กล่องจักรวาล (Universe Storage Box) - บทที่ 285-286
บทที่ 285 รับปาก
“คุยกับใครน่ะ?ท่าทางดูดีใจมาก ยิ้มไม่หุบเลยนะลูก”
เป็นแม่ที่เดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยและเห็นชิวหนิงช่วงกำลังหัวเราะคิกคักอยู่กับโทรศัพท์
“หนูไม่ได้คุยกับใครทั้งนั้นแหละพรุ่งนี้หนูก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว หนูเลยดีใจมาก” ชิวหนิงช่วงตอบ
“อย่าคิดว่าแม่ดูไม่ออกนะ”แม่ของชิวหนิงช่วงเปิดเผยความลับของเธออย่างไร้ความปรานี
”ก่อนหน้านี้ตอนที่ลูกรู้ว่าลูดจะได้ออกจากโรงพยาบาล แม่ไม่เห็นลูกจะดีใจขนาดนี้เลยนะ” เธอใช้จังหวะตอนที่แม่ออกไปข้างนอกโทรไปหาอีกฝ่าย ใบหน้าของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
”แม่หนูนี่รู้ดีจริงๆ”ชิวหนิงช่วงรู้สึกเขินกับสิ่งที่แม่ของเธอพูดเล็กน้อย
“นี่ลูกโทรหาฮวงเฟิงอีกแล้วเหรอ?”แม่ของชิวหนิงช่วงถาม
“โทรหาใคร?”ทันใดนั้นประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออก ผู้กำกับชิวเดินเข้ามาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
โดยพื้นฐานแล้วคดีของพี่เปียวรับการตัดสินแล้วและลูกสาวของเขาก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้ ดังนั้นผู้กำกับชิวจึงอารมณ์ดีมาก
”ฮวงเฟิงพ่อหนุ่มที่ช่วยชีวิตลูกสาวของเรายังไงล่ะ!” แม่ของชิวหนิงช่วงตอบ
“แม่อย่าพูดอะไรก็ไม่รู้สิ!” ชิวหนิงช่วงรู้สึกเขินมากกว่าเดิม แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไร ถ้าพ่อแม่ของเธอเป็นพ่อแม่ที่ต้องการให้เธอแต่งงาน เธอก็ไม่กล้าเสนอความคิดเห็นอะไร
”แล้วแม่พูดผิดตรงไหน?”แม่ของชิวหนิงช่วงถามกลับ
”เหอะฮวงเฟิงคนนั้นชักจะไร้ความรู้สึกเกินไปแล้ว สองสามวันมานี้ที่ลูกได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล เขามาเยี่ยมลูกแค่ครั้งเดียวเอง”
“เขาไม่ว่าง”ชิวหนิงช่วงอดไม่ที่จะกล่าวปกป้องฮวงเฟิง
จากนั้นแม่ของชิวหนิงช่วงก็พูดว่า”ตาแก่ชิว ครั้งสุดท้ายที่คุณไม่อยู่ที่นี่ คุณเลยไม่ได้เห็นพ่อหนุ่มคนนั้น ฉันคิดว่าหน้าตาเขาใช้ได้ พรุ่งนี้ลูกสาวของเราก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เราค่อยเลี้ยงข้าวเขาก็แล้วกัน คุณเองก็อยู่ทักทายเข้าด้วยสิ”
“ได้เลยผมต้องอยู่รอเจอเขาอยู่แล้ว อยากรู้จังว่าใครกันที่เก่งเสียจนขโมยหัวใจลูกสาวแสนสวยของผมไป” พ่อของชิวหนิงช่วงพูดพลางหัวเราะ เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ดังนั้นในสายตาของเขา เขาจึงไม่มีความคิดเรื่องคลุมถุงชน
นอกจากนี้เขาก็ยังไม่ได้แก่หงำเหงือกหากเขายังสามารถปกป้องเธอได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขาที่จะทำอะไรดีๆให้กับลูกสาวและลูกเขย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บังคับว่าลูกสาวจะต้องเลือกสามีในอนาคตแบบไหน แค่ลูกสาวของเขาชอบก็พอแล้ว
แน่นอนพ่อของชิวหนิงช่วงกลัวว่าลูกสาวของตัวเองจะถูกหลอกเพราะเมื่อผู้หญิงได้รู้จักกับความรัก พวกเธอมักจะรู้สึกสับสน
อีกอย่างเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าหาเพราะฐานะของเธอ สำหรับลูกสาวของเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
“คุณพ่อแกล้งหนูอีกแล้ว!” ใบหน้าของชิวหนิงช่วงแดงแปร๊ดเหมือนลูกมะเขือเทศไม่มีผิด
“พ่อไม่ได้พูดเล่นลูกไม่ใช่เด็กอีกต่อแล้ว ถึงพ่อจะทนปล่อยลูกไปไม่ได้ แต่มันก็ถึงเวลาที่ลูกจะมีคนรักแล้ว ถ้าลูกชอบกันจริงๆ พ่อก็จะไม่ขัด แต่จำไว้ว่า อย่าให้อีกฝ่ายเข้ามาหลอกได้ล่ะ” ผู้กำกับชิวกล่าว
ผู้กำกับชิวรู้จักลูกสาวของตัวเองดีแม้หลายครั้งที่เธอทำตัวเข้มแข็ง แต่หัวใจของเธอกลับเปราะบางมาก คนแบบนี้มักจะถูกหลอกได้ง่าย เขาจึงต้องตักเตือนเธอสักหน่อย
ชิวหนิงช่วงเข้าใจดีว่าพ่อของตนกำลังหมายถึงอะไรแม้ว่าเธอจะไม่ยอมรับว่าตัวเองนั้นชอบฮวงเฟิง แต่เธอก็ยังแก้ต่างให้อีกฝ่าย
”ฮวงเฟิงไม่รู้ว่าหนูเป็นใครสักหน่อยจนวันนั้นที่คุณพ่อปรากฎตัว เขาถึงได้รู้ยังไงละคะ”
”ใช่แล้วแค่ลูกรู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็พอแล้ว” ผู้กำกับชิวพอใจกับคำพูดของลูกสาวของตนอย่างมาก เพราะถ้าไม่ใช่อย่างที่เขาคิด แสดงว่าอีกฝ่ายจะต้องเข้าหาลูกสาวของเขาเพราะฐานะแน่นอน
”พรุ่งนี้ลูกออกจากโรงพยาบาลแล้วพรุ่งนี้เขาจะมาหาลูกไหม?”แม่ของชิวหนิงช่วงถาม
”มาค่ะ…”แม้ว่าเธอจะรู้สึกเขิน แต่ชิวหนิงช่วงก็ยังบอกอีกฝ่ายไปตามตรง เพราะถึงเธอไม่บอก พรุ่งนี้พ่อและแม่ก็ต้องได้เห็นหน้าฮวงเฟิงอยู่ดี
“งั้นก็ดีพรุ่งนี้พ่อจะจับตาดูเขาไม่ให้เล็ดลอดสายตาไปได้เลย” เขาอยากรู้จักฮวงเฟิงคนนี้มาก หนึ่งคือเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายทำให้ลูกสาวของเขาชอบได้อย่างไร
สองคืออาการบาดเจ็บตามร่างกายของลูกสาวของเขาเองอาการหนักขนาดนี้ แต่เจ้าตัวกลับยังแข็งแรงดี
แน่นอนว่าเรื่องนี้ฮวงเฟิงไม่รู้ว่าตระกูลชิวทั้งสามคนของชิวหนิงช่วงกำลังพูดถึงเขาอยู่เพราะหลังจากวางสายเขาก็ยังคงฝึกพลังปราณ
ตอนแรกในไม่กี่วันที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าพลังภายในของตนดูเหมือนว่าใกล้จะเลื่อนระดับแล้ว ในคืนนั้นที่เขากัดผลไม้สีแดงให้เป็นชิ้นและป้อนให้ชิวหนิงช่วง
แม้ว่าเขาจะพยายามทำให้มันเข้าไปในปากของชิวหนิงช่วงแต่มันก็ยังคงมีน้ำจากผลไม้ส่วนหนึ่งที่ไหลลงไปในกระเพาะอาหารของเขาเช่นกัน
และเมื่อในตอนที่น้ำจากผลไม้ได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของฮวงเฟิงมันจึงช่วยพัฒนาร่างกายของเขา ด้วยการเพิ่มความเร็วในการฝึกพลัง
หากแต่ผลที่ได้นั้นไม่ดีเท่ากับการกินผลไม้สีแดงทั้งลูกแต่เพราะสิ่งนี้ ฮวงเฟิงจึงสามารถผ่านช่วงคอขวดของการฝึกพลังไปได้ในที่สุด
และฮวงเฟิงที่เพิ่งเลื่อนระดับก็ได้ค้นพบว่ามีเส้นลมปราณจำนวนไม่น้อยที่เริ่มเปิดออกภายในร่างกายของเขาทันทีที่พลังภายในของเขาแล่นผ่าน ตามร่างกายของเขาก็ถูกเติมเต็มตามจุดต่างๆมากขึ้น
นับเป็นเรื่องดีของฮวงเฟิงที่ได้ฝึกทั้งพลังและเวทมนตร์ไปพร้อมกันไม่ว่ามันจะเป็นการฝึกเลื่อนระดับในรูปแบบใด พลังภายในร่างกายของเขาจะเพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ด้วยเหตุนี้พลังของฮวงเฟิงในตอนนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นจากเดิมมาก
ฮวงเฟิงผู้ที่ไม่มีอะไรให้ทำในโลกภายนอกได้หยุดการฝึกพลังตอนที่เขาเลิกงาน ฮวงเฟิงรู้สึกพอใจมากที่สัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นภายในร่างกาย หากเขาแข็งแกร่งมากพอ เขาก็จะสามารถอยู่รอดในโลกของจอมยุทธ์และไสยเวทได้
หลังจากที่เขากลับถึงบ้านไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงออดดังขึ้น และคนที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่นก็คือ กัวเมิ่งหาน
นับตั้งแต่ที่เธอให้เกี๊ยวฮวงเฟิงหนึ่งกล่องกัวเมิ่งหานก็จะส่งอาหารชนิดอื่นที่เธอทำมาให้เขาเป็นครั้งคราว บางครั้งก็เป็นซุป บางครั้งก็เป็นอาหารอร่อยๆ
ต้องบอกเลยได้ว่าทักษะการทำอาหารของเธอนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆเพราะเธอไม่เคยนำอาหารที่หน้าตาแบบเดิมมาให้ฮวงเฟิงเลย
เธอไม่รู้ว่าฮวงเฟิงมี‘คัมภีร์อมตะ’ เป็นของตัวเอง สำหรับเขานั้น การทำอาหารไม่ใช่เรื่องยาก
หากแต่ในความคิดของกัวเมิ่งหานเธอคิดว่าผู้ชายที่อาศัยอยู่เพียงลำพังอย่างฮวงเฟิงแล้วมักจะไม่ใส่ใจในเรื่องการกินเท่าไหร่นัก และมีผู้ชายไม่น้อยที่เป็นแบบนี้จริงๆ
ถ้าพวกเขาอยากกินอิ่มพวกเขาก็แค่ซื้ออาการกลับมากินที่บ้าน แต่นอกจากพวกเขาจะต้องใช้เงินไม่น้อยซื้อมันแล้ว อาหารพวกนั้นยังไม่ค่อยมีคุณค่าทางสารอาหารอีกด้วย
ในความเป็นจริงเพื่อให้ฮวงเฟิงได้ทานอาหารอร่อยๆแล้ว เธอจะต้องใช้จ่ายเงินไปไม่น้อยและคิดได้ว่าเพิ่งซื้อผักติดมือมาด้วย
บทที่ 286 รูมเมท
“นายยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม?ถ้างั้นก็มากินข้าวกับฉันสิ”
ครั้งนี้ฮวงเฟิงไม่ได้ปฏิเสธ เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้เขาเคยปฏิเสธเธอ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาอาจจะไม่พูดคำที่สุภาพอีกต่อไป
แม้ว่าเขาจะทำอาหารเองได้แต่ถ้ามีอาหารมาเสิร์ฟตรงหน้าแถมยังอร่อยมาก แล้วอย่างนี้เขาจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ?
ณตอนนี้ กัวเมิ่งหานว่างพอที่จะทำอาหารทานเอง
ท้ายที่สุดแล้วถึงเธอจะกลับบ้านไป แต่เธอก็ยังต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว แม้ว่าเธอจะแชร์ที่พักกับคนอื่น แต่ทั้งสามก็ไม่เคยได้ทานข้าวด้วยกันหรือพูดคุยกันเลย และเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เนื่องจากตอนที่ฮวงเฟิงเคยแชร์ห้องพักับคนแปลกหน้าเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นัก หลังจากที่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ของกัวเมิ่งหาน
”อ๋าเหมือนจะไม่พอแหะ เดี๋ยวฉันกลับห้องไปเอามาเพิ่มก็แล้วกัน” กินข้าวที่นี่อย่างน้อยก็ดีกว่ากินคนเดียว นอกจากนี้เธอยังได้พูดคุยกับฮวงเฟิงที่ไม่เคยทำตัวน่ารำคาญเลย
วิถีชีวิตในตอนนี้ของกัวเมิ่งหานเหมือนกับวิถีชีวิตของฮวงเฟิงในอดีตไม่มีผิดนานๆครั้งเขาถึงจะได้ออกไปใช้ชีวิตกลางคืน ทั้งหมดก็เพื่อประหยัดเงิน
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่ทานอาหารเย็นอย่างโดดเดี่ยวเสร็จ ตกดึก เธอก็จะเล่นโทรศัพท์หรือไม่ก็อ่านหนังสือแทนที่จะออกไปเที่ยวข้างนอก แม้ว่าเธอจะไม่มีเพื่อนคุยเลยก็ตาม
”ฉันไปด้วยสิ”ฮวงเฟิงว่า เขากลัวว่ากัวเมิ่งหานจะทำคนเดียวไม่ไหว
”ก็ได้…”แม้ว่าเธอจะรู้สึกประหม่า แต่กัวเมิ่งหานที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบรับคำขอจากอีกฝ่าย
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮวงเฟิงได้ไปที่ห้องของกัวเมิ่งหานแม้ว่าทั้งสองคนจะเคยขึ้นไปชั้นบนและชั้นล่าง แต่เขาก็ไม่เคยเข้าไปข้างในสักครั้ง
นอกจากนี้รูมเมทสองคนที่แชร์ห้องกับกัวเมิ่งหานไม่อยู่ห้องเขาคิดว่าพวกเธออาจจะทำงานหรือไม่ก็ออกไปเที่ยวข้างนอก
ตอนที่ฮวงเฟิงเข้าไปในห้องของเธอกัวเมิ่งหานกลับรู้สึกเขินอาย เนื่องจากไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเคยเข้ามาในห้องนี้มาก่อน แน่นอนว่าฮวงเฟิงเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้เข้ามาในห้องนี้
ฮวงเฟิงมองไปรอบๆห้องของกัวเมิ่งหานจากนั้นเขาก็รู้สึกเขินเล็กน้อยที่มองนู่นนี่ไปทั่ว แต่เขากล้าพูดได้เลยว่า ถึงห้องของกัวเมิ่งหานจะไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่เธอก็ทำความสะอาดและจัดห้องให้ดูอบอุ่นมาก
แต่ในขณะที่ฮวงเฟิงกำลังมองดูห้องของกัวเมิ่งหานอยู่นั้นจู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดปรากฎหญิงสาวสองคน ทั้งสองน่าจะเป็นรูมเมทของกัวเมิ่งหานที่กลับมาพอดี
ในตอนที่ฮวงเฟิงและกัวเมิ่งหานก้าวออกมาจากห้องทั้งสองที่เพิ่งกลับมาก็ได้พบแขกที่เธอคิดไม่ถึง และคนๆนั้นก็คือ ฮวงเฟิง
แม้ว่ากัวเมิ่งหานจะแบ่งอาหารไปให้ฮวงเฟิงหลายวันแต่พวกเธอก็ไม่เคยสนใจเธอเลย
แม้ว่าเธอจะแชร์ค่าเช่าห้องกับพวกเธอแต่เพราะสองคนนั้นสนิทกันมาก ทำให้ทั้งสองแยกตัวออกห่างกัวเมิ่งหาน ปกติแล้วพวกเธอไม่ค่อยได้ทักทายกัน และบางครั้งก็ถึงขั้นไม่คุยกันเลยแม้แต่คำเดียว
สาเหตุหลักคือพวกเธอนั้นดูถูกกัวเมิ่งหานแม้ว่าจะแชร์ห้องกัน แต่ทั้งสองคนก็เป็นคนในเมือง พวกเธอมาจากเมืองหลวง ในขณะที่กัวเมิ่งหานมาจากชนบท
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน แต่พวกเธอก็ยังคงดูถูกกัวเมิ่งหานอยู่วันยังค่ำ
”กัวเมิ่งหานเขาเป็นใคร? พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามพาคนอื่นมาค้างที่นี่ โดยเฉพาะผู้ชาย!” หญิงสาวที่หน้าตาสวยคนหนึ่งกล่าวพลางชี้นิ้วไปทางฮวงเฟิง
เห็นได้ชัดว่าเธอคิดว่าฮวงเฟิงเป็นแฟนกัวเมิ่งหานแต่นั่นก็สายไปแล้ว เพราะพวกเธอเพิ่งกลับมาถึง ประจวบเหมาะกับตอนที่ฮวงเฟิงเดินออกมาจากห้องของกัวเมิ่งหานพอดิบพอดี เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร
อันที่จริงข้อตกลงของเธอก็เป็นข้อตกลงทั่วไปมีผู้หญิงหลายคนที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้รูมเมทพาผู้ชายเข้ามาในห้องหรือให้ค้างที่นี่กับพวกเธอ เพราะถ้ามีผู้ชายแปลกหน้าสักคน ก็จะเป็นการรบกวนรูมเมทคนอื่นได้
”เขาเป็นเพื่อนของฉันเองเขาไม่ได้จะมาค้างที่นี่สักหน่อย” กัวเมิ่งหานกล่าวด้วยท่าทางเขินอาย
“งั้นเหรอ?”หญิงสาวทั้งสองใช้สายตาสงสัยจับจ้องไปที่ฮวงเฟิง เนื่องจากพวกเธอไม่เชื่อในสิ่งที่กัวเมิ่งหานพูด
”อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้ว่เธอโกหกนะเธอบอกว่าเขาอยู่ไม่นานเดี๋ยวก็กลับแล้ว แต่ถ้าพวกฉันไม่กลับมาเธอก็จะให้เขาค้างที่นี่ต่อใช่ไหม? แล้วอย่างนี้ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาจะกลับตอนไหน”
เห็นได้ชัดว่าพวกเธอคิดว่ากัวเมิ่งหานต้องการให้ฮวงเฟิงค้างที่นี่คืนนี้แต่เธอก็เลือกใช้ข้ออ้างว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายก็กลับแล้ว มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เมื่อคืนอีกฝ่ายไม่ได้นอนค้างที่นี่
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้เธอคิดแบบนั้นเป็นเพราะเธอเองก็เคยทำเรื่องแบบนั้นมาก่อน
ปกติแล้วเธอมักจะถูกทั้งสองกลั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้งแต่จากนิสัยของเธอแล้ว เธอจึงไม่ตอบโต้และทำเพียงเก็บความโกรธกลับไปและพยายามอดทนกับมันให้ได้มากที่สุด
หากแต่ในครั้งนี้กลับต่างออกไปครั้งนี้ทั้งสองไม่เพียงจะพูดจาไม่ดีใส่เธอแล้ว พวกเธอยังพูดถึงฮวงเฟิงแบบเสียๆหายๆอีกด้วย
ฮวงเฟิงเป็นเพื่อนที่ดีและคอยช่วยเหลือเธอเสมอดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการเห็นฮวงเฟิงถูกกล่าวหาทั้งที่เรื่องที่พวกเธอพูดมาทั้งหมดไม่เป็นความจริงเลยสักนิด!
“ไม่ต้องห่วงฉันทำตามข้อตกลงอยู่แล้ว” ท่าทางของกัวเมิ่งหานนั้นจริงจังและแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนต่อหน้าหญิงสาวทั้งสอง
”นอกจากนี้อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าพวกเธอทั้งสองคนก็เคยพาผู้ชายมาค้างที่นี่เหมือนกัน ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนเธอจริงๆหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ฮวงเฟิงรู้สึกชื่นชมในตัวกัวเมิ่งหานไม่น้อยเขาคิดไม่ถึงเลยว่าพอสองคนนั้นกล่าวหาเขาแล้ว เธอจะเกรี้ยวกราดถึงขนาดนี้
ส่วนหญิงสาวสองคนถึงกับหน้าซีดและตกใจสุดขีดเหตุที่ทั้งสองหน้าซีดเพราะความลับที่พวกเธอปกปิดเอาไว้ บัดนี้กลับถูกกัวเมิ่งหานเปิดโปง
ส่วนที่พวกเธอตกใจเป็นเพราะปกติกัวเมิ่งหานมักจะทำท่าทางอ่อนแอต่อหน้าพวกเธอทั้งสองจึงกล้าทำตัววางก้ามกับเธอ
”เธอ..เธอพูดบ้าอะไร!” หญิงสาวคนหนึ่งที่มีสีหน้าแดงก่ำพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปทางกัวเมิ่งหาน
”จะจริงหรือไม่จริงฉันว่าพวกเธอก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ” กัวเมิ่งหานกล่าวอย่างใจเย็น จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับฮวงเฟิงว่า “ไปจากที่นี่กันเถอะ”
”อืม”ฮวงเฟิงมองดูรูมเมททั้งสองของกัวเมิ่งหานด้วยความสนใจ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองถึงกับเถียงไม่ออก แสดงว่าคนๆนั้นที่กัวเมิ่งหานพูดถึงต้องไม่ใช่เพื่อนของพวกเธอแน่นอน ไม่อย่างนั้น ในตอนที่เธอพูดคำว่า “แฟน” ออกมา ทั้งสองก็คงไม่มีท่าทีเช่นนั้น
“ดูเหมือนเธอจะไม่มีความสุขเลยนะที่ได้อยู่ที่นี่”ฮวงเฟิงพูดกับกัวเมิ่งหานหลังจากปิดประตู