กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 275 -276
บทที่ 275 สร้างปัญหา
“แม่อย่าร้องไห้ไปเลยนะลูกไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ชิวหนิงช่วงพูดอย่างอดไม่ได้ใน ขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงและมองดูแม่ของเธอที่กำลังร้องไห้อยู่ข้างเตียง
แม่ของเธอร้องไห้มาตลอดตั้งแต่เธอเข้าไปอยู่ในห้องผู้ป่วย ไม่ว่าเธอจะพยายามเกลี้ยกล่อมชิวหนิงช่วงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
ส่วนชิวหนิงช่วงเองก็รู้ดีว่าแม่เป็นห่วงเธอ
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร ลูกยังปกติดีทุกอย่าง และลูกก็ยังคงพูดแต่ว่าไม่เป็นอะไร!” แม่ของชิวหนิงช่วงร้องไห้ขณะที่เธอกำลังพูด
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพ่อของลูกรู้ทั้งรู้ว่าลูกต้องการที่จะสืบคดีนี้และก็ยังไม่ยอมหยุดลูก แต่เขากลับเห็นดีด้วย”
พ่อของชิวหนิงช่วงเองก็ยืนอยู่ข้างๆมองดูภรรยาด้วยใบหน้าเจื่อนๆ
เนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลูกสาวจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องกังวลและเสียใจ แต่เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวเขาจะเป็นคนเช่นนี้?
ถ้าเขาไม่ยอมเสียอย่างลูกสาวของเขาก็คงจะไม่ไปตามสืบคดีนี้
“ลูกต้องขอบคุณผู้ชายคนนั้นนะสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เช่นนั้นแล้ว ลูกคงไม่ได้มานอนอยู่แบบนี้?”
“ไม่สิท่านชิว พวกเราสามารถขอบคุณชายหนุ่มคนนั้นได้ถ้าเราชวนเขามาทานข้าวด้วยกัน” แม่ของชิวหนิงช่วงกล่าว
ถึงแม้ว่าชิวหนิงช่วงจะไม่ได้เล่าว่าฮวงเฟิงช่วยเธอไว้อย่างไรในตอนนั้นแต่ทุกคนก็รู้ดี เพราะจากตำแหน่งที่เธอถูกยิง มันต้องเป็นปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ทำให้เธอผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้
และตอนนี้ร่างกายของชิวหนิงช่วงก็ยังคงเป็นปกติดีซึ่งนั่นหมายความว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นพ่อของชิวหนิงช่วงเป็นกังวลมากเกี่ยวกับลูกสาวของเขา และหลังจากที่ได้ทราบว่าลูกสาวของเขาไม่เป็นอะไร เขาก็เลยไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ชายคนที่ชื่อว่าฮวงเฟิงต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เพราะว่าลูกสาวของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและตอนนี้เธอกลับไม่ได้รับอันตรายอะไรเลย
และลูกสาวของเธอเองก็ไม่ยอมเปิดปากพูดว่าอีกฝ่ายได้ช่วยเธอไว้อย่างไรดังนั้นเขาจึงยิ่งสนใจในตัวของฮวงเฟิงมากขึ้น
“ได้สิเขาช่วยชีวิตลูกสาวของเราเอาไว้ เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง” พ่อของชิวหนิงช่วงกล่าว
เขาเองรู้สึกสนใจในตัวของฮวงเฟิงอยู่แล้วตั้งแต่ต้นและในตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มคนนี้
“พ่อลืมเรื่องนี้ไปซะเถอะ เอาไว้ลูกออกจากโรงพยาบาล แล้วลูกจะไปขอบคุณเขาเอง” ชิวหนิงช่วงกล่าว
เห็นได้ชัดว่าเธอรู้ว่าพ่อเธอกำลังสงสัยบางอย่างและฮวงเฟิงก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความลับของเขา
ดังนั้นชิวหนิงช่วงจึงไม่อยากสร้างปัญหาให้แก่เขาเช่นกัน
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ?คำขอบคุณของลูกก็เหมือนของพ่อกับแม่ ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ของลูก พวกเราจะต้องขอบคุณเขาสิ” แม่ของชิวหนิงช่วงกล่าวเสียงหนักแน่น
อย่างไรก็ตามลึกๆ ในใจแล้ว เธอก็ยังคงต้องการที่เลี้ยงข้าวเขาสักมื้อ เพราะว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ฮวงเฟิงจะได้มาเจอพ่อแม่ของเธออย่างเป็นทางการ และตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดเช่นไร แต่แค่คิดหน้าของเธอก็เป็นสีแดงระเรื่อซะแล้ว
เมื่อเขาตื่นขึ้นในตอนเช้าของวันที่สองความเหนื่อยล้าตามร่างกายของฮวงเฟิงก็ได้หายไปอย่างเป็นปลิดทิ้ง
ขณะที่เขากำลังจะรับประทานอาหารเที่ยงนั้นฮวงเฟิงก็ได้พบเข้ากับซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวโดยบังเอิญ
ฮวงเฟิงมองพวกเธอจากในระยะไกลก็เห็นว่าสีหน้าของพวกเธอทั้งไม่ค่อยดีนักและมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีเก้าอี้ว่างแถวๆ นั้นเลย ดังนั้นฮวงเฟิงจึงได้ถือกล่องข้าวกลางวันของเขาไปทางคนทั้งสอง
เมื่อฮวงเฟิงนั่งลงข้างๆซูหยูโม่ เขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหลาย
หลายคนมองดูฮวงเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็นและบางคนก็จำฮวงเฟิงได้
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวจะทานข้าวด้วยกันที่ห้องอาหารเป็นปกติอยู่แล้ว แต่พวกเธอก็ไม่เคยที่จะนั่งทานข้าวร่วมกับคนอื่น ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่เคยคิดที่จะไปขอนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเธอเลย
เห็นได้ชัดว่าฮวงเฟิงไม่ทราบถึงเรื่องนีเขาจึงนั่งลงทันทีข้างๆ ทั้งสองคน และโชคดีที่พวกเธอทั้งสองคนไม่ได้สนใจที่จะไล่เขาไป
และแม้แต่ซูหยูโม่เองก็ยังยิ้มให้เขาขณะที่เซี่ยเมิ่งเจียวนั้นไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรหรือไล่เขาไป
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?เท่าที่เห็นพวกคุณดูไม่ค่อยสดใสเลย เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับงั้นเหรอ?” ฮวงเฟิงถามเรียบๆ ขณะที่เขาทานข้าวไปด้วย
“ไม่ใช่ธุระของนาย”เธออารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรในตอนแรก แต่ในตอนนี้เมื่อเธอเห็นฮวงเฟิง เธอก็รู้สึกเกลียด ดังนั้นเธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก
“เอาล่ะผมจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว ผมกินต่อได้หรือยัง?” ฮวงเฟิงไม่ใส่ใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซี่ยเมิ่งเจียวพูดกับเขาแบบนี้
เขาเองก็เริ่มจะชินซะแล้ว
ด้วยความคิดเช่นนี้เขาก็เลยไม่ต่อปากต่อคำกับเธออีก เพราะเขารู้ว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดี และไม่อยากจะต้องทะเลาะกับเธอ
อย่างไรก็ตามซูหยูโม่เป็นคนแรกที่หัวเราะออกมาและจากนั้นก็พูดกับฮวงเฟิงว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยนะ มันก็แค่เรื่องงานน่ะ”
“พี่หยูโม่นี่ยังจะหัวเราะได้อีกเหรอ ลูกน้องพวกนี้ช่างเหลือเกินจริงๆ!” เซี่ยเมิ่งเจียวพูดด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว
“เกิดบ้าอะไรขึ้นอีกล่ะ?”ฮวงเฟิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเมิ่งเจียวกำลังฉุนเขาจึงได้รีบพูดขึ้นว่า “ผมก็แค่อยากรู้ ผมจะไม่ถามอะไรอีกแล้วล่ะ”
เมื่อฮวงเฟิงพูดจบสิ่งที่เซี่ยเมิ่งเจียวต้องการพูดก็ติดอยู่ที่ริมฝีปากและจากนั้นเธอก็รู้สึกอึดอัดอย่างมาก
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะมันก็แค่ปัญหาเล็กๆ” ซูหยูโม่กล่าว
“ลูกน้องที่น่ารำคาญพวกนั้นร่วมมือกันสร้างปัญหาให้กับพวกเราพี่หยูโม่ คิดว่าใครเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีการสุมหัวกันที่นี่และการกระทำของพวกเขาก็ช่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวขนาดนั้น” เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าว
เมื่อเห็นว่าฮวงเฟิงจ้องมองมาด้วยความสงสัยซูหยูโม่จึงให้ข้อมูลคร่าวๆ แก่เขาว่าเกิดอะไรขึ้น
กลายเป็นว่าเมื่อเช้านี้พวกเธอได้รับโทรศัพท์จากซัพพลายเออร์วัตถุดิบทีละรายๆ แจ้งเข้ามาว่าต้องการทีจะเพิ่มราคาสินค้า
นอกจากนี้แม้ว่าราคาจะสูงขึ้นแต่การจัดหาวัสดุบางอย่างในภายหลังอาจจะไม่สูงเหมือนเมื่อก่อน
นอกจากซัพพลายเออร์เหล่านี้แล้วยังมีห้างสรรพสินค้าและร้านเสริมสวยบางแห่งในมณฑลชิงที่เรียกร้องและร้องขอเรื่องต่างๆ จุดประสงค์เพื่อสร้างปัญหาให้แก่พวกเธอ
ถ้าเป็นแค่หนึ่งหรือสองตระกูลซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวก็คงจะไม่คิดมาก
แต่เนื่องด้วยคนจำนวนมากที่มารวมตัวกันจึงทำให้เกิดปัญหา
ทั้งสองสาวได้สะสางงานมาตลอดช่วงเช้าแต่ดูเหมือนว่าพวกเธอไม่มีอะไรที่จะต้องคิดมาก
“หรือจะเป็นเพราะออคิดบีนกรุ๊ปจากเมื่อครั้งที่แล้ว?”ฮวงเฟิงกล่าวเพราะเขารู้ว่าออคิดบีนกรุ๊ปพยายามที่จะสร้างปัญหาให้แก่เฮฟเว่นส์ไพรด์กรุ๊ปมาโดยตลอด
”นั่นก็เป็นไปได้”ซูหยูโม่กล่าวว่า“ อย่างไรก็ตามคนที่โทรมาหาเราในครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้งเป็นซัพพลายเออร์และห้างสรรพสินค้าใน มณฑลชิง ออคิดบีนกรุ๊ปไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น”
“อาจจะเป็นถงเฉียนจุ้นได้ไหม?เขาไม่ใช่คนที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑลชิง แต่เขาก็มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้” ฮวงเฟิงกล่าวเสียงเรียบ
คำพูดของฮวงเฟิงที่ทำให้ทั้งซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวพากันตกตะลึง
บทที่ 276 เขารึเปล่า
“ไม่น่าจะใช่ไม่น่าจะใช่เขานะ ลูกชายของเขาไม่ได้ตามจีบพี่หยูโม่อยู่อย่างนั้นเหรอ?” เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าว
จากนั้นก็กล่าวเสริมว่า“อย่างไรก็ตาม ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ใช่ขี้ๆ เลยนะ ทำไมพี่หยูโม่ถึงไม่ตกหลุมรักเขาล่ะ?”
ซูหยูโม่เองก็กล่าวว่า“พวกเราไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์มากนักกับถงเฉียนจุ้น และทั้งสองฝ่ายก็ไม่ค่อยได้ร่วมมือกันมากนัก แล้วก็ไม่ได้เป็นคู่แข่งกันด้วย ดังนั้นเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะพุ่งเป้ามาที่พวกเรานะ จริงไหม?”
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพวกเธอจะพูดเช่นนั้น แต่ทั้งสองคนก็ยังคงไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร
เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ของบริษัทของเขาในเวลานี้นั้นอยู่ในมณฑลชิงทั้งหมด
และมีไม่กี่คนในมณฑลชิงที่มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายผู้คนจำนวนมากได้ในคราวเดียวกันและถงเฉียนจุ้นก็เป็นหนึ่งในนั้น
ถงเฉียนจุนเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในมณฑลชิง
คอนเนกชั่นของเขาเทียบไม่ได้กับทั้งซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียว
เพราะคอนเนกชั่นส่วนใหญ่ของพวกเธออยู่ในเมืองหลวง
และถ้าหากคอนเนกชั่นระหว่างตระกูลไม่ได้หนุนหลังพวกเธอยู่พวกเธอก็จะไม่มีคอนเนกชั่นมากนักถึงแม้ว่าพวกเธอจะอยู่ในเมืองหลวงก็ตาม
ท้ายที่สุดก็คือทั้งสองคนยังคงเด็กเกินไปและไม่ได้อยู่ในสังคมมานานสักเท่าไร
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเธอจะเทียบกับถงเฉียนจุ้นชายชราคนนี้ที่คร่ำหวอดมานานหลายปี
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ฉันแค่เดาสุ่ม เพราะคนที่มีอำนาจมากที่สุดในมณฑลชิงที่ฉันรู้จักก็คือถงเฉียนจุ้นคนนี้”
มันเป็นความจริงที่เขาเดาสุ่มแต่เขาก็ยังคงได้ยินชื่อของถงเฉียนจุ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ดังนั้นเมื่อซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวพูดถึงเรื่องนี้พวกเธอจึงพูดถึงเรื่องนี้แค่เพียงผ่านๆ
ฮวงเฟิงกล่าวอย่างไร้ความรับผิดชอบซึ่งทำให้ซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวจมดิ่งอยู่ในความคิด
ทั้งสองคนคิดว่าสิ่งนี้ถงเฉียนจุ้นเป็นคนทำหรือไม่แล้วถ้าเป็นเขาจริงๆ ทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น? เพราะว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ระหว่างทั้งสองฝ่าย
”ผมอิ่มแล้วพวกคุณค่อยๆ กินกันต่อไปเถอะนะ” ฮวงเฟิงรีบทานอาหารให้เสร็จและยกจานออกไป
”ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะสบายดีเขาพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเราแทบจะไม่ได้กินเลย แต่ในทางกลับกันเขากลับกินอาหารมื้อนี้อิ่มเร็วมาก” เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบายใจ
”ถ้าเขาไม่พูดเธอก็ไม่อยากกินงั้นเหรอ? กินเร็วเข้าสิ หลังจากที่เรากินเสร็จแล้ว พวกเราจะไปสืบกัน ตอนนี้มีผู้ต้องสงสัยแล้ว มันทำให้สืบง่ายขึ้นไปอีกนะ” ซูหยูโมกล่าว
“ใช่แล้วล่ะ”เซี่ยเมิ่งเจียวเพียงแค่เอ่ยออกมาเรียบๆ ในตอนนี้เธอต้องการที่จะสืบสาวเรื่องนี้จริงๆ และคอยดูว่าถงเฉียนจุ้นอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่
ในตอนบ่ายขณะที่ฮวงเฟิงกำลังฝึกฝนกำลังภายในของเขาอยู่ในห้องทำงาน เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากซูหยูโม่ เพื่อเรียกให้เขาไปพบ
“หรือว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่านะ?”ฮวงเฟิงพึมพำอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกไปทางโทรศัพท์
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันแต่เป็นเพราะคงจะไม่มีใครที่เกิดเบื่อแล้วมาหาเรื่องที่นี่หรอกนะ จริงไหม? เพราะว่าคนอย่างผู้จัดการหยวนนั้นเป็นคนไม่มีสมอง หรือมีแต่ก็มีน้อย
“เรื่องที่คุณพูดเมื่อตอนบ่ายน่ะพวกเราลองไปสืบดูแล้ว และก็เจออะไรบางอย่าง”
เมื่อฮวงเฟิงมาถึงที่ห้องทำงานของซูหยูโม่เขาก็พบว่าเซี่ยเมิ่งเจียวก็อยู่ที่นั่นด้วย สีหน้าของทั้งสองคนดูหนักใจพิกล
“เจออะไรบ้างล่ะ?”ฮวงเฟิงเองก็ตะลึงกับคำพูดของซูหยูโม่
เขาลืมไปแล้วจริงๆว่า เขาเองได้กล่าวเมื่อตอนบ่ายว่าถงเฉียนจุ้นนั้นน่าสงสัย
“นี่เป็นเรื่องของบริษัทนะทำไมคุณความจำแย่ขนาดนี้!” เซึ่ยเมิ่งเจียวกล่าวด้วยความไม่พอใจ
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจที่ฮวงเฟิงไม่ใส่ใจในเรื่องของบริษัทเลย
ฮวงเฟิงนั้นก็รู้สึกละอายอยู่เล็กน้อยถึงแม้ว่าเขาจะยังคงทำงานที่นี่ แต่เขาก็ไม่ได้ทุ่มเททั้งเวลาและความพยายามให้แก่บริษัทมากพอ
เพราะว่าเขาเชื่อเขานั้นเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในตอนนี้เขากำลังคิดถึงเพียงโรงงานของเขาเองและกล่องจักรวาลและการฝึกฝนกำลังภายในของตัวเอง
เพียงผิวเผินแล้วเขาก็ดูเหมือนเป็นผู้จัดการแผนกรักษาความปลอดภัยที่ดูดีแต่ในความเป็นจริงแล้วเขานั้นยุ่งมากๆ
“อ้องั้นพวกคุณก็เลยไปตามสืบถงเฉียนจุ้นงั้นเหรอ?” ฮวงเฟิงกล่าว
“ใช่แล้ว”ซูหยูโม่พยักหน้า
เนื่องจากว่าเมื่อตอนบ่ายนี้พวกเธอได้โทรหาซัพพลายเออร์
พวกเขาบอกใบ้ว่าพวกเขารู้แล้วว่าถงเฉียนจุ้นนั้นอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าคนที่พูดแบบนั้นจะเชื่อพวกเขาจริงๆและคิดว่าซูหยูโม่รู้อยู่แล้ว
ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่ได้ปิดบังซูหยูโม่ต่อไปและถึงกับบอกว่าพวกเขาถูกกดดันและไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเฮฟเว่นส์ไพรด์กรุ๊ป
เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้ต้องการหลีกเลี่ยงที่จะเป็นปรปักษ์กับทั้งสองฝ่าย
และถามซูหยูโม่ว่าพวกเขาจะผิดใจกับถงเฉียนจุนหรือไม่เผื่อว่าพวกเขาจะสามารถพูดคุยและตกลงกันได้ในตอนนี้
ซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวต่างก็พากันสงสัยหลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าถงเฉียนจุ้นเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
พวกเธอไม่เคยขัดแย้งอะไรกับถงเฉียนจุ้นเลยและบริษัทของพวกเขาก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าพวกเธอจะสงสัยอยู่ในใจหลังจากที่ได้รู้ว่าเป็นถงเฉียนจุ้นจริงๆ
ทั้งสองสาวต่างก็พากันรู้สึกกดดันเพราะว่าถงเฉียนจุ้นนั้นต่างจากผู้จัดการหยวน
อย่างไรก็ตามถงเฉียนจุ้นนั้นแตกต่างออกไปเขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของมณฑลชิง เป็นบอสตัวจริงของจังหวัดชิง และเขาก็แข็งแกร่งกว่าพวกเธอเป็นอย่างมาก
ดังนั้นผู้จัดการหยวนและถงเฉียนจุ้นนั้นจึงไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างแน่นอนแต่ซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันอยู่ในใจ
“งั้นคุณกำลังจะบอกว่าคุณไปสืบอีกฝ่ายมาเรียบร้อยแล้วและปรากฎว่าเป็นถงเฉียนจุ้นงั้นเหรอ?” ฮวงเฟิงถาม
แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกขบขันตัวเองอยู่ในใจ
เขาเพิ่งจะบอกว่าถงเฉียนจุ้นน่าสงสัยไปเมื่อไม่นานมานี้แล้วเขาจะไม่รู้จักชื่อนี้ได้อย่างไรกันเล่า?
“ใช่ได้รับการยืนยันแล้ว” ซูหยูโม่กล่าว “แต่ก็นั่นแหละ ฉันสงสัยว่าเขาทำแบบนี้ทำไมกัน?”
นี่เป็นข้อสงสัยที่ยิ่งใหญ่ที่ซูหยูโม่และเซี่ยเมิ่งเจียวมีดังนั้นพวกเธอจึงถึงกับคิดไม่ตก
“หรือว่าจะเป็นเพราะเขาต้องการงานของพวกคุณด้วยงั้นเหรอขายเครื่องสำอางน่ะ?” ฮวงเฟิงเดา
“ฉันว่าไม่ใช่”เซี่ยเมิ่งเจียวกล่าว “ถ้าเขาอยากจะทำ เขาก็คงทำไปตั้งนานแล้ว และไม่ต้องรอมาจนป่านนี้หรอก และยิ่งไปกว่านั้นมณฑลชิงของเขาก็เกือบจะอิ่มตัวในตลาดแล้วตอนนี้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่าทั้งสองคนนี้ก็ได้กลิ่นคล้ายๆกันและผู้จัดการหยวนเห็นว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเปิดตลาดในมณฑลชิงและต้องการขอความช่วยเหลือจากถงเฉียนจุ้น?” ฮวงเฟิงกล่าวต่อ
”เอ๊ะนั่นก็เป็นไปได้!” ดวงตาของซูหยูโม่สว่างวาบขึ้นขณะที่เธอกล่าวว่า “เพียงแต่ถ้าเราทำเช่นนี้ จะนำประโยชน์อะไรมาให้แก่ถงเฉียนจุ้นได้บ้าง ถ้าไม่มีอะไรดีเขาคงจะไม่ทำอย่างนี้แน่นอน”