนิด โดยเฉพาะตอนที่ผู้จัดการหยวนเรียกเขาก่อนหน้านี้ ทั้งรปภ.ด้านซ้ายและขวา ก็ยากที่จะปกป้องหัวใจของฮวงเฟิงได้
เมื่อได้ยินดังนั้นซูหยูโม่จึงหันไปมองฮวงเฟิงแล้วถามว่า “นายอยากลองเปลี่ยนตำแหน่งบ้างไหม? ถ้าอยาก นายก็บอกฉันได้เลยนะ ถึงงานที่ทำจะต่างกัน แต่ฉันเชื่อว่านายทำได้”
ความตั้งใจของซูหยูโม่ชัดเจนมากตราบใดที่ฮวงเฟิงต้องการเปลี่ยนตำแหน่ง เธอก็จะช่วยเขาจัดการเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเป็นงานที่ฮวงเฟิงไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม
”เอาไว้ก่อนก็แล้วกันฉันว่างานรปภ.ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่” ฮวงเฟิงไม่คิดว่านอกจากงานรักษาปลอดภัยแล้ว คงไม่มีตำแหน่งไหนในบริษัทเฮฟเว่นไพร์ที่จะเหมาะสมกับเขามากเท่างานนี้
“งั้นถ้าอยากลองเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็บอกฉันได้เลยนะ” ซูหยูโม่ว่า
ฮวงเฟิงพยักหน้ารับคำ
หลังจากงานเลี้ยงจบลงแขกทุกคนยังไม่กลับ พวกเขาไปยังห้องโถงที่จะมีการจัดงานประมูล
ฮวงเฟิงได้ที่นั่งข้างซูหยูโม่บังเอิญอะไรขนาดนี้
”ผมขอกล่าวขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานประมูลในวันนี้ผมหวังว่าทุกท่านจะได้รับสิ่งที่ทุกท่านปรารถนาครับ” ผู้จัดการเหวินขึ้นไปบนเวทีและกล่าวคำสั้น ๆ จากนั้นก็เดินกลับไป และมีคนที่เหมือนจะเป็นนักประมูลขึ้นมาแทนที่
ทุกคนที่อยู่ด้านล่างมีหนังสือเล่มเล็กอยู่ในมือหนังสือเล่มนั้นจะแนะนำรายการทั้งหมดที่ใช้ประมูลในค่ำคืนนี้ ภาพวาดของฮวงเฟิงก็อยู่ในหนังสือเล่มเล็กเช่นกัน นอกจากนั้นก็เป็นสิ่งของอื่น ๆ จำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามมีผู้เข้าร่วมประมูลอยู่ไม่น้อยคนเหล่านี้ถ้าถูกใจก็จะประมูลสิ่งนั้น ถ้าไม่ถูกใจก็จะประมูลชิ้นถัดไป และถังมู่เสวี่ยก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องการสร้างความประทับใจให้กับผู้อื่นในการประมูล
ถังมู่เสวี่ยต้องการตั้งหลักปักฐานที่เมืองชิงงานประมูลในคืนนี้จึงถือเป็นโอกาสที่ดีไม่น้อย
ก่อนหน้านี้ถังมู่เสวี่ยได้ใช้ประโยชน์จากงานเลี้ยงทำความรู้จักกับแขกคนอื่นๆในงาน ตอนนี้ถ้าเธอได้เข้าร่วมการเสนอราคา เธอก็จะสร้างความประทับใจให้แขกคนอื่นได้อีกครั้ง และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเธอไม่ได้มาเล่นๆ
ฮวงเฟิงหันมองไปทางถังมู่เสวี่ยอยู่ไม่ไกลกำลังทำหน้ามุ่ยคนพวกนี้รวยมากจริงๆ ของดียังไม่มา ราคาก็เกินหลักหมื่นจนเกือบจะถึงหลักแสนแล้ว
ถังมู่เสวี่ยใช้เงินมากกว่าสองแสนซื้อนาฬิกาคลาสสิกหนึ่งเรือนและที่สำคัญคือ นาฬิกาเรือนนี้มีไว้สะสมเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามันไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะประมูลของอะไร ช่างเป็นคนที่รวยอะไรขนาดนี้
ในขณะที่ซูหยูโม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ มองดูการประมูลด้วยท่าทางจริงจัง แม้ว่าเธอจะไม่ได้ประมูลออกไปเลยสักครั้ง
“นี่มีของที่นายสนใจบ้างหรือเปล่า?” ในตอนที่ฮวงเฟิงกำลังคิดอะไรบางอย่าง ซูหยูโม่ก็เอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงเบา
”…ไม่มี”ฮวงเฟิงส่ายหน้า “ฉันไม่ค่อยสนใจพวกของสะสมน่ะ ของสะสมก็เป็นได้แค่ของสะสม นำมาประโยชน์ไม่ค่อยได้”
ซูหยูโม่ยิ้มที่นายพูดมาก็ถูก ในสายตาของคนที่ไม่ได้ชื่นชอบของสะสม สิ่งของที่นำมาประมูลในคืนนี้ล้วนนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้
เวลาผ่านไปไม่นานในที่สุดก็มาถึงภาพวาดของฮวงเฟิง เนื่องจากเขาไม่ทราบว่าใครเป็นผู้วาด บริษัทประมูลจึงไม่ประเมินราคาให้สูงนัก และเป็นไปไม่ได้ที่ของชิ้นนี้จะเป็นชิ้นสุดท้าย เพราะเวลาที่ใช้ในการประมูลยังดำเนินไปไม่ถึงครึ่งทางของกำหนดการ
”แขกผู้มีเกียรติทุกท่านโปรด ดูที่ภาพวาดนี้ให้ดีครับ” แขกทุกคนมองภาพที่ฉายอยู่บนจอโปรเจคเตอร์ หลังจากผู้ประมูลอธิบายภาพเสร็จ ผู้ที่สนใจภาพนี้สามารถขึ้นไปชมมันอย่างใกล้ชิดบนเวทีได้ แต่ห้ามสัมผัสภาพวาดโดยเด็ดขาด
”ผู้ที่วาดภาพนี้ขึ้นมาคืออู๋ทงจื่อ ทุกท่านอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับภาพนี้ ด้วยความสัตย์จริง ผมเองก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อนเช่นกันครับ…” หลังจากผู้ประมูลกล่าวจบ เขายกยิ้มแล้วกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านักวาดคนนี้จะไม่มีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่นั่นก็ไม่ได้ปิดบังความจริงที่ว่า ภาพนี้มีความโดดเด่นที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความตั้งใจ ทักษะที่ใช้ในการวาดภาพนั้นแปลกใหม่มากและเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน”
”นอกจากนี้ผมขอบอกให้ทุกท่านทราบว่าภาพวาดผืนนี้ได้รับการตีราคาจากผู้อาวุโสเฟิงแห่งศาลาสมบัติแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพนี้มีค่ามากขนาดไหน” ผู้ประมูลพูดเสริม
มีเสียงคุยกันเบาๆดังมากจากแขกด้านล่างเวลาทีเห็นได้ชัดว่ามีเพียงไม่กี่คนที่เคยได้ยินชื่อของผู้อาวุโสเฟิง สิ่งที่เขาตีราคาไม่ค่อยผิดพลาด ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนไม่น้อยแสดงความชอบต่อภาพวาดนี้
”ราคาเริ่มต้นสำหรับภาพวาดนี้คือห้าแสนในแต่ละการเสนอราคาขั้นต่ำอยู่ที่หนึ่งหมื่น เริ่มการประมูล!”
”หมายเลข38 ห้าแสนหนึ่งหมื่นครับ”
“หมายเลข19 ห้าแสนสองหมื่นครับ”
ราคาสูงขึ้นไม่หยุดแต่ในการเพิ่มจำนวนก็ไม่ได้เยอะมากโดยเพิ่มขึ้นทีละหมื่น
ในตอนที่ได้ยินว่ามีเสนอราคาฮวงเฟิงก็รู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนการประมูลไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงในเร็วๆนี้ และมูลค่าของมันต้องสูงกว่าในเทรเชอร์พาวิลเลียนแน่นอน
”นายชอบภาพนั้นเหรอ?”จู่ๆซูหยูโม่ก็ถามเสียงเบา
แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมซูหยูโม่ถึงถามแบบนี้นับตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเห็นภาพนี้ ความสนใจของฮวงเฟิงก็อยู่ที่ภาพวาดนี้ตลอดเวลา ซึ่งต่างจากการะประมูลที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง เพราะการประมูลก่อนหน้านี้ ฮวงเฟิงแค่มองดูของประมูลแค่ไม่กี่ครั้ง ก็เลิกสนใจมัน
”หืมเมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ?” ฮวงเฟิงถามกลับด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้เขามัวแต่สนใจการประมูล เลยไม่ได้ยินที่ซูหยูโม่ถาม เพราะทุกครั้งที่มีการเสนอราคา มันทำให้หัวใจของฮวงเฟิงเต้นไม่เป็นจังหวะ ช่วยไม่ได้ ในการประมูลแต่ละครั้งเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งหมื่นหยวน มันมากกว่าเงินเดือนเสียอีก!
ครั้งนี้ซูหยูโม่ไม่ตอบ เธอยกแผ่นป้ายในมือขึ้น แล้วหันไปส่งยิ้มให้ฮวงเฟิง “เปล่า ไม่มีอะไรจ๊ะ” เนื่องจากซูหยูโม่เห็นว่าฮวงเฟิงถูกใจภาพวาดนี้ เธอก็จะช่วยอีกฝ่ายช่วงชิงมันมาให้ได้
”หมายเลข35 หกแสนสองหมื่น!” เสียงของผู้ประมูลดังขึ้น และหมายเลข 35 ที่ว่าก็เป็นหมายเลขของซูหยูโม่นั่นเอง!
ฮวงเฟิงหันไปมองซูหยูโม่ด้วยความตกใจแล้วถามว่า”เธอชอบภาพวาดนี้เหรอ?”
ฮวงเฟิงไม่รู้ว่าซูหยูโม่ตั้งใจประมูลมันให้เขาเป็นของขวัญเขาคิดว่าซูหยูโม่คงชอบภาพวาดนี้ เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้นเธอก็คงไม่ประมูลมันหรอก