กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 251-252
บทที่ 251 ความคืบหน้า
”ระหว่างการสอบสวนเราพบว่าหลินจื่อเฉิงมีความเกี่ยวข้องกับ ‘บริษัท รักษาความปลอดภัยในตะวันออกจีน’ ในอดีตลุงหลี่คนนั้นเคยเป็นพวกอันธพาล แต่ต่อมาเขาก็ออกเดินทางเร่ร่อนไปทั่ว ถึงเราจะต้องการจับตัวเขาแต่เราไม่มีหลักฐานใด ๆ นอกจากนี้ หลินจื่อเฉิงยังเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของลุงหลี่ แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังใกล้ชิดกับลุงหลี่อยู่ค่ะ”
”คุณพอจะตรวจสอบได้ไหมครับ?”ฮวงเฟิงถามด้วยน้ำเสียงกังวล
”ยังไม่ได้ค่ะเพราะยังเหลืออีกคน…” ชิวหนิงซวงตอบ
“คงไม่ใช่ถงเฉียนจุนใช่ไหมครับ?”ฮวงเฟิงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่นึกถึงประวัติของถงเจี้ยน
”เอ๋..คุณรู้ได้ยังไงคะ?” ชิวหนิงซวงตอบด้วยความตกใจ เพราะเธอไม่ได้บอกอีฝ่ายเรื่องความสัมพันธ์ของถงเฉียนจุนกับลุงหลี่ แต่ถึงอย่างนั้น ฮวงเฟิงกลับเดาได้ว่าเป็นเขา
”แค่ก!ผมแค่ลองเดามั่วๆน่ะครับ” ฮวงเฟิงไอแห้ง ๆ เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอหลุดปากออกไปก็รีบอธิบายอีกฝ่ายทันที
แต่เพราะชิวหนิงซวงไม่ใช่คนโง่ไม่แปลกที่เธอจะไม่เชื่อคำอีกฝ่ายง่ายๆ “แล้วคุณรู้เรื่องอื่นอีกไหมคะ?”
”ไม่ครับผมเป็นแค่รปภ.ตัวเล็ก ๆ ผมจะไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง..” ฮวงเฟิงตอบ
ชิวหนิงซวงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮวงเฟิงพูดก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าเขาจะล่วงรู้อะไรบางอย่าง แต่ที่ฮวงเฟิงพูดมาเมื่อกี้ก็ไม่ผิด เขาเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ชิวหนิงซวงที่กำลังสับสนหยุดคิดเรื่องนี้ไปชั่วคราวและเก็บเรื่องนี้ไว้ “คุณคิดถูกแล้วค่ะ เป็นถงเฉียนจุนจริงๆ เขาออกมาปิดเรื่องนี้และต้องการทำให้เรื่องนี้เงียบ”
“เป็นเขาจริงๆด้วย…”ฮวงเฟิงพึมพำเบา ๆ คราวนี้เขาไม่กล้าให้ ชิวหนิงซวงได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง
แต่เรื่องนี้ได้ยืนยันการเดาของเขาก่อนหน้านี้มีถงเจี้ยนหรือถงเฉียนจุนอยู่เบื้องหลังเขาต้องระวังผู้ชายคนนี้ หมอนี่คงเป็นคนบ้าจริงๆสินะ
“พวกคุณจะไม่ทำแบบนี้จริงๆเหรอ?”ฮวงเฟิงถามกลับด้วยความเป็นห่วง
ฮวงเฟิงทราบถึงอิทธิพลของถงเฉียนจุนหากอีกฝ่ายใช้เส้นสาย แน่นอนว่าพวกตำรวจจะต้องถูกกดดันมาก หากพวกเขายังดั้นด้นที่จะตรวจสอบต่อไป มันคงเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย
”ได้ยังไงละคะฉันต้องตรวจสอบเรื่องนี้อยู่แล้วค่ะ!” ชิวหนิงซวงตอบอย่างชัดเจน
ในความเป็นจริงการคาดเดาของฮวงเฟิงไม่ผิดว่าถงเฉียนจุนได้ใช้เส้นสาย ถ้าเป็นแค่ตำรวจธรรมดา ที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ พวกเขาจะถูกกดดันเพราะประเมินความสามารถของอีกฝ่ายต่ำไป ทำให้เขาไม่สามารถติดตามคดีนี้ต่อ และปล่อยให้ทั้งสองคนรับโทษ
แต่สิ่งที่ฮวงเฟิงไม่รู้ก็คือชิวหนิงซวงไม่ใช่ตำรวจธรรมดา พ่อของเธอเป็นหัวหน้าตำรวจแห่งเมืองชิง แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้ทรงอิทธิพลในเมืองชิง แต่เขาก็ยังมีอิทธิพลเหนือกว่าคนพวกนั้น
นอกจากนี้ตระกูลชิวยังมีอิทธิพลในเมืองหลวงด้วยเหตุนี้พ่อของชิวหนิงซวงจึงไม่หวั่นเกรงต่อแรงกดดันดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย
ครั้งนี้ลูกสาวของเขาเกือบจะถูกฆ่าตาย ดังนั้น แม้ชิวหนิงซวงจะไม่บอก แต่เธอก็ไม่มีทางล้มเลิกการสอบสวนเป็นอันขาด
เพราะหลังจากรู้ว่าถงเฉียนจุนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ฮวงเฟิงจึงบอกกับชิวหนิงหวงว่าเธอไม่ควรสืบคดีต่อ และให้คนอื่นตรวจสอบว่าถงเฉียนจุนคือใคร และเขาเป็นใครถึงได้กล้ามาหลอกลวงคนธรรมดาแบบนี้
แต่ในฐานะหัวหน้าตำรวจเมืองชิงเขาจะไม่รู้เบื้องหลังของอีกฝ่ายได้อย่างไร? ดังนั้น เขาจึงทำมันเพื่อปกป้องลูกสาวของตัวเอง
แต่เห็นได้ชัดว่าชิวหนิงซวงไม่มีทางล้มเลิกความคิดง่ายๆนี่เป็นคดีใหญ่ที่เธอเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้น เธอเกือบถูกฆ่าตาย ถ้าไม่เพราะเธอต้องสืบมันด้วยตัวเอง เธอก็ไม่ยินดีที่จะทำแบบนี้เช่นนั้น
”คุณกำลังจะบอกว่าฉันไม่ควรสืบคดีแบบเปิดเผยแต่ควรสืบคดีแบบเงียบๆเหรอคะ?” แม้ว่าชิวหนิงซวงจะไม่ได้บอกตัวตนของเธอให้อีกฝ่ายรู้ แต่อีกฝ่ายก็บอกเธอว่าให้สืบมันอย่างลับๆ ชิวหนิงซวงไม่สามารถเข้าร่วมการสอบสวนได้
ฮวงเฟิงไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปแต่ในความคิดของเขา อีกฝ่ายเป็นแค่ตำรวจจราจร คดีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องของตำรวจจราจรที่จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องสักหน่อย
”ฉันเข้าใจแล้วค่ะ!”ชิวหนิงซวงกล่าวด้วยหนักแน่น
“ถ้าเกิดว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับลุงหลี่และถงเฉียนจุนมันอันตรายมากเลยนะครับ” ฮวงเฟิงกล่าว
”อันตรายขนาดไหนฉันก็จะทำค่ะ!” ชิวหนิงซวงตอบ “อีกอย่าง ฉันไม่ได้ขอความคิดเห็นจากคุณสักหน่อย…”
ฮวงเฟิงถึงกับอึ้งแต่เขาก็ยังคงตอบอีกฝ่ายไปว่า “อ่า.. ช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่า ถ้ามีความคืบหน้ากับเบาะแสอื่น ผมจะบอกคุณนะครับ”
เห็นได้ชัดว่าชิวหนิงซวงเป็นคนรักษาคำพูดเธอโทรมาหาฮวงเฟิงเพียงเพราะต้องการอัพเดทความคืบหน้าให้เขาทราบ
”เดี๋ยวก่อนครับอย่างเพิ่งวางสาย!” เมื่อเห็นว่าชิวหนิงซวงกำลังจะวางสาย ฮวงเฟิงก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณมีแผนจะตรวจสอบมันยังไงบ้างครับ?”
”ทำไมคุณถึงถามอะไรแบบนั้นละคะ?”ชิวหนิงซวงถามกลับด้วยความระมัดระวัง
”ไม่มีอะไรครับเจ้าหน้าที่ชิว ผมเคยช่วยชีวิตคุณไว้ แต่ตอนนี้คุณกลับสงสัยผมแล้วเหรอครับ” ฮวงเฟิงหัวเราะปนร้องไห้
เมื่อได้ยินคำพูดของฮวงเฟิงชิวหนิงซวงก็รู้สึกอับอายเล็กน้อยพลางนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตตัวเอง “ตอนกลางคืน ฉันจะไปหาลุงหลี่เพื่อจับตาดูเขาในคืนนี้ค่ะ”
”ที่ไหนครับ?”ฮวงเฟิงตกใจ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เขาก็เกิดความคิดดีๆขึ้นมา “คืนนี้ ผมจะไปที่นั่นกับคุณด้วย”
เดิมทีชิวหนิงซวงต้องการปฏิเสธ แต่พอคิดถึงเรื่องที่ฮวงเฟิงบอกมาแล้ว ตอนนี้เธอต้องสืบคดีด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจคนอื่นได้
”เรื่องนี้ฉันทำมันได้สบายมากค่ะ แต่อย่างที่คุณบอก ที่นั่นเป็นสถานการณ์ที่อันตราย คุณไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับตัวเองเหรอคะ?” ชิวหนิงซวงถามกลับ
เธอมั่นใจมากเพราะตั้งแต่เธอที่เธอมาประจำการที่สถานีตำรวจเธอก็มีความรับผิดชอบในการจับกุมคนร้าย ไม่ว่าจะต้องเสี่ยงอันตรายเธอก็ไม่หวั่น
ต่างจากฮวงเฟิงอีกฝ่ายดันเป็นแค่คนธรรมดานี่สิ…
”ไม่เป็นไรครับผมป้องกันตัวเองได้” ฮวงเฟิงตอบ
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองมากนัก ถ้าเขาเลือกที่จะไม่สืบมันได้ เขาก็จะไม่ทำ แต่เพราะเขามีความขัดแย้งกับถงเจี้ยน และในตอนนี้ ถงเจี้ยนก็ได้รับการรักษาแล้ว จึงไม่มีอะไรมารับประกันว่าอีกฝ่ายจะไม่ลอบทำร้ายเขา
บทที่ 252เสียสละ
”ถ้างั้นพวกเราจะเริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่คืนนี้เลย”ชิวหนิงซวงกล่าว
”ได้เลยครับผมจะรอคุณโทรมานะครับ” ฮวงเฟิงตอบ
หลังจากนั้นพวกเขาจึงวางสายไปทั้งคู่
ฮวงเฟิงรู้สึกไม่ไว้ใจเนื่องจากอีกฝ่ายสามารถฆ่าเขาอย่างไร้ปรานีได้หากอีกฝ่ายพบว่าเขาและชิวหนิงซวงกำลังสืบเรื่องของพวกเขาอยู่ มันไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่โดนปิดปาก
อย่างไรก็ตามฮวงเฟิงรู้สึกว่าเขาต้องไปเพราะเขาเองก็ไม่สามารถทิ้งภัยที่อยู่เบื้องหลังนี้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีสิ่งที่ทำให้เขามั่นใจขึ้นมา นั้นก็คือ
ผลไม้สีแดงที่เขาได้มาเมื่อคืนเช่นนั้น ฮวงเฟิงจึงใช้โอกาสนี้เริ่มฝึกลมปราณ แม้ว่าจะรู้สึกถึงมันไม่ได้มากนัก อีกทั้งยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรแต่ทุกเส้นลมปราณในร่างกายของเขานั้นถือว่าดีเลยทีเดียว
“เฉียนจุนเกิดอะไรขึ้น?”
ภายในคลับเฮาส์แห่งหนึ่งลุงหลี่และถงเฉียนจุนต่างอยู่ในอารมณ์ที่คุกรุ่น ลุงหลี่เองก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องการตายของพี่เปี่ยว
”เป็นยังไง?อะไรอีกล่ะ? ลูกน้องของนายกล้ามากที่ฆ่าแม้กระทั้งลูกสาวขอท่านชิว?! นายต้องกล้าขนาดไหนกัน?” ถงเฉียนจุนพูดอย่างหงุดหงิด
ก่อนหน้านี้ลูกชายของเขาถูกซ้อมจนขาหัก ซึ่งลูกชายคนนี้เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของเขาอีกด้วย เรื่องที่ลูกชายเขาขาหัก เขาย่อมไม่ปล่อยคนทำเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่นอน เช่นนั้น เขาจึงปล่อยให้ลุงหลี่ฆ่าคนไปสองคน
เรื่องที่กล่าวมานี้เดิมทีไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาแม้แต่น้อยแม้ว่าลูกน้องทั้งสองคนที่กำลังจะตายอาจจะสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเขาได้ แต่เขาเองก็มั่นใจว่าเส้นสายและอิทธิพลของเขาสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ตราบใดที่ลุงหลี่และคนอื่น ๆ จัดการปัญหาทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย คนอื่นๆ ก็อาจไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้
เขาไม่เพียงมีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการตายของลูกสาวอาจารย์ชิวเท่านั้นแต่เรื่องนี้คาดไม่ถึงว่าจะต้องถูกเปิดเผยด้วยเช่นกัน ลูกน้องของลุงหลี่นั้นกล้าที่จะฆ่าแม้กระทั้งลูกสาวของท่านชิวซึ่งถือเป็นเรื่องที่อุกอาจมากและแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่กล้ากระทำเช่นนั้น แต่ลูกน้องที่แสนโง่เขลากลับกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ และสิ่งทำให้เขาโกรธยิ่งขึ้นไปอีก นั้นก็คือเหตุการณ์นี้จะถูกตรวจสอบทุกอย่างโดยละเอียด เพราะท้ายที่สุดแล้วเขา ท่านชิวผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาตำรวจยากที่จะเอ่ยว่ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นในเขตอำนาจรัฐ แต่ลูกสาวของเขาก็เกือบโดนยิงจนเกือบตายเช่นกัน ดังนั้น แม้ว่าเขาจะดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาก็ไม่สามารถทนต่อสิ่งได้เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าถงเฉียนจุนจะพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนัก ท่านชิวโกรธมากและตำรวจทุกนายในมณฑลชิงก็โกรธแค้นเช่นกัน พวกเขาได้จัดตั้งกองกำลังพิเศษและยกให้คดีนี้เป็นคดีที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ
”ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาจะบังเอิญไปฆ่าลูกสาวของท่านชิว” นี่มันเหมือนโชคร้ายสำหรับพวกเขาที่ถูกตำรวจพบและอีกฝ่ายก็เป็นคนของท่านชิวอีกด้วย เดิมทีพวกเขาต้องการที่จะฆ่าเธออยู่แล้ว ถ้าเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง อย่างมากเขาก็คงปล่อยให้ลูกน้องสองคนที่เป็นผู้ก่อเหตุรับผิดชอบเรื่องนี้ไป
แต่ถ้าก่อนหน้านี้พวกเขาได้รู้ถึงสถานะของอีกฝ่ายก่อนก็คงไม่จำต้องจบปัญหาแบบนี้
อย่างไรก็ตามมันไม่มีประโยชน์แล้วที่จะคิดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ สิ่งต่างๆ ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็คือคิดหาวิธีแก้ไขปัญหา
”ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆฉันคิดไม่ถึงว่าแกจะพูดจาหมาๆแบบนี้!” ถงเฉียนจุนพูดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะถ้าเขาไปพูดไปมากกว่า บางทีอาจมีคนปะติดปะต่อเรื่องราวได้และถ้าเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยก่อคดีเรื่องนี้คงไม่เป็นเรื่องใหญ่
อย่างไรก็ตามท่าทีของถงเฉียนจุนในตอนนี้ทำให้ลุงหลี่รู้สึกทุกข์ร้อนไม่ต่างกันอย่างมากราวกับว่าเขาเป็นน้องชายของถงเฉียนจุนไปโดยปริยาย แม้ว่าสถานะปัจจุบันของเขาจะแย่ลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับถงเฉียนจุนในปัจจุบัน แต่หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาก็ต่างเคยอยู่ข้างถนนด้วยกันมาก่อนจึงเข้าใจกันดี
“พี่เฉียน นี่คือสิ่งที่นายต้องการให้ทำจริงๆ หรอ ถึงแม้ว่าจะมีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแต่มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเห็นหรอก สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้ก็คือ หาวิธีจัดการกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดและเลี่ยงไม่ให้พวกตำรวจจับตาดูพวกเราได้ ” ลุงหลี่หายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความโกรธ เขายังคงต้องการถงเฉียนจุนช่วยจบปัญหาที่เกิดขึ้น อีกทั้งตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ทั้งสองคนจะมาตั้งแง่ใส่กัน
”วิธีหรอ?”ฉันจะทำอะไรได้บ้างล่ะ? ” ตอนนี้พวกตำรวจสนใจแค่เรื่องสืบคดีนี้เท่านั้น ไม่มีใครฟังความเห็นฉันสักคน”ถงเฉียนจุนกล่าว แม้ว่าเขาจะมีเส้นสาย แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสังกัดใดสังกัดหนึ่งของรัฐบาลและแม้ตำรวจพวกนี้จะต้องการเงินจากเขาหรือต่างได้ผลประโยชน์จากเขา แต่เรื่องการสืบคดีไม่ได้มีผลต่ออนาคตของพวกเขา ดังนั้นตำรวจพวกนี้จึงไม่จำเป็นต้องสนใจคำขอของเขา
หลังจากที่ถงเฉียนจุนได้ระบายอารมณ์ออกมาบ้างเขาก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า: “อันที่จริง มันไม่ได้แปลว่าไม่มีหนทางสะทีเดียวหรอกนะ ให้ลูกน้องของนายที่หนีไปกลับมารับผิดสะก็สิ้นเรื่อง ตราบใดที่ลูกน้องของนายรับผิดแต่เพียงผู้เดียวและไม่สาวมาถึงเรา ทุกอย่างก็เรียบร้อย”
เห็นได้ชัดว่าถงเฉียนจุนกำลังหมายถึงหลินจื่อเฉิงคนที่อยู่ด้านพวกเขาบ้างคนต่างก็ทราบเช่นกันว่าหลินจื้อเฉิงจะต้องถูกเปิดโปงแน่ดังนั้นจึงไม่ใช่ทั้งลุงหลี่และถงเฉียนจุนที่รู้ว่าลูกน้องสองคนที่ทำความผิดเป็นใคร แต่เป็นหลินจื้อเฉิง ตราบใดที่หลินจื้อเฉิงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้ ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็จะไม่ต้องรับผิด
เขารู้ว่าถ้าเขาจัดการเรื่องนี้และเก็บเก็บความลับไว้ได้ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย อย่างไรเสียหลินจื้อเฉิงก็เป็นคนที่เขาสนับสนุนเต็มที่มาเสมอและยังเป็นลูกน้องที่มีความสามารถคนหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงไม่ยินดีนักที่จะต้องเสียมือดีแบบนี้ไป
แม้ว่าลุงหลี่จะมือสะอาดแต่ในทางกลับกันเขาเองก็ไม่อยากสูญเสียอิทธิพลในโลกแห่งมืดไปเช่นกันในโลกมืดนั้นเขามีผู้ช่วยคนสำคัญอยู่สองคนด้วยกัน คนที่หนึ่งคือ ชิวฮ่าว ตอนนี้ชิวฮ่าวขาพิการไปข้างหนึงและแม้ว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ความแข็งแกร่งนั้นก็ลดลงไปมากด้วยเช่นกัน
หากเขาทำเช่นนั้นมันจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลุงหลี่จะเหินห่างมากขึ้น ในกรณีนี้ เขาทั้งได้ประโยชน์และเสียประโยชน์มากเช่นกัน โดยปกติคนมักจะไม่ค่อยฉกฉวยผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้ามแต่จะระวังไม่ให้ฝ่ายตนเสียประโยชน์ไปมากกว่า หากเขาต้องเผชิญปัญหาที่ไม่ต้องการให้จัดการอย่างโจ่งแจ้ง เขาต้องขอความช่วยเหลือจกคนอื่นแต่การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นที่พอใจสำหรับลุงหลี่เพราะลุงหลี่ต้องการใช้อำนาจของเขาในการจัดการเรื่องทั้งหมดเอง