กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 261-262
บทที่ 261 แขก
และฮวงเฟิงที่เพิ่งกลับาถึงที่พักของเขาก็ได้ต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิด
”เป็นคุณนั่นเอง?”ฮวงเฟิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เขามองไปที่กัวเมิ่งหานที่ถือกล่องเก็บความร้อนออกไปข้างนอก
แม้ว่าทั้งสองคนจะอาศัยอยู่ชั้นบนและชั้นล่างแต่ก็ไม่เคยไปเยี่ยมเยียนที่พักของกันและกันมาก่อน
“เอ่อขอบคุณค่ะ ไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี นี่คือเกี๊ยวที่ฉันทำเอง ลองชิมดูสิ” เมื่อเห็นฮวงเฟิงมองดูเธออยู่ ใบหน้าของกัวเมิ่งหานก็แดงระเรื่อขึ้น แต่เธอก็ยังคงเป็นกังวลอยู่เช่นกัน
หลังจากที่ยัดกล่องเก็บความร้อนไว้ในมือจองฮวงเฟิงโดยที่ไม่สนใจว่าฮวงเฟิงจะรู้สึกอย่างไรเธอก็รีบหันหลังกลับและวิ่งออกไป เธอไม่ได้ขึ้นลิฟต์ แต่เดินตรงไปที่บันได
”นี่?”ฮวงเฟิงมองดูกล่องเก็บความร้อนในมือของเขาโดยที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ด้วยว่านี่เป็นความตั้งใจของกัวเมิ่งหาน ซึ่งถ้าเขารับไว้มันก็คงจะดีกว่า แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับ แต่อีกฝ่ายก็ได้หนีไปแล้ว เขาจึงทำอะไรไม่ได้เลย
ฮวงเฟิงรู้ดีว่ากัวเมิ่งหานต้องการงานและไม่ใช่เพราะว่าเงินเดือนนั้นน้อยเกินไป
เขาจึงได้โทรหากัวเหลียงก่อนหน้านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากัวเมิ่งหานไปทำงานที่โรงงานจริงๆ เงินเดือนก็จะดีเช่นกัน แต่ฮวงเฟิงนั้นไม่ได้สนใจเงินจำนวนเล็กน้อยนั้นเลย
เดิมทีเขาต้องการที่จะปฏิเสธแต่กัวเหลียงไม่เห็นด้วย ในฐานะเพื่อนที่ดีเขาเข้าใจสถานการณ์ของกัวเมิ่งหานดี
และตอนนี้เธอก็ได้รับคำแนะนำจากฮวงเฟิงแล้วเธอจึงมีความสุขไปตามท้องเรื่อง
ดังนั้นกัวเมิ่งหานจึงรู้สึกขอบคุณฮวงเฟิงเป็นอย่างมาก และต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงความขอบคุณ
อย่างไรก็ตามหลังจากคิดที่เรื่องนี้แล้ว เธอก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงได้ห่อเกี๊ยวและและนำมามอบให้แก่ฮวงเฟิง
”อืมฉันเองก็ไม่คิดว่าทักษะการทำอาหารของเธอจะดีขนาดนี้เลยนะ” แต่ฮวงเฟิงนั้นอิ่มแล้วและไม่รู้สึกหิว
แต่หลังจากได้กลิ่นหอมของเกี๊ยวแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะลองลิ้มรสสักชิ้นหนึ่ง
เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะอร่อยอย่างคาดไม่ถึงถึงแม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับทักษะการทำอาหารของเขาหลังจากที่ใช้ “คัมภีร์อัมฤทธิ์” แต่มันก็ยังรสชาติดีกว่าของคนทั่วไปมาก
และยังเทียบได้กับทักษะการทำอาหารของเชฟในร้านอาหารเล็กๆบางแห่งอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการลิ้มรสเกี๊ยวแสนอร่อยนี้ด้วยอย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งที่กัวเมิ่งหานมอบให้กับเขา ดังนั้นหากเธอรู้ว่าฮวงเฟิงเอาเกี๊ยวนั้นไปให้ “สุนัข” กิน เธอก็คงจะไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ทำให้เสี่ยวไป่อิจฉา
ไม่มีอะไรใหม่ปรากฏในกล่องจักรวาลดังนั้นฮวงเฟิงจึงไม่ได้สนใจ เขาไปอาบน้ำแล้วเข้านอน ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าที่เขาจะต้องทำในวันพรุ่งนี้
“ทำไมกลับดึกจัง?”เมื่อชิวหนิงช่วงกลับบ้าน เธอคิดว่าพ่อแม่ของเธอคงจะเข้านอนไปแล้ว แต่พ่อของเธอกลับกำลังรอเธออยู่ในห้องโถงใหญ่
”ไปปฏิบัติหน้าที่ค่ะ”ชิวหนิงช่วงกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงอารมณ์ดีเกี่ยวกับการที่พ่อของเธอย้ายเธอออกจากหน่วยงาน ขณะที่เธอพูด เธอก็เตรียมตัวกลับห้องของตัวเอง
ชิวหนิงช่วงเองก็ตกใจเช่นกันเธอไม่คิดว่าพ่อของเธอจะถามสารทุกข์สุกดิบเธอเสียแล้ว
”ไปเยี่ยมเพื่อนมาค่ะ”ชิวหนิงช่วงกล่าว
”ฉันเคยขอให้เธอไปเที่ยวหาเพื่อนบ้างแต่เธอก็ไม่เคยไปเลย แล้วทำไมวันนี้อยู่ๆ ถึงได้คิดไปเยี่ยมเพื่อนล่ะ?” พ่อของชิวหนิงช่วงคิดสงสัย
”ใครอยากจะไปเจอพวกทายาทรุ่นที่สองพวกนั้นกันล่ะ?”ชิวหนิงช่วงพึมพำ เธอเกิดมาและนั่นเป็นตัวกำหนดวงสังคมของเธอ คนรอบตัวเธอล้วนเป็นทายาทรุ่นที่สอง แต่ชิวหนิงช่วงก็ไม่เคยสนใจพวกเขาเลย
“นี่เธอคงไม่ได้ไปสืบคดีลับๆใช่ไหม?” พ่อของชิวหนิงช่วงกล่าว
เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักลูกสาวของตัวเองเป็นอย่างดีและรู้ดีว่าเธอจะไม่ยอมง่ายๆ เช่นเดียวกับตอนที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปทำงานสถานีตำรวจ
ตอนนั้นเธอก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่และในท้ายที่สุดก็สร้างเงื่อนไขทั้งหมดขึ้นมาด้วยตัวเองก่อนที่จะทำการประนีประนอม
“แล้วถ้าหนูเป็นอะไรไปพ่อก็คงจะไม่ให้หนูไปร่วมปฏิบัติงานและหนูก็คงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปทำคดีอีกสินะ” เมื่อเห็นว่าพ่อของเธอเดาถูกแล้ว ชิวหนิงช่วงก็ไม่ปฏิเสธ
“นั่นก็เพื่อประโยชน์ของลูกเอง!”พ่อของชิวหนิงช่วงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่ “ลูกรู้ไหมว่าคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เป็นใคร? พวกเขาโดนกดดัน แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้”
เขาเองยังเคยได้ยินมาว่าลุงหลี่เป็นคนแบบไหนสำหรับวิธีการที่ถงเฉียนจุ้นเคยทำในอดีตนั้น เขาเองก็รู้จักอย่างแจ่มแจ้งดีเช่นกัน
ดังนั้นมันคงจะเป็นการดีถ้าจะไม่ไปเกี่ยวข้องกับพวกเขาและหากมีการเชื่อมโยงกันจริงๆ ก็จะเป็นอันตรายมากสำหรับชิวหนิงช่วงในการสืบสวน
เมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของพ่อชิวหนิงช่วงก็รู้อยู่เต็มอกว่าที่เธอได้ทำไปก็เพื่อตัวเธอเองทั้งนั้น รวมถึงความจริงที่ว่าเธอไม่สามารถที่จะเป็นตำรวจแผนกอาชญากรรมด้วย
”ลูกรู้ว่าพ่อทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวลูกเองแต่ถ้าลูกไม่สอบสวนคดีนี้ด้วยตัวเอง ลูกก็คงจะรู้สึกไม่ดีนัก พ่อ ช่วยสัญญากับลูกด้วยว่าจะปล่อยให้ลูกทำคดีนี้ให้เสร็จ” ชิวหนิงช่วงกล่าว
เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของลูกสาวของเขาอ่อนลงและนอกจากนี้ดูเหมือนเธอกำลังขอร้อง
พ่อของชิวหนิงช่วงก็ตกตะลึงไปชั่วขณะจากนั้นเขาก็เข้าใจถึงความไม่เต็มใจในใจของเธอ เพราะเธออยากจะไขคดีนี้มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้มันเป็นไปด้วยความยากลำบาก
”เอาสิแต่ระวังตัวด้วย ถ้าลูกพบอะไรน่าสงสัยให้รีบบอกพ่อทันที ถ้าลูกต้องการความช่วยเหลือ ก็ของให้บอกพ่อ”
ยิ่งไปกว่านั้นในใจของเขาไม่คิดว่าลูกสาวของเขาซึ่งเป็นตำรวจจราจรมาโดยตลอดจะมีความสามารถในการไขคดีได้จริงๆ
ตอนนี้เป็นเพราะว่าเธออยากมีส่วนร่วมมากเขาจึงได้ปล่อยเธอไปได้ แต่เธอไม่สามารถเข้าร่วมหน่วยงานพิเศษได้
“ขอบคุณค่ะพ่อ!”ชิวหนิงช่วงสวมกอดพ่อของเธออย่างมีความสุขและพูดว่า “พ่อคอยดูนะ คอยดูว่าหนูจะจัดการคดีใหญ่นี้ยังไง!”
ในเมื่อไม่สามารถเข้าร่วมหน่วยงานได้ซึ่งเธอก็ไม่สนใจมันมากเกินไป
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าฮวงเฟิงช่วยเธอได้ไม่น้อยและด้วยความช่วยเหลือของฮวงเฟิงเธอก็รู้สึกว่ามันดีกว่าคนพวกนั้นในหน่วยงานมาก เธอต้องการเพียงแค่การสนับสนุนจากพ่อของเธอเท่านั้น
”ลูกนี่นะ”เมื่อเห็นลูกสาวทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจ พ่อก็มีความสุขมากเช่นกัน
เป็นเวลานานแล้วที่เขาไม่ได้เห็นฉากดังกล่าวนับตั้งแต่ที่เขาไม่เห็นด้วยกับการที่เธอเข้ากรมตำรวจ เธอก็โกรธเขามาตลอดและเลิกเข้าใกล้เขา
”ฉันควรย้ายเธอไปเป็นตำรวจแผนกอาชญากรรมใช่ไหม?”ความคิดนี้แว่บผ่านความคิดของพ่อของชิวหนิงช่วง
บทที่ 262 มาอีกครั้ง
ในวันที่สองเมื่อฮวงเฟิงไปที่บริษัทในครั้งถัดมา เขาไม่ได้พบกับเซี่ยเมิ่งเจียวคนที่ชอบพุ่งเป้ามาที่เขา
สิ่งนี้ทำให้เขาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวเธอแต่เป็นเพราะเขาไม่อยากเกิดปัญหา
ระหว่างเวลาทำงานฮวงเฟิงยังคงฝึกฝนกำลังภายในของเขา เขาสังเกตว่ากำลังภายในของเขาหนาขึ้นเล็กน้อยและกำลังภายในในร่างกายของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนเขารู้สึกได้ว่าเขากำลังจะแตกสลาย
อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของฮวงเฟิง เพราะนี่เป็นคร้้งแรกที่เขาค้นพบสิ่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่สามารถไปขอคำแนะนำใครในเรื่องนี้ได้อีกด้วย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพึ่งพาตนเองในการขบคิดเรื่องนี้ และมันก็คงจะไม่เลวนักถ้าเขาไม่บ้าดีเดือดเกินไปไอรีนโนเวล
ในอีกด้านหนึ่งของโรงงานกัวเหลียงเองก็ได้รับโทรศัพท์เช่นกัน ใน ตอนแรกเขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่นายใหญ่มักจะ “ทำตัวนอกรีต” อยู่เสมอ
จากนั้นเขาก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงงานให้ได้ทราบ
ในขณะเดียวกันเมื่อมีเงินเหลือเพียงเล็กน้อยพวกเขาจึงเริ่มซื้อวัตถุดิบ
เมื่อเริ่มการผลิตแล้วสายการผลิตในโรงงานก็ไม่สามารถหยุดได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นคำขอร้องของฮวงเฟิง เขามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในกล่องจักรวาล และทุกคนก็ยังไม่เคยเห็นผลิตภัณฑ์ที่แล้วเสร็จนั้น
ดังนั้นจึงไม่มีใครมั่นใจเท่าฮวงเฟิงไปอีกแล้วแต่เนื่องจากบอสใหญ่พูดเช่นนั้น คนอื่นๆ จึงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
หลังจากที่โจวหรูหรานและกัวเมิ่งหานเข้ามาทำงานที่โรงงานพวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปในส่วนของห้องเครื่องอีกเลย
แต่พวกเขาถูกจัดให้ไปทำวิจัยแทนสาเหตุหลักเป็นเพราะพวกเขาต้องการทราบว่าครอบครัวใหญ่ในพื้นที่อุตสาหกรรมมีอะไรบ้าง ในการผลิตน้ำเน่าเสียและความต้องการของพวกเขาสำหรับอุปกรณ์บำบัดน้ำเสีย
ในทางกลับกันกัวเหลียงมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ฮวงเฟิง บอสใหญ่นั้นไม่มีอะไรให้ทำ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่กัวเหลียงจะบ่น
ฮวงเฟิงรู้สึกละอายเล็กน้อยแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถลาออกได้แน่นอนว่าเป็นเพราะซูหยูโม่เป็นหลัก
เมื่อถึงเวลาเลิกงานฮวงเฟิงก็ออกจากที่ทำงานทันที คราวนี้โชคไม่ดีที่เขาได้พบกับเซี่ยเมิ่งเจียวอีกครั้ง
และโดยธรรมชาติแล้วเขาไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการถูกเยาะเย้ยจากเธอได้
ซึ่งเป็นเรื่องแปลกถึงแม้ว่าเซี่ยเมิ่งเจียวจะไม่สามารถทนเห็นการกระทำของฮวงเฟิงได้ แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากไล่เขาออกเลย และไม่แม้แต่ที่จะลดตำแหน่งของเขาลง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฮวงเฟิงรู้สึกแปลก เพราะคำพูดของพี่หวังและคนอื่นๆ เซี่ยเมิ่งเจียวไม่ใช่คนใจดีอะไรแบบนั้นเลย
ฮวงเฟิงยังคงคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเซี่ยเมิ่งเจียวไล่เขาออก
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาจะได้ไม่รู้สึกว่าเขาทำให้ซูหยูโม่ผิดหวัง และเขาก็จะได้ไปจากที่นี่เสียที แต่มันก็แค่นั้นแหละ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น
“คุณอยู่นี่เอง?”ในตอนที่ฮวงเฟิงมาถึงนั้น ชิวหนิงช่วงก็ได้มาถึงก่อนแล้ว เหมือนกันกับเมื่อวานนี้
ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ฮวงเฟิงไม่รู้ก็คือหลังจากที่พ่อของชิวหนิงช่วงได้ตอบตกลงให้เธอดำเนินการสืบสวนต่อไปได้
ชิวหนิวช่วงก็ไม่จำเป็นต้องรายงานต่อตำรวจจราจรอีกต่อไป
แม้ว่าก่อนหน้านี้ถ้าเธอทำเช่นนี้ก็คงจะไม่มีใครพูดอะไรได้แต่คราวนี้เป็นพ่อของเธอเองที่สั่งให้เธอทำเช่นนั้น
”เอ่อคราวนี้เราควรเข้าไปก่อนหรือตรงไปทางด้านหลัง” ฮวงเฟิงถาม
”ไปด้านหลังกันเถอะห้องนั้นน่าจะเป็นห้องทำงานของลุงหลี่ ถ้าหลินจื่อเฉิงกลับมา เขาก็คงจะไปทางนั่นด้วย” ชิวหนิงช่วงคิดอยู่สักพักและพูดออกมา
เดิมทีฮวงเฟิงเองก็อยากจะเห็นด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วตอนนี้หลินจื่อเฉิงยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการต่อสู้ครั้งนี้
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมาเขาก็จะต้องผ่านทางเข้าอื่นที่ซ่อนอยู่แทนที่จะเป็นทางเข้าหลัก แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ทางเข้าหลัก แต่ก็คงไม่สามารถปิดกั้นเขาเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตามฮวงเฟิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และยังคงคัดค้านเพราะมันยังไม่มืดสนิท
ถ้าพวกเขานอนอยู่บนกำแพงตอนนี้คนอื่นอาจจะเห็นพวกเขาได้และแม้ว่าแทบจะไม่มีคนมาที่ตรอกซอกซอยนี้แต่ก็ไม่ได้โดยเด็ดขาด
พวกเขาคงไม่สามารถอยู่บนกำแพงและนอนให้ยุงกัดอยู่บนนั้นได้
”สิ่งที่คุณพูดก็เข้าท่าดีนะเข้าไปกันเถอะ” ชิวหนิงช่วงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และรู้สึกว่าสิ่งที่ฮวงเฟิงพูดนั้นสมเหตุสมผล
ดังนั้นเธอจึงไม่ดึงดันความคิดเห็นของเธอนี่คือสถานที่ที่ฮวงเฟิงถนัด เธอจึงไม่ดื้อดึงและยืนยันในความคิดเห็นของเธอ แต่ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเลย
หลังจากที่ทั้งสองเข้ามาแล้วพวกเขาก็ยังคงเลือกนั่งที่มุมใกล้ประตูและดื่มด้วยกันเล็กน้อย
ทั้งสองคนนั่งรอการปรากฏตัวของลุงหลี่และคนอื่นๆโอกาสที่หลินจื่อเฉิงจะเดินผ่านทางเข้าหลักนั้นไม่สูงนัก
แต่ก็เป็นไปได้มากที่ลุงหลี่และชิวฮ่าวจะผ่านทางเข้าหลักนี้
”คุณรอสักครู่นะผมต้องไปห้องน้ำ” หลังจากนั่งไปสักพัก บางทีอาจจะเพราะเขาดื่มเบียร์มากเกินไป ฮวงเฟิงจึงรู้สึกอยากปวดฉี่และตัดสินใจไปเข้าห้องน้ำ
ชิวหนิงช่วงเพียงแค่โบกมือให้กับฮวงเฟิงเธอไม่ได้สนใจเลย
อย่างไรก็ตามเมื่อฮวงเฟิงกลับมาจากห้องน้ำเขาก็พบว่ามีคนสองสามคนล้อมรอบชิวหนิงช่วงอยู่ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที
“คนสวยพี่ชายคนนี้กำลังชวนเธอเต้นอยู่นะ ไว้หน้าพี่หน่อยสิ” ชายหนุ่มกล่าวกับชิวหนิงช่วง
“ใช่แล้วทำไมนายต้องให้ฉันไว้หน้านายด้วยการเต้นรำด้วย? ทำไมนายต้องยโสด้วยเมื่อมาสถานที่เช่นนี้?”
“คนสวยอย่าบอกนะว่าเธอจะไม่ไว้หน้าพี่ๆ ของพวกเรา?”
แม้ว่าชิวหนิงช่วงจะปลอมตัวมาเล็กน้อยและใบหน้าของเธอก็ไม่ได้ดูสวยงามเท่าที่เคยเป็นแต่เธอก็ไม่ได้อำพรางรูปร่างของเธอแต่อย่างใด
ดังนั้นอันธพาลเหล่านี้ที่มาที่นี่เพื่อค้นหาความตื่นเต้นและความโชคดีจึงเข้ามาล็อกตัวเธอไว้อย่างง่ายดายและเข้ามาตามตื๊อเธอ
เมื่อฮวงเฟิงเห็นว่าชิวหนิงช่วงเริ่มขมวดคิ้วแล้วบางทีเธอคงจะกำลังโกรธ แต่เมื่อคิดว่าเธอยังอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และเธอไม่อาจที่จะสร้างความวุ่นวายมากไปกว่านี้ได้ ไม่เช่นนั้นเธอคงจะถูกลุงหลี่หรือลูกน้องของเขาจับได้ก็เป็นได้
ฮวงเฟิงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพียงสองก้าว เขาก็ผลักเด็กหนุ่มที่ขวางทางของเขาออกไปและกล่าวว่า: “ขออภัย ช่วยขยับไปที” ในตอนนี้เขาได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างของพวกนั้นอย่างชัดเจน
”แกเป็นใคร?”คนที่ถูกฮวงเฟิงผลักออกไปกล่าวอย่างไม่พอใจ ในขณะที่เขาพูดอย่างนั้นมือของเขาก็ผลักฮวงเฟิงออกไปเช่นกัน
แต่ความแข็งแกร่งของเขาจะเปรียบเทียบกับฮวงเฟิงได้อย่างไรกันเล่า?ซึ่งเป็นผลให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำและเขาก็ไม่ได้ผลัก ฮวงเฟิงไปข้างหน้าเสียด้วยซ้ำ
”ฉันเป็นแฟนของเธอพวกแกกำลังจะทำอะไรกับแฟนฉัน?” ฮวงเฟิงมองไปที่คนสองสามคน ขณะที่พูด เขาไม่ทันได้เห็นว่าเมื่อตอนที่เขาบอกว่าเขาเป็นแฟนของชิวหนิงช่วงนั้น ชิวหนิงช่วงได้มองเขาด้วยความตกใจเป็นครั้งแรก
พวกนั้นมองไปที่ฮวงเฟิงด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจเดิมทีชิวหนิงช่วงเป็นเป้าหมายของพวกเขาในคืนนี้ แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นแฟนหนุ่ม พวกเขาจึงรู้สึกอารมณ์ไม่ดี
“ถ้าแกบอกว่าเป็นแฟนของเธองั้นก็คงเป็นแฟนเธอจริงๆ สินะ” ในเวลานี้ใครบางคนที่ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ได้กล่าวออกมา